-
สาระน่ารู้
หน้าแรก
สาระน่ารู้
พบข้อมูลจำนวน 121 รายการ แสดงผลอยู่ที่ 1/11 หน้า
จัดซื้อจัดจ้าง
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2568 งวดที่ 1 เดือนตุลาคม - ธันวาคม 2567
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2567 งวดที่ 2 เดือนเมษายน - มิถุนายน 2567
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2567 งวดที่ 3 เดือนกรกฏาคม - กันยายน 2567
-
ประกาศเผยแพร่แผนการจัดซื้อจัดจ้าง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 โครงการก่อสร้างอาคารเรียนระดับประถมศึกษาพร้อมปรับภูมิทัศน์ ภายใน
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2566 งวดที่ 1 เดือนตุลาคม 2565 - มีนาคม 2566
ค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์
ปฎิทินกิจกรรม
ท่านคิดว่า อบจ.ระยอง ควรเน้นหนักแก้ไขปัญหาในเรื่องใดเป็นอันดับแรก
- ปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค โหวต
- แก้ไขปัญหายาเสพติด โหวต
- แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โหวต
- แก้ไขปัญหาน้ำท่วม โหวต
- ราคาผลผลิตภาคการเกษตร โหวต
สถิติผู้เข้าชมเว็บไซต์
- กำลังใช้งาน 98 คน
- ผู้เข้าชมวันนี้ 1,486 คน
- ผู้เข้าชมทั้งหมด 20,402,908 คน
แปลภาษา

พิษภัยบุหรี่ไฟฟ้าที่ไม่ควรมองข้าม
พิษภัยบุหรี่ไฟฟ้าที่ไม่ควรมองข้าม บุหรี่ไฟฟ้าหรือที่เรียกว่าบุหรี่ไฟฟ้ากลายเป็นที่นิยมมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยผู้ผลิตมักใช้เครื่องมือทางการตลาดในการจูงใจ อีกทั้งรูปลักษณ์ที่มีการปรับเปลี่ยนจนแยกแยะได้ยาก จริงๆแล้วบุหรี่ไฟฟ้านั้นมีข้อเสียและความเสี่ยงต่อสุขภาพในตัวมันเอง ในบทความนี้เราจะตีแผ่ให้เห็นข้อเสียของบุหรี่ไฟฟ้า การเสพติดนิโคติน : หนึ่งในข้อเสียที่สำคัญที่สุดของบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์คือธรรมชาติของการเสพติด มีนิโคตินซึ่งเป็นสารเสพติดสูงที่สามารถนำไปสู่การพึ่งพาร่างกายและอาการหงุดหงิด กระสับกระส่าย เมื่อไม่ได้เสพ การเสพติดนี้สามารถนำไปสู่การได้รับปริมาณนิโคตินเพิ่มขึ้น และในบางกรณีอาจนำไปสู่การใช้บุหรี่มวนได้ ความเสี่ยงต่อสุขภาพ: บุหรี่ไฟฟ้าเชื่อมโยงกับความเสี่ยงต่อสุขภาพหลายประการ รวมถึงปัญหาปอด โรคหัวใจ และมะเร็ง โดยสารเคมีบางชนิดที่พบในบุหรี่ไฟฟ้า เช่น propylene glycol และ diacetyl มีความเชื่อมโยงกับปัญหาระบบทางเดินหายใจ ไอระเหยของบุหรี่ไฟฟ้ามือสอง: แม้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าจะไม่สร้างควันในปริมาณที่เท่ากันกับบุหรี่ทั่วไป แต่ก็ยังผลิตไอระเหยของบุหรี่ไฟฟ้ามือสองที่อาจเป็นอันตรายต่อคนรอบข้างได้ ไอระเหยประกอบด้วยสารเคมีและอนุภาคที่ผู้อื่นสามารถสูดดมเข้าไปได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาระบบทางเดินหายใจและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ความเสี่ยงจากอัคคีภัย: บุหรี่ไฟฟ้าใช้พลังงานจากแบตเตอรี่และองค์ประกอบความร้อน ทำให้มีแนวโน้มที่จะเกิดไฟไหม้และการระเบิด มีหลายกรณีที่บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ระเบิดในกระเป๋าของผู้ใช้หรือขณะชาร์จ ทำให้เกิดแผลไหม้และการบาดเจ็บอื่นๆ ราคา: บุหรี่ไฟฟ้าอาจมีราคาสูง โดยเฉพาะหากใช้เป็นประจำ ราคาของ e-liquid แบตเตอรี่ และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ อาจเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ราคาย่อมเยาว์กว่าบุหรี่ทั่วไปสำหรับผู้ใช้บางราย ตลาดที่ไม่มีการควบคุม: ตลาดบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ไม่มีการควบคุม ทำให้ยากที่จะรู้ว่าอะไรอยู่ในผลิตภัณฑ์ที่ขายกันแน่ น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าจำนวนมากมีสารเคมีและสารเติมแต่งที่ยังไม่ผ่านการทดสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน และบางชนิดอาจมีอันตรายมากกว่าสารอื่นๆ ประตูสู่การสูบบุหรี่แบบมวน: ผู้เชี่ยวชาญบางคนกังวลว่าบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์อาจเป็นประตูสู่การใช้บุหรี่แบบมวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนหนุ่มสาว เนื่องจากมักมีข้ออ้างว่าบุหรี่ไฟฟ้าวางตลาดเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า ผู้ใช้บางรายจึงมีแนวโน้มที่จะลองบุหรี่แบบมวนมากขึ้น โดยเชื่อว่าไม่เป็นอันตรายอย่างที่คิด บุหรี่ไฟฟ้ามีข้อเสียในแง่ต่างๆไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การเสพติด ความเสี่ยงต่อสุขภาพ ไอระเหยของมือสอง ความเสี่ยงจากอัคคีภัย ค่าใช้จ่าย ตลาดที่ไม่มีการควบคุม และโอกาสที่บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์จะนำไปสู่การสูบบุหรี่แบบดั้งเดิมล้วนเป็นเหตุผลที่ผู้ใช้ควรระมัดระวังเมื่อใช้บุหรี่ไฟฟ้า สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่ทางเลือกที่ปลอดภัยอย่างสมบูรณ์สำหรับบุหรี่แบบดั้งเดิม และผู้ใช้ควรชั่งน้ำหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะใช้ เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ยาสูบ วิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่อสุขภาพคือการเลิกบุหรี่โดยสิ้นเชิง ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.healthyenterprise.org/content/21257/hpe-25-04-66
เตรียมตัวรับกับฤดูหนาว
เตรียมตัวรับกับฤดูหนาว 1. สวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสมกับสภาพอากาศ ควรเลือกสวมเสื้อผ้าที่ไม่บางเกินไป สามารถถ่ายเทอากาศได้ดี และสามารถป้องกันความเย็นได้ 2. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และเน้นอาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น เนื้อสัตว์ เต้าหู้ ไข่ และธัญพืชเพราะธาตุเหล็กจะช่วยป้องกันโรคหวัดและเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายได้ 3.บำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ การทาโลชั่นหรือครีมบำรุงผิว จะช่วยป้องกันผิวไม่ให้แห้ง แตก ลอก ในฤดูหนาวได้เป็นอย่างดี และควรทาลิปบาล์มที่ริมฝีปากด้วย จะช่วยทำให้ปากชุ่มชื้น ไม่แตกได้ 4.การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม ควรดื่มน้ำที่อุณหภูมิห้อง หรือน้ำอุ่น จะช่วยให้ผิวพรรณมีความชุ่มฉ่ำไม่แห้งตามสภาพอากาศแล้ว ยังช่วยเรื่องระบบขับถ่ายต่างๆ อีกด้วย 5. รับประทานวิตามินเสริม สำหรับผู้ที่มีร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเมื่อเจอกับอากาศหนาว อาจจะทำให้ร่างกายเจ็บป่วยได้ จึงควรป้องกันด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์พร้อมๆ ไปกับการรับประทานวิตามิน เพื่อเป็นการเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย เช่น วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินอี เพราะวิตามินเหล่านี้สามารถช่วยให้ห่างไกลจากการเป็นหวัดได้ 6.พักผ่อนให้เพียงพอ ควรนอนหลับให้ได้อย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง ซึ่งการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอนั้นมีผลต่อสุขภาพร่างกายเป็นอย่างมาก เพราะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายได้พักและซ่อมแซมส่วนต่างๆ ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลเปาโล รังสิต
ห้องน้ำสาธารณะ รู้ก่อนใช้ห่างไกลเชื้อโรค
ห้องน้ำสาธารณะ รู้ก่อนใช้ห่างไกลเชื้อโรค - ห้องน้ำสาธารณะ..เข้าอย่างไรให้ปลอดภัยจากเชื้อโรค เลือกห้องน้ำที่ไม่ค่อยมีคนใช้ เป็นห้องน้ำที่ไม่ได้อยู่ในแหล่งพลุกพล่าน เช่น ห้องน้ำในออฟฟิศชั้นที่มีพนักงานน้อย ๆ เป็นต้น - อย่าสัมผัสโดยตรง หลีกเลี่ยงการสัมผัสพื้นผิวหรืออุปกรณ์ภายในห้องน้ำ เช่น ลูกบิดประตู ฝาปิดชักโครก ที่กดชักโครก และฝารองนั่ง อาจใช้ทิชชูจับสิ่งสัมผัสต่าง ๆ - กดชักโครกก่อนทำธุระ ควรกดชักโครกก่อนทุกครั้ง แนะนำให้ปิดฝาชักโครกก่อนกด เพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของเชื้อโรคในชักโครก กรณีที่เป็นสุขภัณฑ์แบบนั่งยอง ให้ตักน้ำราดแทน เพื่อให้สะอาดมากขึ้น - ทำความสะอาดก่อนนั่ง เนื่องจากฝารองที่นั่งชักโครกอาจปนเปื้อนเชื้อโรค ก่อนนั่งควรทำความสะอาดฝาชักโครก ด้วยกระดาษทิชชูแบบเปียกชนิดฆ่าเชื้อ หรือพกกระดาษรองนั่งไปปูบนฝาชักโครกก่อนขับถ่าย และระวังอย่าให้แผ่นรองเปียกน้ำเด็ดขาด เพราะเชื้อโรคอาจจะแทรกซึมมากับน้ำได้ - ใช้เวลาน้อยที่สุด ไม่ต้องถึงขั้นจับเวลา แต่ควรใช้เวลาในการทำกิจธุระในห้องน้ำให้สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าจำเป็นต้องใช้ชักโครก ควรเลือกดูห้องที่สะอาดที่สุด และหลังขับถ่ายเสร็จ ควรปิดฝาชักโครกก่อนกด เพื่อป้องกันเชื้อโรคแพร่กระจายในอากาศ - ไม่เหยียบโถส้วม หลายคนใช้บริการห้องน้ำสาธารณะผิดวิธี โดยใส่รองเท้าขึ้นไปนั่งบนฝารองนั่ง เพราะคิดว่าจะทำให้ไม่สัมผัสกับเชื้อโรค แต่จริง ๆ แล้ว ระหว่างที่ขับถ่ายอาจจะมีการกระเด็นของน้ำในโถ ซึ่งเป็นที่รวมเชื้อโรคเปื้อนได้มากกว่าการนั่งธรรมดา - ไม่ตักน้ำที่เปิดไว้ การใช้น้ำล้างทำความสะอาด ไม่แนะนำให้ตักในส่วนที่มีอยู่ในถังเดิมใช้ แต่ควรรองจากก๊อกโดยตรง เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่สะสมอยู่ในถังน้ำ เพราะบางคนเอามือจุ่มล้างในถัง หากเป็นสายฉีดก็ควรฉีดน้ำให้ไหลทิ้งประมาณ 1 นาที เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่ปะปนบริเวณรอบ ๆ สายฉีดได้ - ล้างมือทุกครั้งก่อน – หลังเข้าห้องน้ำ เมื่อเข้าห้องน้ำเสร็จเรียบร้อย เพื่อไม่ให้เชื้อโรคติดมากับมือของเรา ควรล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำสะอาดและสบู่ เริ่มต้นล้างมือ โดยฟอกฝ่ามือด้านหน้า ด้านหลัง ง่ามนิ้วมือด้านหน้า ด้านหลัง ฟอกนิ้วมือและข้อนิ้วมือด้านหลัง รวมทั้งฟอกหัวแม่มือ ขัดสิ่งสกปรกบริเวณซอกเล็บและข้อมือ ล้างสบู่ออกด้วยน้ำสะอาด เช็ดมือให้แห้งด้วยกระดาษเช็ดมือ หากไม่มีสบู่ให้ใช้น้ำสะอาดล้างซ้ำหลาย ๆ ครั้ง และงดการใช้อุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกันภายในห้องน้ำ เช่น ผ้าเช็ดมือ ทั้งนี้ หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า จมูก ตา ปาก 6 จุดเสี่ยงที่ต้องทำความสะอาดเป็นพิเศษในห้องน้ำสาธารณะ - ราวจับ - ที่กดโถส้วม - ลูกบิดประตู - ที่รองนั่ง - ที่จับสายฉีดชำระ - ก๊อกน้ำ ขอบคุณข้อมูลจาก: กรมอนามัย
ทำความรู้จักโรคติดเชื้อ HIV
HIV เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมทั้งโรคเอดส์ (AIDS) คือระยะท้ายของการติดเชื้อ HIV ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำและมีโรคแทรกซ้อนได้ เชื้อ HIV จะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่เรียกว่า CD4 (ซีดีโฟร์) ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายลดต่ำลง ทำให้มีโอกาสเกิดการติดเชื้อโรคฉวยโอกาสต่าง ๆ เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น รวมทั้งมะเร็งบางชนิดได้มากกว่าคนปกติ ซึ่งอาการอาจจะรุนแรงมากกว่าคนทั่วไป และอาจเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ติดเชื้อ HIV ที่ยังมีระบบภูมิคุ้มกันโรคที่ดีพอสมควร เราจะเรียกว่า “ผู้ติดเชื้อ HIV” และผู้ที่ติดเชื้อ HIV ที่มีภูมิคุ้มกันโรคต่ำลง จนกระทั่งมีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเกิดอาการเจ็บป่วยด้วยโรคฉวยโอกาสเราจะเรียกว่า “ผู้ป่วยเอดส์” เมื่อป่วยด้วยโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแล้ว ต้องรับการรักษา รวมทั้งการป้องกันไม่ให้เกิดเป็นซ้ำ จนกว่าระดับภูมิคุ้มกันโรคหรือ CD4 จะสูงขึ้นเพียงพอที่จะป้องกันร่างกายจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสและเพียงพอที่จะต่อสู้กับเชื้อ HIV ได้ในระดับหนึ่งด้วยภูมิของร่างกายเอง เชื้อ HIV สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสเลือด น้ำเหลือง น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด ส่วนน้ำลาย เสมหะและน้ำนมมีปริมาณเชื้อ HIV น้อย สำหรับเหงื่อ ปัสสาวะและอุจจาระแทบไม่พบเลย ทั้งนี้มีช่องทางการติดต่อที่สำคัญ ได้แก่ การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เช่น ไม่ได้ใส่ถุงยางอนามัย ไม่ว่าชายกับชาย ชายกับหญิง หรือหญิงกับหญิง ทั้งทางช่องคลอดและทวารหนัก ก็ล้วนมีโอกาสติดโรคนี้ได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้ จากข้อมูลของการระบาดวิทยาพบว่า มากกว่าร้อยละ 80 ของผู้ติดเชื้อ HIV ได้รับเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์1. ใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อ HIV ซึ่งมักพบในกลุ่มผู้ฉีดสารเสพติดเข้าเส้นเลือด2. การสัมผัสเลือดหรือน้ำเหลืองของผู้ติดเชื้อ HIV ผ่านผิวสัมผัสที่เป็นแผลเปิดหรือรอยถลอก รวมทั้งการใช้ของมีคมร่วมกับผู้ติดเชื้อ HIV โดยไม่ทำความสะอาดอุปกรณ์ให้สะอาดเพียงพอ เช่น มีดโกนหนวด กรรไกรตัดเล็บ เข็มสักผิวหนังหรือคิ้ว เข็มเจาะหู3. การติดต่อจากแม่สู่ลูก ทั้งระหว่างตั้งครรภ์ การคลอดและการเลี้ยงดูด้วยนมแม่4. การรับโลหิตบริจาคที่มีเชื้อ HIV ปนเปื้อน ซึ่งมีโอกาสน้อยมากในปัจจุบัน เนื่องจากโลหิตที่ได้รับบริจาคทุกขวดต้องผ่านการตรวจหาการติดเชื้อ HIV เพื่อความปลอดภัย หากสงสัยว่า ได้รับเชื้อ HIV ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อกินยาต้านเชื้อ HIV แบบฉุกเฉินหรือยา PEP (เพ็บ) ภายใน 72 ชั่วโมง หรือหากมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับเชื้อสามารถกินยา PrEP (เพร็บ) ซึ่งเป็นยาที่กินก่อนที่จะได้รับเชื้อหรือป้องกันเชื้อ HIV ได้ ระยะของการติดเชื้อ HIV ระยะแรกเริ่มของการติดเชื้อ HIV ในช่วงแรกที่ติดเชื้อปริมาณไม่มาก และยังไม่ได้สร้างภูมิต้านทานขึ้นมาอาจยังตรวจหาเชื้อหรือภูมิต้านทานต่อเชื้อไม่พบ ซึ่งอาจเป็นช่วงตั้งแต่ 2-12 สัปดาห์ ในระยะนี้ผู้ติดเชื้อจะมีอาการไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว น้ำหนักลด หรือมีฝ้าขาวในช่องปาก อาการเหล่านี้มักจะเป็นอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ แล้วหายไปได้เอง และเนื่องจากอาการคล้ายไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่หรือไข้ทั่วไป ผู้ติดเชื้ออาจซื้อยากินเองหรือไปพบแพทย์ก็อาจไม่ได้รับการตรวจเลือด นอกจากนี้บางรายหลังติดเชื้ออาจไม่มีอาการผิดปกติปรากฏให้เห็น ดังนั้นผู้ติดเชื้อบางรายจึงอาจไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่ในระยะนี้ ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ ผู้ติดเชื้อมักจะแข็งแรงเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป แต่เมื่อตรวจเลือดจะพบเชื้อ HIV และสารภูมิคุ้มกันต่อเชื้อชนิดนี้ จึงสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ เรียกว่าเป็นพาหะ (Carrier) ระยะนี้แม้ว่าจะไม่มีอาการแต่เชื้อ HIV จะแบ่งตัวเจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ และทำลายระบบภูมิคุ้มกันโรคจนมีจำนวนลดลง เมื่อลดต่ำลงมาก ๆ ก็จะเกิดอาการเจ็บป่วย ทั้งนี้อัตราการลดลงของระบบภูมิคุ้มกันโรคจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเชื้อ HIV และสภาพความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันโรคของผู้ติดเชื้อเอง ระยะนี้คนส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 85 มักเป็นอยู่นาน 5-10 ปี แต่มีกลุ่มผู้ป่วยประมาณร้อยละ 10 ที่ระยะนี้อาจสั้นเพียง 2-3 ปี ซึ่งเรียกว่า กลุ่มที่มีการดำเนินโรคเร็ว (Rapid progressor) ในขณะที่ประมาณร้อยละ 5 จะมีการดำเนินโรคช้า โดยบางรายอาจนานกว่า 10-15 ปีขึ้นไป เรียกว่า กลุ่มที่ควบคุมเชื้อได้ดีเป็นพิเศษ (Elite controller)ระยะติดเชื้อที่มีอาการ ผู้ป่วยจะมีอาการมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระบบภูมิคุ้มกันโรค ดังนี้ อาการเล็กน้อย ระยะนี้ถ้าตรวจระดับ CD4 มักจะมีจำนวนมากกว่า 500 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร ผู้ป่วยอาจมีอาการต่อมน้ำเหลืองที่คอโตเล็กน้อย โรคเชื้อราที่เล็บ แผลร้อนในในช่องปาก ผิวหนังอักเสบชนิดเกล็ดรังแคที่ไรผม ข้างจมูก ริมฝีปาก ฝ้าขาวข้างลิ้นซึ่งขูดไม่ออก โรคสะเก็ดเงินที่เคยเป็นอยู่เดิมกำเริบ อาการปานกลาง ระยะนี้ถ้าตรวจระดับ CD4 มักจะมีจำนวนระหว่าง 200-500 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร ผู้ป่วยอาจมีอาการดังนี้ เริมที่ริมฝีปากหรืออวัยวะเพศ ซึ่งกำเริบบ่อยและเป็นแผลเรื้อรัง งูสวัด โรคเชื้อราในช่องปากหรือช่องคลอด ท้องเสียบ่อยหรือเรื้อรังนานเกิน 1 เดือน มีไข้เป็น ๆ หาย ๆ หรือติดต่อกันทุกวันนานเกิน 1 เดือน ต่อมน้ำเหลืองโตมากกว่า 1 บริเวณ (เช่น คอ รักแร้ และขาหนีบ) นานเกิน 3 เดือน น้ำหนักลดเกินร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ ปวดกล้ามเนื้อและข้อ ไซนัสอักเสบเรื้อรัง ปอดอักเสบจากแบคทีเรีย ระยะป่วยเป็นเอดส์ (เอดส์เต็มขั้น) ระยะนี้ระบบภูมิคุ้มกันโรคของผู้ป่วยเสื่อมเต็มที่ ถ้าตรวจระดับ CD4 จะพบว่ามักมีจำนวนต่ำกว่า 200 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร เป็นผลทำให้เชื้อโรคต่าง ๆ เช่น ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา โปรโตซัว วัณโรค ฉวยโอกาสเข้ารุมเร้าเรียกว่า โรคติดเชื้อฉวยโอกาส ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อที่รักษาค่อนข้างยากและอาจติดเชื้อชนิดเดิมซ้ำ หรือชนิดใหม่หรือหลายชนิดร่วมกัน ระยะนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการดังนี้ มีไข้เรื้อรังติดต่อกันหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน ไอเรื้อรังหรือหายใจหอบเหนื่อยจากวัณโรคปอดหรือปอดอักเสบ ท้องเสียเรื้อรังจากเชื้อราหรือโปรโตซัว น้ำหนักลด รูปร่างผอมแห้งและอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน กลืนลำบากหรือเจ็บเวลากลืนเนื่องจากหลอดอาหารอักเสบจากเชื้อรา สายตาพร่ามัว มองไม่ชัดหรือเห็นเงาหยากไย่ลอยไปลอยมา ตกขาวบ่อยในผู้หญิง มีผื่นคันตามผิวหนัง ซีด มีจุดแดงจ้ำเขียวหรือเลือดออกจากภาวะเกล็ดเลือดต่ำ สับสน ความจำเสื่อม หลงลืมง่าย ไม่มีสมาธิ พฤติกรรมผิดแปลกจากเดิมเนื่องจากความผิดปกติของสมอง ปวดศีรษะรุนแรง ชัก สับสน ซึม หรือหมดสติจากการติดเชื้อในสมอง อาการของโรคมะเร็งที่เกิดแทรกซ้อน เช่น มะเร็งของผนังหลอดเลือด มะเร็งต่อมน้ำเหลืองในสมอง มะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก เป็นต้น ทั้งนี้ อาการของผู้ติดเชื้อ HIV และผู้ป่วยเอดส์อาจมีอาการที่คล้ายคลึงกับโรคอื่นได้ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดว่า ติดเชื้อ HIV หรือไม่ จึงควรทำการตรวจเลือดหาการติดเชื้อ HIV ขอบคุณข้อมูลจาก คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล นิตยสารวาไรตี้เพื่อสุขภาพ @Rama
เล็ก แต่ ร้าย !! แมลงก้นกระดก ภัยใกล้ตัวหน้าฝน
แมลงก้นกระดก (Rove beetles) หรือที่เรียกกันว่า ด้วงก้นกระดก ด้วงก้นงอน หรือ ด้วงปีกสั้น เป็นแมลงขนาดเล็ก มีความยาวประมาณ 7-8 มิลลิเมตร ลำตัวมีสีดำสลับส้มเป็นปล้องๆ จุดเด่นของแมลงชนิดนี้คือเมื่อเกาะแล้วจะมีลักษณะเหมือนก้นกระดกขึ้นมา มักพบในช่วงฤดูฝน โดยเข้ามาตอมหลอดไฟในบ้านและร่วงหล่นตามพื้นสาเหตุของโรค เกิดจาก แมลงก้นกระดก ปล่อยพิษที่มีชื่อว่า พิเดอริน (Pederin) ซึ่งมีลักษณะเป็นกรดที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนัง ทำให้เกิดอาการแสบร้อนเป็นรอยไหม้หลังจากสัมผัสพิษประมาณ 8-12 ชั่วโมง โดยส่วนมากมักเกิดจากการสัมผัส ปัด หรือบี้ตัวแมลง จนทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนังอาการของโรค สำหรับผู้ป่วยที่โดนกรดจากแมลงก้นกระดก จะรู้สึกปวดแสบปวดร้อน พบรอยไหม้ และตุ่มน้ำเป็นเป็นผื่น ที่มีลักษณะคล้ายเป็นเริมหรืองูสวัด แต่จะพบเป็นรอยยาว ไม่เป็นกระจุก มักพบรอยบริเวณนอกเสื้อผ้า ในบางคนที่แพ้พิษอาจมีอาการรุนแรง เช่น พุพอง คลื่นไส้อาเจียน หรือเริ่มมีไข้ แต่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตวิธีการรักษา สำหรับการรักษา เบื้องต้นเมื่อโดนพิษจากแมลงก้นกระดก ให้รีบล้างด้วยสบู่และน้ำสะอาด หรือใช้น้ำเกลือสำหรับล้างแผลล้างทันที แต่หากเกิดตุ่มน้ำและรอยแดงขึ้นแล้วสามารถทายาเพื่อรักษารอยแดงซึ่งจะหายไปเองประมาณ 2-3 วัน แต่หากมีอาการรุนแรงเนื่องจากแพ้พิษให้รีบพบแพทย์ แพทย์จะใช้ยาประเภทสเตียรอยด์ในการรักษา ส่วนรอยดำที่เกิดขึ้นจะค่อยๆ จางและหายไปเอง ไม่เป็นแผลเป็นวิธีป้องกัน เราสามารถป้องกันแมลงก้นกระดกด้วยการปิดหน้าต่างและประตูให้สนิท เนื่องจากแมลงประเภทนี้ชอบเข้ามาเล่นแสงไฟในเวลากลางคืน และตรวจเช็คบริเวณที่นอนเสมอว่าไม่มีแมลงอยู่ ที่สำคัญหากพบแมลงก้นกระดกห้ามสัมผัสโดยการปัด หรือบดขยี้ ควรใช้วิธีเป่า หรือสะบัดออก ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.thaihealth.or.th/?p=366727
วิธีปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อให้รอดปลอดภัยในระหว่างเกิดแผ่นดินไหวและหลังแผ่นดินไหว
แผ่นดินไหว เกิดจากอะไร มีวิธีปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อให้รอดปลอดภัยในระหว่างเกิดแผ่นดินไหวและหลังแผ่นดินไหว ช่วงหลังมานี้ เรามักจะได้ยินข่าวการเกิดแผ่นดินไหวในแถบประเทศเพื่อนบ้านบ่อยครั้งขึ้น และแรงสั่นสะเทือนทำให้คนที่อยู่บริเวณใกล้เคียง หรือตามตึกสูงในกรุงเทพมหานครรับรู้ได้ เพราะฉะนั้น ในเมื่อเรื่องการเกิดแผ่นดินไหวไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เราก็ควรทำความรู้จักกับเรื่องแผ่นดินไหวให้มากขึ้น รวมทั้งวิธีเตรียมการรับมือกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต แผ่นดินไหว เกิดจากอะไร สำหรับ "แผ่นดินไหว" ถือเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากการปลดปล่อยพลังงานที่สะสมไว้ในโลก เพื่อปรับสมดุลของเปลือกโลกให้คงที่ ซึ่งปกติจะเกิดการเคลื่อนที่บริเวณรอยต่อของแผ่นเปลือกโลก ทำให้ชั้นหินขนาดใหญ่ใต้พื้นผิวโลกเคลื่อนที่ตามไปด้วย และเกิดการโอนถ่ายพลังงานศักย์ จนเกิดการสั่นสะเทือนขึ้น โดยจุดที่แผ่นดินเกิดการเคลื่อนที่นั้นเรียกว่า "จุดศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหว" ทั้งนี้ ทั่วโลกมีเขตรอยต่อแผ่นเปลือกโลกที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวตามมามากมาย แต่จุดที่เป็นรอยต่อขนาดใหญ่ และเป็นจุดเกิดแผ่นดินไหวมากกว่า 80% ของพื้นที่อื่น ๆ ทั่วโลก คือ บริเวณวงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) ที่อยู่รอบมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งประกอบไปด้วยหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ชิลี นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ฯลฯ ที่มักจะเกิดแผ่นดินไหวนอกจากวงแหวนแห่งไฟแล้ว ก็ยังมีแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทางทวีปยุโรปตอนใต้ แถบเทือกเขาอนาโตเลีย ที่ประเทศตุรกี ผ่านบริเวณตะวันออกกลาง จนถึงเทือกเขาหิมาลัย เช่น ประเทศอัฟกานิสถาน ประเทศจีน และประเทศพม่า อย่างไรก็ตาม แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งจะมีพลังทำลายล้างได้มากแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงที่รู้สึกได้มากน้อยเพียงใด และขึ้นอยู่กับระยะทางจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว โดยหากอยู่ใกล้ศูนย์กลางแผ่นดินไหว ก็จะมีความเสียหายมากกว่าจุดอื่น ๆ ที่อยู่ห่างออกไป การวัดขนาดของแผ่นดินไหว สำหรับการวัดขนาดของแผ่นดินไหว (Magnitude) ใช้ระบบการวัดได้หลายรูปแบบ แต่ที่เป็นที่นิยมที่สุด คือ มาตราวัดขนาดของแผ่นดินไหวแบบริกเตอร์ โดยขนาดของแผ่นดินไหวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นมีดังนี้ ขนาดแผ่นดินไหว จัดอยู่ในระดับ ผลกระทบ อัตราการเกิดทั่วโลก 1.9 ลงไป ไม่รู้สึก (Micro) ไม่มี 8,000 ครั้ง/วัน 2.0-2.9 เบามาก (Minor) คนทั่วไปมักไม่รู้สึก แต่ก็สามารถรู้สึกได้บ้าง และตรวจจับได้ง่าย 1,000 ครั้ง/วัน 3.0-3.9 เบามาก (Minor) คนส่วนใหญ่รู้สึกได้ และบางครั้งสามารถสร้างความเสียหายได้บ้าง 49,000 ครั้ง/ปี 4.0-4.9 เบา (Light) ข้าวของในบ้านสั่นไหวชัดเจน สามารถสร้างความเสียหายได้ 6,200 ครั้ง/ปี 5.0-5.9 ปานกลาง (Moderate) สร้างความเสียหายยับเยินได้กับสิ่งก่อสร้างที่ไม่มั่นคง แต่กับสิ่งก่อสร้างที่มั่นคงนั้นไม่มีปัญหา 800 ครั้ง/ปี 6.0-6.9 แรง (Strong) สร้างความเสียหายที่ค่อนข้างรุนแรงได้ในรัศมีประมาณ 80 กิโลเมตร 120 ครั้ง/ปี 7.0-7.9 รุนแรง (Major) สามารถสร้างความเสียหายรุนแรงในบริเวณกว้างกว่า 18 ครั้ง/ปี 8.0-8.9 รุนแรงมาก (Great) สร้างความเสียหายรุนแรงได้ในรัศมีเป็นร้อยกิโลเมตร 1 ครั้ง/ปี 9.0-9.9 รุนแรงมาก (Great) "ล้างผลาญ" ทุกสิ่งทุกอย่างในรัศมีเป็นพันกิโลเมตร 1 ครั้ง/20 ปี 10.0 ขึ้นไป ทำลายล้าง (Epic) ไม่เคยเกิด จึงไม่มีบันทึกความเสียหายไว้ 0 สำหรับการวัดความรุนแรงของแผ่นดินไหว (Intensity) ในประเทศไทยจะใช้มาตราเมอร์แคลลี่ ซึ่งมีทั้งหมด 12 อันดับ เขียนตามสัญลักษณ์เลขโรมันวิธีปฏิบัติตัวเมื่อเกิดแผ่นดินไหว อันดับที่ ลักษณะความรุนแรงโดยเปรียบเทียบ I เป็นอันดับที่อ่อนมาก ตรวจวัดโดยเครื่องมือ II พอรู้สึกได้สำหรับผู้ที่อยู่นิ่ง ๆ ในอาคารสูง ๆ III พอรู้สึกได้สำหรับผู้อยู่ในบ้าน แต่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้สึก IV ผู้อยู่ในบ้านรู้สึกว่าของในบ้านสั่นไหว V รู้สึกเกือบทุกคน ของในบ้านเริ่มแกว่งไกว VI รู้สึกได้กับทุกคน ของหนักในบ้านเริ่มเคลื่อนไหว VII ทุกคนต่างตกใจ สิ่งก่อสร้างเริ่มปรากฏความเสียหาย VIII เสียหายค่อนข้างมากในอาคารธรรมดา IX สิ่งก่อสร้างที่ออกแบบไว้อย่างดีเสียหายมาก X อาคารพัง รางรถไฟบิดงอ XI อาคารสิ่งก่อสร้างพังทลายเกือบทั้งหมด ผิวโลกปูดนูนและเลื่อนเป็นคลื่นบน พื้นดินอ่อน XII ทำลายหมดทุกอย่าง มองเห็นเป็นคลื่นบนแผ่นดิน วิธีปฏิบัติตัวเมื่อเกิดแผ่นดินไหว สำหรับวิธีปฏิบัติตัว เมื่อเกิดแผ่นดินไหวขึ้น ทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ให้ข้อแนะนำไว้ดังนี้ก่อนการเกิดแผ่นดินไหว 1. ควรมีไฟฉายพร้อมถ่านไฟฉาย และกระเป๋ายาเตรียมไว้ในบ้าน และให้ทุกคนทราบว่าอยู่ที่ไหน 2. ศึกษาการปฐมพยาบาลเบื้องต้น 3. ควรมีเครื่องมือดับเพลิงไว้ในบ้าน เช่น เครื่องดับเพลิง ถุงทราย เป็นต้น 4. ควรทราบตำแหน่งของวาล์วปิดน้ำ วาล์วปิดแก๊ส สะพานไฟฟ้า สำหรับตัดกระแสไฟฟ้า 5. อย่าวางสิ่งของหนักบนชั้น หรือหิ้งสูง ๆ เมื่อแผ่นดินไหวอาจตกลงมาเป็นอันตรายได้ 6. ผูกเครื่องใช้หนัก ๆ ให้แน่นกับพื้นผนังบ้าน 7. ควรมีการวางแผนเรื่องจุดนัดหมาย ในกรณีที่ต้องพลัดพรากจากกัน เพื่อมารวมตัวกันอีกครั้งในภายหลัง 8. สร้างอาคารบ้านเรือนให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่กำหนด สำหรับพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว 9. ตรวจสอบบ้านเรือนและเครื่องใช้ต่าง ๆ ภายในบ้านให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง ยึดติดอุปกรณ์และเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ กับพื้นหรือผนังบ้านอย่างแน่นหนาระหว่างการเกิดแผ่นดินไหว 1. อย่าตื่นตกใจ พยายามควบคุมสติอยู่อย่างสงบ ถ้าท่านอยู่ในบ้านก็ให้อยู่ในบ้าน ถ้าท่านอยู่นอกบ้านก็ให้อยู่นอกบ้าน เพราะส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บ เพราะวิ่งเข้า-ออกจากบ้าน 2. ถ้าอยู่ในบ้านให้ยืน หรือหมอบอยู่ในส่วนของบ้านที่มีโครงสร้างแข็งแรง ที่สามารถรับน้ำหนักได้มาก และให้อยู่ห่างจากประตู ระเบียง และหน้าต่าง 3. กรณีอยู่ในอาคาร ให้หาที่หลบกำบังในบริเวณที่ปลอดภัย พร้อมใช้มือกำบังศีรษะและลำคอ โดยหมอบบริเวณใต้โต๊ะ เก้าอี้ที่แข็งแรง ไม่มีสิ่งของหล่นใส่ หรือในจุดที่มีโครงสร้างแข็งแรง ไม่อยู่ใต้คานหรือใกล้เสา อยู่ให้ห่างจากประตู หน้าต่างที่เป็นกระจกและเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ที่สามารถล้มลงมาได้ ห้ามวิ่งหนีออกจากอาคารโดยใช้ลิฟต์ เพราะหากกระแสไฟฟ้าดับ จะติดค้างอยู่ในลิฟต์ ทำให้ขาดอากาศหายใจเสียชีวิตได้ และไม่ควรใช้บันไดหนีไฟ เพราะอาจได้รับอันตรายจากสิ่งของที่ร่วงหล่นจากแรงสั่นสะเทือน หรือบันไดหนีไฟอาจร่วงหล่นมาจากตึกได้ 4. ถ้าอยู่ในที่โล่งแจ้ง ให้อยู่ห่างจากเสาไฟฟ้า และสิ่งห้อยแขวนต่าง ๆ ที่ปลอดภัยภายนอกคือที่โล่งแจ้ง 5. อย่าใช้เทียน ไม้ขีดไฟ หรือสิ่งที่ทำให้เกิดเปลวหรือประกายไฟ เพราะอาจมีแก๊สรั่วอยู่บริเวณนั้น 6. หากกำลังขับรถ ให้หยุดรถในบริเวณที่ปลอดภัยและรอจนกว่าเหตุแผ่นดินไหวสงบค่อยขับรถต่อ ห้ามหยุดรถบริเวณใต้สะพาน ทางด่วน ป้ายโฆษณาและต้นไม้ขนาดใหญ่ เพราะเสี่ยงต่อการถูกล้มทับ 7. ห้ามใช้ลิฟต์โดยเด็ดขาดขณะเกิดแผ่นดินไหว 8. กรณีอยู่บริเวณชายทะเล หากสังเกตเห็นน้ำทะเลลดระดับอย่างรวดเร็ว ให้รีบหนีขึ้นที่สูงหรือออกห่างจากชายฝั่งทะเลให้มากที่สุด เพราะอาจเกิดคลื่นสึนามิ ถ้าอยู่ในเรือ ให้นำเรือออกสู่กลางทะเล และรอจนกว่าสถานการณ์สงบ จึงค่อยนำเรือกลับเข้าฝั่ง ขอบคุณข้อมูลจาก : Kapook! (https://hilight.kapook.com/view/23826)
อันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า
อันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า บุหรี่ไฟฟ้า (ELECTRIC CIGARETTE) เป็นอุปกรณ์สูบบุหรี่ชนิดหนึ่งซึ่งใช้กลไกไฟฟ้าทำให้เกิดความร้อนและไอน้ำ ประกอบไปด้วยสารเคมีต่างๆ โดยไม่มีควันจากกระบวนการเผาไหม้เหมือนบุหรี่ทั่วไปส่วนของน้ำยาที่ถูกทำให้เป็นไอ เข้าสู่ร่างกาย จะมีสารประกอบหลัก คือ 1. นิโคติน เป็นสารที่ทำให้ร่างกายเสพติดการสูบบุหรี่ 2. โพรไพลีนไกลคอล ทำให้เกิดอาการไอ 3. กลีเซอรีน เป็นสารเพิ่มความชื้น เมื่อผสมกับสารโพรไพลีนไกลคอล ทำให้เกิดอาการไอ 4. สารแต่งกลิ่นและรส เป็นสารเคมีที่ใช้กับอาหารทั่วๆ ไป แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่า เมื่อเปลี่ยนรูปแบบเป็นไอที่สูบแล้ว จะเกิดผลกระทบต่อร่างกายอย่างไร สารเคมีต่าง ๆ ที่พบในน้ำยา ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ เช่น นิโคติน กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง • เพิ่ม : ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการหายใจ • เพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง : มะเร็งปอด ช่องปาก หลอดอาหาร ตับอ่อน • โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ • กระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มขึ้น ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น เป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน • กระตุ้นจำนวนเซลล์ผนังหลอดเลือดเพิ่มขึ้น ทำให้เส้นเลือดตีบ เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ และหลอดเลือดสมอง • ในหญิงตั้งครรภ์ นิโคตินส่งผลต่อพัฒนาการ ของสมองทารกในครรภ์ เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ • สารนิโคติน ทำให้เกิดการเสพติด ไม่ต่างจากบุหรี่ธรรมดา โพรไพลีนไกลคอล / สาร Glycerol/Glycerin เมื่อสูดดมเข้าไปอาจทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนัง ดวงตา และปอดได้พบมากในผู้ที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง โรคหอบหืด และโรคถุงลมโป่งพองและสารประกอบที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น โลหะหนัก สารหนู สารกลุ่ม Formaldehyde, Benzene เป็นต้น จากการวิจัยยังพบว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆได้ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง เทียบกับบุหรี่ธรรมดาแล้วบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายมากกว่าหรือน้อยกว่า? ไอระเหยของบุหรี่ไฟฟ้ามีขนาดอนุภาคที่เล็กกว่าบุหรี่ธรรมดา ทำให้สามารถถูกสูดเข้าไปในปอดส่วนลึกได้มากกว่า อนุภาคที่เล็กนี้จะจับเข้ากับเนื้อเยื่อปอดและดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็วและยากที่ร่างกายจะขับออกมาได้ บุหรี่ไฟฟ้ายังเป็นของใหม่ ยังไม่มีข้อมูลวิจัยที่มากพอที่จะยืนยันถึงอันตรายของสารเคมีแต่ละตัวในบุหรี่ไฟฟ้า กรณีใช้ไปนานๆ ยังไม่มีข้อมูลว่าอันตราย แต่ไม่ใช่แปลว่าไม่มีอันตราย จะต้องติดตามศึกษากันต่อไปก่อน ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต
ฝุ่น PM 2.5
ฝุ่น PM 2.5 เป็นฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ซึ่งขนาดที่เล็กมากนี้จะสามารถหลุดรอดการกรองของขนจมูก ผ่านเข้าสู่ทางเดินหายใจเข้าไปยังถุงลมฝอยและแทรกซึม ผ่านเข้าไปยังหลอดเลือดฝอย และเข้าสู่กระแสเลือดได้ ทำให้เกิดโรคในหลายระบบต่างๆของร่างกาย สาเหตุที่ทำให้เกิดฝุ่น PM2.5 - ไฟป่า การเผาขยะ การเผาเพื่อทำการเกษตรในที่โล่ง เช่น การเผาไร่อ้อย เผาวัชพืชต่าง ๆ - ควันที่เกิดจากการทำอุตสาหกรรมต่าง ๆ และฝุ่นจากการก่อสร้าง - การขนส่งและคมนาคม เช่น ควันจากท่อไอเสีย การเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์ - การผลิตไฟฟ้า เช่น การเผาปิโตรเลียมและถ่านหิน - กิจวัตรต่าง ๆ ของคน เช่น สูบบุหรี่ การจุดธูปเทียน เผากระดาษ การใช้เครื่องถ่ายเอกสาร - ด้วยขนาดที่เล็กมาก ทำให้ฝุ่นละอองพิษ PM2.5 สามารถถูกสูดเข้าลึกถึงทางเดินหายใจและปอด บางอนุภาคยังอาจเข้าสู่กระแสเลือดไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพมากมาย การสัมผัสในระยะสั้น - ทางเดินหายใจอักเสบ หายใจลำบาก แสบจมูก ไอมีเสมหะ แน่นหน้าอก ถุงลมแฟบ สมรรถภาพปอดลดลง ภูมิแพ้และหืดกำเริบ - ทำลายภูมิคุ้มกัน เกิดการติดเชื้อในปอด และทางเดินหายใจได้ง่าย เช่น ไข้หวัดใหญ่, หลอดลมอักเสบ, หูอักเสบ - พัฒนาการเด็กล่าช้า - ผลต่อระบบสืบพันธุ์ ทำให้มีบุตรยาก การสัมผัสในระยะยาว - โรคมะเร็งปอด - การอักเสบของเส้นเลือด อาจเกิดโรคหัวใจขาดเลือด โรคอัมพาตจากหลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน - โรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง - โรคทางผิวหนังหรือตาอักเสบ - ผิวมีจุดด่างดำและรอยย่น ดูแก่กว่าวัย กลุ่มเสี่ยงอันตรายจากฝุ่นพิษ เด็ก อาจกล่าวได้ว่ายิ่งอายุน้อย ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากเด็กเล็กมีภูมิคุ้มกันโรคน้อยกว่าผู้ใหญ่ อวัยวะต่างๆ ในร่างกายยังอยู่ในระยะที่กำลังพัฒนา ทั้งนี้ฝุ่นพิษในอากาศที่สามารถเข้าสู่ระทางเดินหายใจและกระแสเลือดได้ง่ายจะไปขัดขวางการเจริญเติบโตของระบบต่างๆ หรือทำให้เกิดโรคร้ายแรงในที่สุด หญิงมีครรภ์ นอกจากภัยร้ายส่งผลต่อตัวคุณแม่ตั้งครรภ์ที่สูดฝุ่นละอองโดยตรงแล้ว ทารกในครรภ์ยังเป็นอันตรายด้วยเช่นกัน มีการศึกษาพบว่ามลพิษในอากาศมีผลต่อการคลอดก่อนกำหนด เสี่ยงแท้งบุตร และเพิ่มอัตราการตายของทารกในครรภ์ได้ ผู้สูงอายุ เมื่ออายุมากขึ้น อวัยวะเริ่มเสื่อมถอย ระบบการทำงานต่างๆ ในร่างกายลดลง ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันลงดลง หากต้องเผชิญกับฝุ่นละออง อาจมีแนวโน้มเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหอบหืด โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว ควรหลีกเลี่ยงการเผชิญฝุ่นพิษให้มากที่สุด ผู้ป่วยหรือมีโรคประจำตัว โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ โรคปอด และโรคหัวใจชนิดต่างๆ การสูดฝุ่นผงเข้าสู่ร่างกายโดยตรงส่งผลให้โรคกำเริบ อาจถึงกับชีวิตได้ การป้องกัน - ติดตามรายงานสภาพอากาศและระดับ PM 5 อย่างสม่ำเสมอ - ในบ้านหรืออาคารควรใช้เครื่องฟอกอากาศที่สามารถกรองฝุ่น PM 5 - ได้สวมหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ หรือสวมหน้ากาก N95 เมื่อต้องออกจากบ้านหรืออาคาร - สวมแว่นกันลม กันฝุ่น สวมเสื้อแขนยาวมิดชิด - ลดเวลาการอยู่นอกบ้าน/อาคาร โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อ PM 5 สูง เช่น เด็ก หญิงตั้งครรภ์ คนชรา ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคภูมิแพ้ โรคปอด โรคหัวใจ โรคหลอด - เลือดสมอง และโรคไตเรื้อรัง - หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายกลางแจ้ง ทั้งนี้การใส่หน้ากากให้ได้ประสิทธิภาพในการป้องกันฝุ่น PM 2.5 ต้องใส่ให้ถูกวิธีและกระชับกับใบหน้าของผู้สวมใส่ด้วย ขอบคุณที่มา : โรงพยาบาลบางกอก 3
5 โรคฮิตที่มาพร้อมหน้าหนาว
1) ไข้หวัด สาเหตุ >> อากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย เมื่อร่างกายอ่อนแอ เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย อาการ >> คัดจมูก น้ำมูกไหล มีไข้ ไอ จาม การป้องกัน/รักษา >> พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำเยอะ ๆ ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ สามารถหายเองได้โดยไม่ต้องพึ่งยารักษา 2) ไข้หวัดใหญ่ สาเหตุ >> เชื้อไวรัส อินฟลูเอ็นซา (influenza virus) ที่มักแพร่ระบาดในฤดูหนาว อาการ >> มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดหัว อาจมีน้ำมูก ไอแห้ง เจ็บคอ การป้องกัน/รักษา >> พบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม หรือป้องกันโดยการฉีดวัคซีน 3) ท้องร่วง สาเหตุ >> ติดเชื้อจากการดื่มน้ำหรืออาหารที่มีการปนเปื้อนเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสโรต้า (Rotavirus) อาการ >> ท้องเสียถ่ายเหลวบ่อยครั้ง มีไข้ อาเจียน อ่อนเพลีย การป้องกัน/รักษา >> ป้องกันโดยการรับวัคซีนป้องกันไวรัสหรือพบแพทย์เพื่อรักษาอย่างเหมาะสม 4) ปวดบวม/ปอดอักเสบ สาเหตุ >> เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียเข้าไปอยู่ตามถุงลมปอด ทำให้เนื้อบริเวณนั้นไม่สามารถรับออกซิเจนได้ตามปกติ อาการ >> เจ็บแน่นหน้าอก มีไข้สูง ไอ มีเสมหะ การป้องกัน/รักษา >> พบแพทย์เพื่อรับยาลดไข้ ยาปฏิชีวนะ หรือรักษาตามความเหมาะสม ดื่มน้ำมาก ๆ 5) ผิวหนังแห้ง สาเหตุ >> ในช่วงอากาศหนาว ความชื้นในอากาศลดลงร่างกายสูญเสียความชื้นบริเวณผิวหนัง อาการ >> ผิวแห้ง ผิวลอก ผิวหนังแตก รู้สึกแสบคัน การป้องกัน/รักษา >> เลือกใช้สบู่สูตรอ่อนโยน ลดการขัดผิวหรือแช่น้ำอุ่นนาน ๆ ทาครีมหรือน้ำมันทาผิวหลังอาบน้ำและดื่มน้ำมาก ๆ ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.ipst.ac.th/knowledge/35512/5winterdiseases.html
คุณสมบัติของกาแฟ
ใคร ๆ ก็บอกว่ากาแฟมีคาเฟอีน สารที่หากได้รับในปริมาณที่เกินพิกัดก็อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ แต่คอกาแฟอย่าเพิ่งหมดกำลังใจเลย เพราะ 9 ข้อต่อไปนี้ จะเป็นข้อดีของกาแฟที่ถ้ากินในปริมาณที่เหมาะสมหากจำกัดครีมเทียม นม และน้ำตาล อย่างเหมาะเจาะ ก็สร้างประโยชน์ดี ๆ ให้ร่างกายเราไม่เบาเลย1. ลดความเสี่ยงเป็นโรคนิ่ว ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ปี 2002 เผยว่าผู้หญิงที่ดื่มกาแฟ 4 แก้วต่อวัน จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีลดลงประมาณ 25% เช่นเดียวกับผลการวิจัยก่อน หน้านี้ที่บอกว่าผู้ชายที่ดื่มกาแฟเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีได้ด้วย2. กาแฟช่วยลดความเครียด เมื่อรู้สึกเครียดๆ เหนื่อยๆ ทีไร ได้จิบกาแฟสักหน่อยก็จะรู้สึกดีขึ้นใช่ไหมคะ ซึ่งคราวนี้เราการันตีด้วยผลการวิจัยเพิ่มเติมอีกด้วยว่าคนที่ดื่มกาแฟประมาณ 2-3 แก้วต่อวัน จะลดความเครียดได้ประมาณ 15% แต่หากดื่มกาแฟ 4 แก้วต่อวัน จะสามารถลดความเครียดได้ถึง 20% เลยทีเดียว3. ช่วยกระตุ้นความจำ ผลการวิจัยจากภาครังสีวิทยาของอเมริกาเหนือกล่าวว่า หากดื่มกาแฟ 2 แก้วต่อวัน จะสามารถพัฒนาความจำและปฏิกิริยาตอบโต้ได้ดีขึ้น สอดคล้องกับการวิจัยของอีกสถาบันหนึ่งที่บอกว่าผู้หญิงอายุ 65 ปีขึ้นไป หากดื่มกาแฟมากกว่า 3 แก้วต่อวัน จะมีความจำที่ดีขึ้นกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มกาแฟหรือดื่มกาแฟน้อยกว่านี้4. รอดจากโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จากการศึกษาของภาคการเกษตรและเคมีอาหารของสหรัฐอเมริกา ทำให้ทราบว่านักดื่มกาแฟตัวยงจะมีโอกาสรอดพ้นจากโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ประมาณ 50% เนื่องจากคาเฟอีนมีคุณสมบัติช่วยยับยั้ง hIAPP และโพลีเปปไทด์ตัวการก่อให้เกิดโปรตีนผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 นั่นเอง5. ลดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง มีผลการวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันว่าการดื่มกาแฟวันละ 2-5 แก้วต่อวัน จะช่วยลดความเสี่ยงเกิดเซลล์มะเร็งเต้านมมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งตับได้ด้วย โดยประสิทธิภาพของคาเฟอีนจะช่วยยับยั้งการเกิดเซลล์ผิดปกติ และกำจัดสารพิษที่ร่างกายได้รับได้ในระดับหนึ่ง6. กระตุ้นการทำงานของระบบเผาผ ลาญ มีผลการวิจัยหลายชิ้นที่บอกว่าคาเฟอีนช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเมตาบอลิซึมและอาจจะทำให้น้ำหนักคุณลดลงได้ แต่ล่าสุดผลการวิจัยเมื่อปี 2006 เพิ่งจะได้ข้อสรุปว่าคาเฟอีนในเมล็ดกาแฟสดคั่วบดมีผลกับการลดน้ำหนักในผู้หญิงได้จริง และสามารถลดน้ำหนักเฉลี่ยได ้ 7.7 กิโลกรัมภายใน 22 สัปดาห์เลยทีเดียว7. ลดความเสี่ยงเป็นโรคพาคินสัน สถาบันการแพทย์อเมริกันได้ทำการวิจัยและพบว่าคาเฟอีนในกาแฟมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลดความเสี่ยงเป็นโรคพาคินสัน โดยผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2-3 แก้วเป็นประจำทุกวันจะช่วยลดโอกาสเกิดโรคพาคินสันได้ถึง 25% เลย8. ปลุกความตื่นตัวได้ในทันที คาเฟอีนมีคุณสมบัติไม่ต่างจากสารกระตุ้นดี ๆ ชนิดหนึ่ง ที่สามารถปลุกความตื่นตัวให้กับร่างกายที่อ่อนล้าหรืออ่อนเพลียได้ในระยะเวลา สั้น ๆ ยืนยันด้วยการทดลองกับนักกีฬากลุ่มหนึ่ง ซึ่งได้ดื่มกาแฟระหว่างที่ฝึกซ้อม และพบว่านักกีฬากลุ่มที่ดื่มกาแฟจะสามารถฝึกซ้อมกีฬาได้นานขึ้นเรียกได้ว่ามีความอึดมากกว่าเดิมนั่นเอง โดยความคึกคักที่เกิดขึ้นจะมีระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น9. ลดโอกาสเป็นโรคเกาต์ สำหรับคนที่กลัวตัวเองจะเสี่ยงเป็นโรคเกาต์ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป แนะนำให้ดื่มกาแฟประมาณ 3-6 แก้วต่อวันอย่างต่อเนื่อง เพราะผลการวิจัยจากสถาบันสุขภาพแห่งหนึ่งยืนยันแล้วว่าคาเฟอีนมีส่วนช่วยบรรเทาการ อักเสบของข้อ เนื่องมาจากกรดยูริกที่เกิน ขนาดอย่างได้ผล และคนที่ดื่มกาแฟ 6 แก้วต่อวัน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคเกาต์ได้ถึง 60% ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก SKINTEC INTERPRODUCT
6 โรคติดต่อ...ที่ควรระวังเมื่อมีน้ำท่วมขัง
ในช่วงฤดูฝนที่มีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง มักทำให้หลายพื้นที่มีน้ำท่วมขัง หรือมีการเอ่อล้นตลิ่งของน้ำคลองหรือจากแหล่งน้ำต่างๆ ซึ่งสิ่งที่จะตามมาก็คือ การระบาดของโรคติดต่อหรือโรคติดเชื้อต่างๆ เพราะแหล่งน้ำขังส่วนใหญ่จะเป็นที่ที่เชื้อโรคเพาะพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว การมีความรู้ที่ทำให้เราสามารถดูแลตัวเองเบื้องต้น เพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงการติดเชื้อจะช่วยให้เราไม่ต้องเจ็บป่วย หรือหากเกิดอาการจะได้รู้เท่าทันและรีบไปพบแพทย์ ส่วนโรคที่มักระบาดในช่วงหน้าฝน มี 6 กลุ่มโรค ที่ควรระวัง ดังนี้1. โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ (ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม)อาการ - มีไข้ มีน้ำมูก คัดจมูก ไอ เจ็บคอ ปวดเมื่อยเนื้อตัว ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย และเบื่ออาหารการป้องกัน - ดูแลร่างกายให้แห้งและอบอุ่นอยู่เสมอ ไม่สวมเสื้อผ้าที่เปียกชื้น - หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ที่มีความสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรค - รักษาสุขอนามัยให้ดี เช่น ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดบ่อยๆ - ไม่ว่าเราจะเป็นผู้ป่วยหรือไม่ ควรปิดปากและจมูกเมื่อไอ หรือจาม2. โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร (โรคอุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษ อหิวาตกโรค โรคบิด ไทฟอยด์ และโรคตับอักเสบ)อาการ - ถ่ายอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำ หรือถ่ายเป็นมูกเลือด ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ มีไข้ ปวดเมื่อยเนื้อตัว เบื่ออาหาร หรือมีอาการตัวเหลือง ตาเหลืองการป้องกัน - ควรทานอาหารที่สะอาดและปรุงสุกทุกครั้ง ไม่ควรทานอาหารกระป๋องที่หมดอายุ บวม หรือขึ้นสนิม - ดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำจากขวดที่มีฝาปิดสนิท หรือน้ำต้มสุก เป็นต้น - ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดทุกครั้ง ทั้งก่อนทำอาหาร ก่อนทานอาหาร และหลังทานอาหาร รวมถึงหลังการขับถ่าย - ห้ามถ่ายอุจจาระลงไปในแหล่งน้ำ หากใช้ส้วมไม่ได้ ควรถ่ายลงในถุงพลาสติก ปิดปากถุงให้แน่น แล้วนำไปใส่ในถุงขยะ3. โรคฉี่หนู หรือ โรคเลปโตสไปโรซิสอาการ - มีไข้สูงฉับพลัน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะบริเวณน่อง โคนขา หรือหลัง บางรายอาจมีอาการตาแดง มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง ไอมีเลือดปน ตัวเหลือง ตาเหลือง และปัสสาวะน้อยการป้องกัน - หลีกเลี่ยงการลงไปแช่ หรือลุยน้ำ ลุยโคลน - หากจำเป็นต้องลุยน้ำ ลุยโคลน ควรรีบล้างเท้าด้วยสบู่และน้ำ แล้วเช็ดให้แห้งโดยเร็วที่สุด - หากมีบาดแผล ควรป้องกันไม่ให้บาดแผลสัมผัสถูกน้ำ เช่น สวมรองเท้าบูทยาง4. โรคน้ำกัดเท้าอาการ - คันตามซอกนิ้วเท้า ผิวหนังลอกเป็นขุย มีผิวหนังอักเสบบวมแดงเป็นผื่นพุพอง หรือมีลักษณะเท้าเปื่อยและเป็นหนองการป้องกัน - หลีกเลี่ยงการลงไปแช่ หรือลุยน้ำ ลุยโคลน - หากจำเป็นต้องลุยน้ำ ลุยโคลน ควรรีบล้างเท้าด้วยสบู่และน้ำ แล้วเช็ดให้แห้งโดยเร็วที่สุด - หากมีบาดแผล ควรป้องกันไม่ให้บาดแผลสัมผัสถูกน้ำ เช่น สวมรองเท้าบูทยาง 5. โรคตาแดงอาการ - มีอาการระคายเคืองตา ตาแดง หนังตาบวม ตาสู้แสงไม่ได้ หรือมีน้ำตาไหลการป้องกัน - เมื่อมีฝุ่นละอองหรือสิ่งสกปรกเข้าตา ควรรีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที - เมื่อมีอาการคันตา ไม่ควรขยี้ตาด้วยมือที่สกปรกหรือยังไม่ได้ล้าง - หากพบผู้ป่วยที่มีอาการของโรคตาแดง ควรแยกผู้ป่วยออกจากผู้อื่นก่อน - ไม่ควรใช้สิ่งของร่วมกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคตาแดง เพื่อป้องกันการระบาดและการติดโรค6. โรคไข้เลือดออกอาการ - มีไข้สูงลอย (อุณหภูมิของร่างกายสูงกว่าปกติตลอด 24 ชม. โดยอุณหภูมิที่สูงสุดและต่ำสุดในแต่ละวันมีความแตกต่างกัน ไม่เกิน 1 องศาเซลเซียส) ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง หรืออาจมีเลือดออกตามไรฟันการป้องกัน - หลีกเลี่ยงการถูกยุงกัด - ติดมุ้งลวดที่ประตูและหน้าต่าง - ใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว - กำจัดแหล่งน้ำขังซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย บทความโดยนายแพทย์อาจ พรวรนันท์แพทย์ประจำสาขาอายุรกรรมโรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลเปาโล
รู้จักกับปลาหมอคางดํา หรือปลาหมอสีคางดํา
ปลาหมอคางดำ หรือปลาหมอสีคางดำ ปลาเอเลี่ยนสปีชีส์ที่ปัจจุบันกำลังกลายเป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำชนิดอื่นๆ ไทยรัฐออนไลน์พาทำความรู้จัก ปลาหมอคางดำคือปลาอะไร มีที่มาจากไหน และมีลักษณะเป็นอย่างไร รู้จัก ปลาหมอคางดํา หรือปลาหมอสีคางดํา คือปลาอะไร ปลาหมอคางดํา คือ ปลาชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับปลาหมอเทศหรือปลาหมอสี เพียงแต่บริเวณใต้คางมีสีดำ มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Sarotherodon melanotheron Ruppell จัดอยู่ในวงศ์ Cichlidae เมื่อโตเต็มวัย จะมีขนาดยาวถึง 8 นิ้ว หรือมากกว่า ปลาสายพันธุ์นี้ลักษณะพิเศษหลายอย่าง เช่น ทนต่อความเค็มได้สูง ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้ดี ขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว และแม้ว่าจะไม่สามารถระบุเพศได้อย่างชัดเจน แต่ก็มีข้อสังเกตเล็กๆ น้อยๆ อย่างเพศผู้จะมีหัวและแผ่นปิดเหงือกที่มากกว่าเพศเมีย ปลาหมอคางดํากินได้ไหม ? ปลาหมอคางดำ สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น แกงปลาหมอคางดำ ฉู่ฉี่ปลาหมอคางดำ ปลาย่างเกลือ ทอดมันปลา ซึ่งได้รับความนิยมมากกว่าการนำไปขาย เนื่องจากหากนำไปขายก็จะขายไม่ได้ราคาสูงมากนัก เนื่องจากมีปลาจำนวนมาก ไขข้อสงสัย "ปลาหมอคางดํา" มาจากไหน ปลาหมอคางดํามาจากประเทศอะไร กลายเป็นคำถามที่หลายๆ คนสงสัย โดยปลาหมอคางดำมีถิ่นกำเนิดมาจากทวีปแอฟริกา นิยมอาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำกร่อย ซึ่งระยะเวลาที่ผ่านมาก็มีการนำเข้าปลาสายพันธุ์ดังกล่าวไปยังหลายทวีปทั่วโลก รวมถึงทวีปเอเชีย และในประเทศไทย ดังนี้ - พ.ศ. 2549 คณะกรรมการด้านความหลากหลายและความปลอดภัยทางชีวภาพของกรมประมง (IBC) อนุญาตให้บริษัทนำเข้าปลาหมอคางดำเข้ามาเพื่อปรับปรุงสายพันธุ์ปลานิล - พ.ศ. 2553 บริษัทได้นำปลาหมอคางดำจำนวน 2,000 ตัว มาเลี้ยงที่ จ.สมุทรสงคราม โดยระบุว่าตายเกือบทั้งหมดและได้ทำการกำจัดทิ้งแล้ว - พ.ศ. 2555 เกษตรกรชาวสมุทรสงครามพบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ - พ.ศ. 2561 กรมประมงได้แก้ไขประกาศกระทรวงฯ ห้ามนำเข้าปลาหมอสีคางดำ ปลาหมอมายัน และปลาหมอบัตเตอร์ ใครฝ่าฝืนจะมีโทษทางกฎหมาย ปลาหมอคางดําอันตรายยังไง เนื่องจากปลาหมอคางดำเป็นปลาที่ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้ดี ทนกับความเค็มได้สูง ในขณะเดียวกันปลาสายพันธุ์นี้สามารถกินได้ทั้งพืช สัตว์ หรือซากของสิ่งมีชีวิต และสามารถย่อยอาหารได้ดี จึงทำให้มีอัตราการเติบโตที่รวดเร็ว ปลาหมอคางดำเพศเมีย 1 ตัว มีไข่ประมาณ 50-300 ฟอง หรือมากกว่านั้น ใช้เวลาตั้งท้องเพียง 22 วัน ใช้เวลาฟักไข่ในปากเพศผู้เพียง 4-6 วัน ก่อนจะดูแลตัวอ่อนประมาณ 2-3 สัปดาห์ไว้ในปากเช่นเดิม ส่งผลให้อัตราการรอดสูงกว่าปกติ และสามารถผสมพันธุ์ได้ทุกฤดูกาล ซึ่งนับว่าเป็นการขยายพันธุ์ที่รวดเร็วนั่นเอง ปัจจุบันยังไม่มีการระบุอย่างแน่ชัดถึงการนำเข้าของปลาหมอคางดำ แต่อย่างไรก็ดี ปลาหมอคางดำกลายเป็นปัญหาสำคัญที่ควรแก้ไขอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ส่งผลเสียต่อระบบนิเวศ รวมไปถึงชาวประมงและเกษตรกรไทย ขอบคุณข้อมูล https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2801885?gallery_id=1