-
สาระน่ารู้
หน้าแรก
สาระน่ารู้
พบข้อมูลจำนวน 121 รายการ แสดงผลอยู่ที่ 8/11 หน้า
จัดซื้อจัดจ้าง
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2568 งวดที่ 1 เดือนตุลาคม - ธันวาคม 2567
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2567 งวดที่ 2 เดือนเมษายน - มิถุนายน 2567
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2567 งวดที่ 3 เดือนกรกฏาคม - กันยายน 2567
-
ประกาศเผยแพร่แผนการจัดซื้อจัดจ้าง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 โครงการก่อสร้างอาคารเรียนระดับประถมศึกษาพร้อมปรับภูมิทัศน์ ภายใน
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2566 งวดที่ 1 เดือนตุลาคม 2565 - มีนาคม 2566
ค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์
ปฎิทินกิจกรรม
ท่านคิดว่า อบจ.ระยอง ควรเน้นหนักแก้ไขปัญหาในเรื่องใดเป็นอันดับแรก
- ปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค โหวต
- แก้ไขปัญหายาเสพติด โหวต
- แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โหวต
- แก้ไขปัญหาน้ำท่วม โหวต
- ราคาผลผลิตภาคการเกษตร โหวต
สถิติผู้เข้าชมเว็บไซต์
- กำลังใช้งาน 104 คน
- ผู้เข้าชมวันนี้ 2,333 คน
- ผู้เข้าชมทั้งหมด 20,402,908 คน
แปลภาษา

โรคมือ เท้า ปาก...สิ่งที่พ่อแม่ควรรู้เพื่อลูกรัก
โรคมือเท้าปากเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส พบได้บ่อยในทารกและเด็กเล็ก ทำให้มีอาการไข้ เป็นแผลในปาก มีตุ่มน้ำใสตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า และลำตัว จัดเป็นโรคที่สร้างความกังวลใจให้กับคุณพ่อคุณแม่อยู่ไม่น้อย สาเหตุของโรคมือเท้าปาก โรคมือเท้าปากเกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส ซึ่งมีมากกว่า 100 สายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคที่พบได้บ่อย เช่น คอกซากีไวรัส เอ16 (coxsackievirus A16) และเอนเทอโรไวรัส 71 (enterovirus 71) กลุ่มเสี่ยงที่พบบ่อยคือ เด็กทารกและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งมักมีอาการรุนแรงมากกว่าเด็กโต สำหรับผู้ใหญ่พบโรคนี้ได้บ้าง การป้องกันโรคมือเท้าปาก เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคมือเท้าปาก สิ่งสำคัญที่สุดคือการดูแลรักษาสุขอนามัยที่ดี โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถป้องกันโรคมือเท้าปาก รวมถึงป้องกันอาการแทรกซ้อนที่อาจรุนแรงถึงเสียชีวิตได้โดย หลีกเลี่ยงการให้เด็กคลุกคลีหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วย รักษาอนามัยส่วนบุคคล โดยเฉพาะผู้เลี้ยงดูเด็กเล็กควรล้างทำความสะอาดมือก่อนหยิบจับอาหารให้เด็กรับประทาน และรับประทานอาหารที่สุก สะอาด ปรุงใหม่ๆ ไม่มีแมลงวันตอม ดื่มน้ำสะอาด ไม่ใช้ภาชนะในการรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะช้อน จาน ชาม แก้วน้ำ ขวดนม เมื่อเช็ดน้ำมูกหรือน้ำลายให้เด็กแล้วต้องล้างมือให้สะอาดโดยเร็ว รีบซักผ้าอ้อมหรือเสื้อผ้าที่เปื้อนอุจจาระให้สะอาดโดยเร็ว และทิ้งน้ำลงในโถส้วม ห้ามทิ้งลงท่อระบายน้ำ หากเด็กมีอาการของโรคมือเท้าปากให้รีบพาเด็กไปพบแพทย์ และเมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคมือเท้าปาก ต้องให้เด็กหยุดเรียนอย่างน้อย 1 สัปดาห์ หรือจนกว่าแผลจะหาย ในกรณีที่มีการติดเชื้อโรคมือเท้าปากชนิดที่มีอาการรุนแรงโดยเฉพาะมีการเสียชีวิต เช่น เชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 สถานรับเลี้ยงเด็กหรือโรงเรียนอนุบาลอาจจำเป็นต้องใช้มาตรการการป้องกันที่เข้มข้นขึ้น เช่น การปิดทั้งโรงเรียนเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ทำความสะอาดห้องเรียนและของเล่นต่างๆ การคัดแยกเด็กป่วยออกตั้งแต่เดินเข้าที่หน้าประตูโรงเรียน การหมั่นล้างมือ เช็ดถูทำความสะอาดห้องเรียนและของเล่นต่างๆ สิ่งสำคัญที่สุดคือ คุณพ่อคุณแม่ซึ่งเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับลูกที่สุด จะต้องหมั่นสังเกตอาการ หากลูกมีอาการป่วยที่ผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที แหล่งที่มา : http://www.thaksinhospital.com/thaksin/hot.php?id=394 https://www.bumrungrad.com/th/children-pediatric-health-care-surgery-center-bangkok-thailand/conditions/hand-foot-mouth https://www.facebook.com/piyamaharajkarun/photos/a.297925960250417.69231.290325507677129/1533109203398747/?type=3&theater
ไวรัส RSV ภัยร้ายที่มากกว่าโรคหวัด
ไวรัส RSV ภัยร้ายที่มากกว่าโรคหวัด ไวรัส RSV เป็นไวรัสซึ่งทำให้คุณพ่อคุณแม่กลัวมาก เนื่องจากไวรัส RSVยังไม่มีทั้งยารักษาและวัคซีนป้องกัน และไวรัส RSVมักแพร่ระบาดในช่วงฤดูฝน Rakluke.com เลยขอนำเรื่องไวรัส RSV ไวรัสร้ายตัวนี้มาบอกกล่าวกันอีกครั้งค่ะ ไวรัส RSV คืออะไร Respiratory Syncytial virus หรือ RSV เป็นเชื้อไวรัสที่รู้จักกันกันในวงการแพทย์มานานแล้ว ไวรัส RSVพบครั้งแรกเมื่อปี 1955 (พ.ศ. 2498) มีการตรวจพบในลิงชิมแปนซีที่เกิดอาการป่วยจากหวัด ต่อมาไม่นานก็พบว่าสามารถติดต่อได้ในมนุษย์ และเป็นสาเหตุของอาการหรือโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจโดยเฉพาะในเด็กเล็ก ร่างกายได้รับไวรัส RSV ได้อย่างไร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าไวรัส RSV จะพบมากและเจริญเติบโตได้ดีในช่วงที่มีอากาศชื้นโดยเฉพาะหน้าฝน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกันยายน ไวรัส RSV ติดต่อกันได้ง่ายเพียงการสัมผัสใกล้ชิด หรือสัมผัสสารคัดหลั่งทางตาหรือจมูก และทางลมหายใจ ดังนั้นในเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ป่วยเป็นหวัดจึงเสี่ยงต่อการรับและแพร่กระจายเชื้อไวรัสนี้มาก และเด็กเล็กสามารถได้รับเชื้อไวรัสได้ตั้งแต่แรกเกิดเลยทีเดียว โดยเชื้อ ไวรัส RSV มีระยะฟักตัวประมาณ 2 – 6 วัน ไวรัส RSV ทำให้เกิดอาการอย่างไร RSV ก่อโรคในทางเดินหายใจ แบ่งอาการเป็น 3 กลุ่มคือ ทางเดินหายใจส่วนต้นอักเสบ ทำให้มีอาการคล้ายหวัด มีไข้ ไอ น้ำมูกไหล คออักเสบ ทางเดินหายใจส่วนล่างอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบ ซึ่งมักเป็นในเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี ใน บางรายมีอาการรุนแรง ไข้สูง หอบเหนื่อย ซึ่งมีสาเหตุมาจาก ไวรัส RSV ตั้งแต่ 40 –90 % รวมไปถึงปอดบวม อาการรุนแรงมากในเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี กลุ่มอาการตายเฉียบพลันในทารก (sudden infant death syndrome, SIDS) พบการตายโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่สงสัยว่าไวรัส RSV อาจมีส่วนร่วมด้วย ไวรัส RSV ต่างจากหวัดธรรมดาอย่างไร เด็กที่เป็นหวัดธรรมดาจะมีอาการไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล กินน้ำ กินนมได้ อาจกล่องเสียงอักเสบ หลอดลมอักเสบ ไอแบบมีเสมหะร่วมด้วย ซึ่งจะหายได้ใน 5-7 วัน แต่อาการที่เกิดจากไวรัส RSV มีอาการหอบ เหนื่อย บางคนหอบมากจนเป็นโรคปอดบวม หายใจหอบจนอกบุ๋ม หายใจแรงจนหน้าอกโป่ง หายใจออกลำบาก หรือหายใจมีเสียงวี้ดแบบหลอดลมฝอยอักเสบ บางรายไอมากจนอาเจียน ซึมลง ตัวเขียว กินข้าว กินน้ำ กินนมไม่ได้ รักษา ไวรัส RSV อย่างไร ตอนนี้ไม่มีวัคซีนที่ใช้ป้องกัน ไวรัส RSV รวมถึงไม่มียารักษาโดยเฉพาะ ดังนั้นเมื่อเด็กได้รับไวรัสนี้จึงต้องรักษาตามอาการ เช่น ระวังการขาดน้ำเพราะจะยิ่งทำให้เสมหะเหนียวข้นและเชื้อลงปอด อาจต้องใช้ยาพ่นร่วมกับ oxygen เพื่อช่วยขยายหลอดลม รับประทานยาลดไข้ตามอาการทุก 4 – 6 ชั่วโมงพร้อมกับเช็ดตัวลดไข้ นอนพักผ่อนเยอะๆ ร่างกายก็จะฟื้นตัวอย่างช้าๆ ใช้เวลาประมาณ 7 – 14 วัน จึงจะหาย แต่หลังจากหายแล้ว หลอดลมและถุงลมฝอยของเด็กจะมีอาการอักเสบได้ง่ายเมื่อติดเชื้อครั้งใหม่ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลเป็นพิเศษทั้งเรื่องอาหารและการออกกำลังกายในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง แนวทางการป้องกัน ไวรัส RSV การป้องกันคือ การล้างมือให้เด็กเล็กบ่อยๆ และพี่เลี้ยงเด็กก็ต้องล้างมือบ่อยๆ เช่นกัน เมื่อมีเด็กป่วย หากเป็นไปได้ให้ผู้ปกครองรับกลับบ้าน แต่หากไม่สามารถรับกลับบ้านได้ ให้แยกเด็กและแยกเครื่องใช้ของเด็กป่วยออกจากเด็กปกติ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค ไวรัสตัวนี้น่ากลัวนะคะ เพราะถ้ามองเผินๆ คุณพ่อคุณแม่อาจจะคิดว่าน้องเป็นหวัดธรรมดา แต่ถ้าไม่สังเกตอาการให้ดีและปล่อยไว้นานอาจจะกลายเป็นโรคร้ายที่อันตรายต่อชีวิตเด็กๆ ได้ค่ะ ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ มีโอกาสที่จะเกิดซ้ำอีกได้ถ้าน้องๆ ร่างกายอ่อนแอ ซึ่งจะกระตุ้นอาการหอบจนทำให้เป็นโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรังในที่สุดค่ะ ขอขอบคุณ http://www.rakluke.com
5 อาหารอมตะ กินได้แม้หมดอายุแล้ว
จริงๆแล้วมีอาหารอย่างน้อย 5 ชนิดที่ยับริโภคได้ แม้ผ่านวันหมดอายุไปแล้วนานนับเดือน 1. ตอร์ติยาชิปส์ และอาหารประเภทขนมกรุบกรอบทั้งหลาย ยังกินได้ แม้ผ่านวันหมดอายุที่ข้างถุงไปแล้วนับเดือนเพียงแต่มันอาจจะเริ่มมีกลิ่นหืน และไม่กรอบเท่าเดิม ซึ่งวิธีแก้ก็ทำได้ง่ายๆ โดยการเทขนมใส่ถาด พรมน้ำมันเพิ่มเล็กน้อย แล้วนำไปอบ ก็จะได้ขนมกรุบกรอบที่สดใหม่เหมือนเดิม 2. อาหารอีกชนิดที่แทบจะไม่มีวันหมดอายุ ก็คือโยเกิร์ต เพราะโยเกิร์ตเป็นนมที่ถูกทำให้บูดไปแล้วครั้งหนึ่ง และเต็มไปด้วยจุลินทรีย์ชนิดดีที่ฆ่าแบคทีเรียและจุลินทรีย์ที่ทำให้คุณท้องเสียได้ ด้วยเหตุนี้คุณจึงกินโยเกิร์ตได้แม้เมื่อมันหมดอายุแล้วหลายเดือน 3.ช็อกโกแลต ของหวานที่แทบไม่มีใครปฏิเสธได้ ก็เป็นอาหารอีกชนิดที่ไม่เน่าเสีย นอกจากคุณจะทำมันละลาย ช็อกโกแลตที่เก็บไว้นานเกินไปจะมีฝ้าขาวขึ้น ซึ่งไม่ใช่เชื้อรา แต่เป็นปฏิกิริยาของไขมันในช็อกโกแลตเมื่อเจอกับอากาศ 4.ไข่ อาหารคู่ครัวทั่วโลก สามารถเก็บได้นานกว่าที่คุณคิด เพียงเก็บไข่ไว้ในที่แห้งและเย็น อุณหภูมิต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียส คุณก็สามารถเก็บไข่ไว้ได้นาน 3-5 สัปดาห์ เนื่องจากอุณหภูมิระดับนี้สามารถยังยั้งการเติบโตของเชื้อซัลโมเนลา เชื้อโรคร้ายแรงที่มักก่อตัวในไข่ได้ 5.อาหารชนิดสุดท้ายที่คุณอาจไม่คิดว่าจะเก็บได้นานหลังวันหมดอายุ ก็คือนม จริงอยู่ที่นมอาจมีกลิ่นและรสชาติไม่ดีหากทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องนานเกินไป แต่กลิ่นและรสที่เปลี่ยนไปไม่ได้หมายความว่านมขวดนั้นบูด เพราะกว่านมจะบูดถึงขั้นทำให้คุณท้องเสียเมื่อดื่มเข้าไป ต้องใช้เวลาหลังจากนมนั้นเริ่มมีกลิ่นนานหลายชั่วโมง แต่หากคุณอยากยืดอายุนมโดยไม่ต้องทนดื่มนมมีกลิ่น ก็ควรรีบปิดฝาขวดนมและเก็บเข้าตู้เย็นทันทีหลังใช้งานอุณหภูมิที่เหมาะสมในการเก็บนมคือ 2 องศาเซลเซียส เพียงเท่านี้นมของคุณก็จะอยู่ได้นาน ไม่ต้องโยนทิ้งเพียงเพราะดื่มนมไม่หมดก่อนวันหมดอายุข้างขวดอีกต่อไป ข้อมูลจาก http://www.prd.go.th/
ระเบียบการแต่งกาย เข้าเฝ้าฯ ถวายบังคมพระบรมศพ ณ พระมหาราชวัง
ผิดหรือที่ถนัดซ้าย
เรื่องของการถนัดซ้ายขวาถือว่าเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานานพอสมควร เพราะส่วนใหญ่คนเรานั้นจะถนัดขวา และมีคนส่วนน้อยที่ถนัดซ้าย ทำให้คนพวกนี้กลายเป็นสิ่งผิดปกติของสังคมไปเลย แต่จริงๆแล้ว เรื่องของซ้ายหรือขวานั้น ไม่ได้เกิดจากตัวบุคคลนั้นแต่ประการได้ แต่การถนัดซ้ายมันเริ่มเกิดมาตั้งแต่เราอยู่ในท้องแม่นั่นเอง เราจะสังเกตได้ชัดเจนขึ้นเมื่อเด็กเริ่มมีอายุเข้าช่วง 2-3 ขวบ ที่เขาเริ่มใช้มือในการตักอาหาร นั่นแหละจะเป็นตัวตัดสินว่าเขาถนัดมือไหน ด้วยความที่คนส่วนมากถึง 85 % ในโลกนี้ถนัดขวา ทำให้คนที่นัดซ้ายคิดว่าตัวเองนั้นมีความบกพร่องทางร่างกาย หรือปมด้อยหรือเปล่า ยิ่งคนไทยในสมัยโบราณแล้วยิ่งไปกันใหญ่ เมื่อเห็นว่าลูกของตัวเองถนัดซ้ายก็เริ่มเกิดความกังวลใจคิดว่าลูกตัวเองผิดปกติ บางคนฝึกให้ลูกใช้มือขวาในการทำกิจกรรม บางคนถึงขั้นลงมือตีเลยทีเดียว แต่จริงๆแล้วการที่เป็นคนถนัดซ้ายนั้น ไม่ได้ผิดปกติแต่ประการใดเลย การถนัดซ้าย และขวานั้นอันที่จริงแล้วเกี่ยวข้องกับระบบพันธุกรรม และการสั่งงานของสมอง เช่น คนที่ถนัดขวานั้น สมองซีกซ้ายจะเป็นสั่งงาน และคนที่ถนัดซ้ายนั้นสมองซีกขวาจะเป็นคนสั่งงานนั่นเอง ซึ่งก็จะสอดคล้อง ต่อพฤติกรรมการทำงาน และความคิดของมนุษย์ด้วยเช่นกัน คือ สมองซีกขวาจะให้เรื่องของความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ เราจะเห็นคนที่ถนัดซ้ายส่วนมากจะมีความสามารถด้านศิลปะ และความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนถนัดขวา ดังที่เราเคยเห็นเหล่าศิลปินส่วนใหญ่ที่ถนัดซ้าย ส่วนสมองซีกซ้ายนั้นจะมีความสามารถในเรื่องของการค้นหาเหตุ การคิดคำนวน วิเคราะห์ ซึ่งจะเห็นได้ว่าคนถนัดขวานั้นจะมีมากในเรื่องนี้ เช่น พวกนักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์เป็นต้น เมื่อพ่อแม่รู้เช่นนี้แล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องการถนัดซ้ายหรือขวาของลูกเลย เพราะเขาไม่ได้ผิดหรือแตกต่างจากคนทั่วๆไป และยังมีข้อดีที่เพิ่มมาอีกด้วย เช่น เขาสามารถที่จะคิดเรื่องซับซ้อนหรือแก้ปัญหายากๆได้ดี ทำกิจกรรมเคลื่อนไหวพร้อมๆกันหลายอย่างได้ดี มีความสามารถทั้งทางด้านภาษาและกีฬาได้ดีนั่นเอง แต่ในเรื่องของการถนัดซ้ายอาจจะมีผลต่อเจ้าตัวบ้างในเรื่องของการเกิดอุบัติเหตุ เพราะข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างถูกผลิตออกมาสำหรับคนที่ถนัดขวา ดังนั้นต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มอีกหน่อย เรื่องของความถนัดซ้าย หรือขวานนั้น ยิ่งพ่อแม่กังวลยิ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจของลูก เพราะนั่นเป็นการสรรสร้างมาแล้วจากธรรมชาติ ซึ่งไม่ได้ถือว่าเป็นความผิดปกติแต่อย่างใด ดังนั้นสิ่งที่เราเป็นอยู่ถือว่าดีที่สุดแล้วนั่นเอง
วิธีทดสอบน้ำผึ้งแท้-น้ำผึ้งปลอมดูยังไง การตรวจสอบน้ำผึ้งแท้หรือไม่แท้ทำอย่างไร
น้ำผึ้งเป็นหนึ่งในอาหารที่มีประโยชน์มากที่สุดจากธรรมชาติ เพียงแค่หนึ่งช้อนชาทุกๆเช้าสามารถช่วยกระตุ้นระบบต่างๆของร่างกายให้พร้อมสำหรับการออกผจญชีวิตในแต่ละวัน นมผึ้งมีสารอาหารเต็มเปี่ยมยิ่งกว่าอาหารเสริมตัวไหนๆเสียอีก น้ำผึ้งคือ ของขวัญจากธรรมชาติอย่างแท้จริง จนกระทั่งมันถูกนำเข้ามาอยู่ในระบบการค้าแบบอุตสาหกรรม ผู้จัดจำหน่ายน้ำผึ้งที่ไร้จริยธรรม มักจะอวดอ้างเสมอว่าน้ำผึ้งของตนเป็นน้ำผึ้งที่แท้จริงและสีสวยงามมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว น้ำผึ้งพวกนั้นถูกนำผ่านความร้อนสูงก่อนที่จะผสมน้ำแล้วบรรจุลงภาชนะเพื่อขายให้ได้ในปริมาณมาก โดยสิ่งที่เกิดขึ้นคือ สารอาหารและแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกายนั้นสลายหายไปหมด ทำให้น้ำผึ้งที่อวดอ้างกันเต็มไปหมดนั้นเป็นเพียงแค่น้ำเชื่อมสีเหลืองหรือน้ำผึ้งปลอมเท่านั้นเอง ถ้าอย่างนั้นเราจะทำอย่างไรดีล่ะ? ทนบริโภคน้ำผึ้งไร้คุณภาพที่เกิดจากความโลภของผู้ค้า หรือรู้วิธีในการดูและตรวจสอบว่าน้ำผึ้งนั้นมีความบริสุทธิ์และเป็นของแท้หรือไม่แทนดีล่ะ? เราสามารถที่จะตรวจสอบได้ด้วยวิธีการดังนี้ ดูที่ฉลาก ถ้าหากว่ามีการระบุถึงการเพิ่ม “สสาร” ลงไปในน้ำผึ้งขวดนั้น ตีความได้เลยว่าน้ำผึ้งขวดนั้นปลอมแน่ๆ น้ำผึ้งแท้จะเริ่มจับตัวเป็นตะกอนเมื่อเวลาผ่านไป ในขณะที่น้ำผึงปลอมจะอยู่ในสภาพเหลวเหมือนน้ำเชื่อมและเทออกง่ายตลอดเวลา ลองหยดน้ำผึ้งลงไปบนถ้วยที่ใส่น้ำดู หากมันละลายในทันที แสดงว่ามันเป็นน้ำผึ้งปลอม น้ำผึ้งจริงจะม้วนเป็นขดซ้อนกันเรื่อยๆ ลองหยดน้ำผึ้งลงบนนิ้วดู ถ้าหากมันขดจับตัวกันอยู่ แสดงว่าเป็นน้ำผึ้งแท้ น้ำผึ้งปลอมจะกระจายไปทั่วนิ้ว ลองชิมดู ถ้าหากว่ามันมีรสชาติผสมมาก เหมือนกับว่ามีกลิ่นของดอกไม้หรือสมุนไพร นั่นแหละน้ำผึ้งจริง น้ำผึ้งปลอมจะมีเพียงแค่รสหวานเท่านั้น ลองเอาไม้ขีดไฟแตะน้ำผึ้งให้ติดปลายไม้ขีดไฟนิดหน่อย ก่อนที่จะจุดไม้ขีดไฟ ถ้าหากเป็นน้ำผึ้งแท้ ไม้ขีดจะติดไฟและจะเผาน้ำผึ้งไปด้วย ในขณะที่น้ำผึ้งปลอมจะจุดไฟไม่ติด เพราะมันมีความชื้นจากสารเคมีที่ผู้จัดจำหน่ายผสมลงไป ส่วนวิธีสุดท้ายที่ผู้บริโภคต่างแบ่งความเห็นเป็นสองฝ่ายอยู่ถึงตอนนี้ คือการทดสอบด้วย “มด” ผู้บริโภคบางกลุ่มเชื่อว่ามดมักจะตอมน้ำผึ้งปลอมมากกว่าน้ำผึ้งจริง เพราะน้ำผึ้งปลอมมีน้ำตาลฟรุกโตสผสมอยู่ ต่างจากน้ำผึ้งแท้ที่เป็นของบริสุทธิ์จากธรรมชาติ แต่การทดสอบแบบนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงอยู่ว่าใช้ได้จริงหรือไม่ เพราะว่าในบางครั้งเกสรดอกไม้บางชนิดที่เป็นต้นกำเนิดของน้ำผึ้ง สามารถที่จะดึงดูดมดได้มากเช่นกัน ถือว่าเป็นเรื่องที่ลำบากใจเหมือนกันว่า เราไม่สามารถที่จะเชื่อถือผู้ผลิตในยุคปัจจุบันนี้ได้เชียวหรือ? ถ้าหากว่าเราไม่ได้อยู่ใกล้แหล่งผลิตธรรมชาติที่เราสามารถที่จะเห็นขั้นตอนการผลิตและบรรจุได้อย่างชัดเจน นั่นทำให้เราไม่มีโอกาสที่จะได้บริโภคน้ำผึ้งบริสุทธิ์เลยหรือไง? คำตอบของเรื่องนี้คือ ขึ้นอยู่กับตัวผู้บริโภคว่าจะยอมรับน้ำผึ้งในยี่ห้อนั้นได้หรือไม่มากกว่าครับ สุดท้ายแล้ว จริยธรรมของผู้บริโภคคือการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ถ้าผู้บริโภครู้วิธีการเลือกยี่ห้อที่ผลิตน้ำผึ้งแท้ ยี่ห้อที่ทำน้ำผึ้งปลอมมาก็ต้องล้มเลิก หรือยอมผลิตให้ได้มาตรฐานมากขึ้นนั่นเองครับ
ละเลยอาหารเช้าบ่อยๆไม่ดีนะ
5เรื่องต้องห้ามยามเข้านอน
5เรื่องต้องห้ามยามเข้านอน
5 วิธีในการดูแลสุขภาพในการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์
5 วิธีดูแลสุขภาพ ในการทำงานหน้าจอคอมฯ ที่คุณสามารถทำตามได้ง่ายๆ เพื่อช่วยให้คุณทำงานได้ดีและมีประสิทธิภาพเพิ่มมากยิ่งขึ้น 1. อย่าลืมกระพริบตาเวลานั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ อย่าลืมกระพริบตา เพราะการพริบตาจะช่วยให้ดวงตามีน้ำหล่อเลี้ยงไม่ให้ดวงตาแห้ง หลายปัญหาเกี่ยวกับดวงตาก็เกิดจากการ นั่งหน้าจอคอมฯ นานๆ โดยไม่มีการกระพริบตา ดังนั้นอย่าลืมกระพริบตา หรือเพ่งเล็งหน้าจอคอมฯ นานเกินไป 2. อย่าลืมดื่มน้ำเป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้วว่าน้ำนั้นมีความสำคัญกับร่างกายของคนเรา ยิ่งมีการทำงานที่ต้องใช้สมองและร่างกายด้วยแล้ว น้ำจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะมันจะทำหน้าที่ในการหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย อย่างเช่น สมอง ดังนั้นเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้นอย่าลืมดื่มน้ำกันนะจ๊ะ 3. อย่าลืมว่าคุณนั่งทำงานในท่าที่ถูกต้องหลายครั้งหลังจากการทำงานแล้ว หลายคนรู้สึกปวดเมื่อยร่างกายโดยเฉพาะส่วนหลังหรือต้นคอ เหตุผลส่วนหนึ่งคงหนีไม่พ้นจากการนั่งทำงานในท่าที่ผิด ตัวอย่างเช่น การนั่งเอนหลังมากเกินไป ซึ่งเป็นการนั่งไม่ถูกต้อง การนั่งในลักษณะนี้นอกจากจะทำให้ปวดเมื่อยตามร่างกายแล้ว ยังลดประสิทธิภาพในการทำงานของเราด้วย ท่านั่งที่ถูกต้องคือการนั่งตัวตรง หากนั่งอยู่หน้าจอคอมฯ เพื่อพิมพ์งานต่างๆ ควรให้คีย์บอร์ดและเม้าส์อยู่ในระดับที่พอเหมาะกับแขนและมือที่ยื่นออกไป ไม่สูง ต่ำ หรือ ไกลจากตัวเรามากนัก แค่นี้ก็ช่วยไม่ให้ปวดเมื่อยได้พอสมควร 4. อย่าลืมทำความสะอาดความสะอาดก็มีส่วนสำคัญที่ไม่ควรปล่อยปละละเลย หากคุณเห็นฝุ่นตามอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรือในห้อง ควรทำความสะอาดให้หมดจดเพื่อสุขภาพที่ดีในการทำงาน เพราะฝุ่นละอองเหล่านั้นอาจนำมาซึ่งเชื้อโรคหรือแบคทีเรียต่างๆ ที่จะส่งผลให้คุณมีโรคภัยไข้เจ็บได้ และที่สำคัญมันยังลดบรรยากาศการทำงานในห้องของคุณด้วย 5. อย่าลืมลุกขึ้นจากเก้าอี้บ้างไม่ว่าคุณจะมีเหตุผลที่ต้องทำงานหนักและต้องนั่งนานแค่ไหน ก็ไม่ควรที่จะลืมลุกขึ้นจากเก้าอี้บ้าง เดินผ่อนคลายยืดเส้นยืดสาย หรือสามารถนั่งบนเก้าอี้ไปพร้อมกับยืดเส้นยืดสายไปด้วยก็ได้ เพื่อช่วยให้เลือดหมุนเวียน ส่งผลให้คุณมีความสามารถหรือประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มมากยิ่งขึ้น มันช่วยได้จริงๆ นะ แถมยังผ่อนคลายไม่ให้ตึงเครียดมากเกินไปได้อีกด้วย
บัตรประชาชน ( ID Card ) ตลอดชีพ
ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปี ขึ้นไป ก็จะได้รับบัตรประชาชน ( ID Card ) ใบสุดท้ายเมื่อใดก็ตามจะมีการระบุในช่องของวันหมดอายุว่า ใช้ได้ตลอดชีพ ถ้าต่ออายุบัตรประชาชน ( ID Card ) แล้ววันนั้นเป็นวันบัตรหมดอายุเกิน 70 ปี ก็จะได้บัตรตลอดชีพครับ เช่น คุณอายุ 65 แต่ต่อแล้ววันหมดอายุแล้ววันอายุบวก 6 ปี เกินไปที่ 71 ปี กฎหมายบอกให้คนที่อายุเกิน 70 ปี ไม่ต้องมีบัตรประชาชนก็ได้ให้ใช้บัตรใบสุดท้ายแทนได้ การที่ต้องทำบัตรประชาชน ( ID Card ) ใหม่ทุกๆ 8 ปีเพราะว่า เป็นการเก็บข้อมูลใบหน้าของบุคคลนั้นๆ เพราะใบหน้ามีการเปลี่ยนแปลง เช่น ผอมขึ้น อ้วนขึ้น อัพเดรทข้อมูลทุกๆ 8 ปี จน กระทั่ง อายุ ครับ 70 ปี ไม่ต้องทำบัตรใหม่สามารถใช้บัตรเก่าแทนได้ หรือ อาจขอมีบัตรใหม่ก็ได้ ในช่องวันบัตรหมดอายุจะเป็น ตลอดชีพ ตามกฎหมาย(ใหม่)ได้กล่าวผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 7 ปี ไม่เกิน 70 ปี ต้องขอมีบัตรประชาชน ( ID Card ) ที่สำนักเขตพื้นที่ของท่าน หากเกิน 70 ปีแล้วสามารถใช้บัตรใบสุดท้ายแทนได้ หรือ บัตรตลอดชีพ
เลือกสีผมให้เข้ากับสีผิว
......มีบทความดีๆให้อ่านครับ เกี่ยวกับดอกเบี้ย0%.....
มีบทความดีๆให้อ่านครับ ==ดอก 0% == ผมคิดว่า วันนี้เป็นวันประวัติศาสตร์ เป็นวันที่ทำให้คนไทยจำนวนมาก ตกใจกับคำว่าดอกเบี้ย "0%" ผมฟังข่าวนี้ ตอนอยู่ที่สภากาชาดไทยตอนเที่ยง ที่ห้อง เขาเปิดช่อง 3 แช่ไว้ คุณบัญชา ชุมชัยเวทย์ อ่านข่าวนี้แบบสุดยอดอีโมชั่น ... ขอสารภาพว่าชอบมาก . -------------------------- ท่านผู้ชมครับ ! . นี่คือ ครั้งแรก!!! ของประเทศไทย นี่คือ ครั้งแรก!!! ของวงการธนาคารไทย . ไทยเรามีดอกฝาก 0% แล้วครับบบบบบ -------------------------- . ขอบอกว่า มีคนร้อง "เฮ้ยย" ออกมาด้วย พอช่วงบ่ายแก่ๆ ทางแบงค์ค่ายนึงต้องรีบกลับลำอย่างด่วน กลับมาให้มีดอกเบี้ยเงินฝาก 0.125% เหมือนเดิม . . _____________________________ . . ทุกท่านครับ ลองคิดตามดีๆนะครับ ดอกเบี้ย 0.125% กับ 0% สำหรับผมแล้ว มันแปะเอี่ย เซมๆ เพราะ 1. อย่าลืมว่า ดอกเบี้ย 0.125% ยังต้องโดนภาษีบนดอกเบี้ยเงินฝากอีกนะครับ ... ทำให้อัตราที่แท้จริงมันต่ำเตี้ยเรี่ยพื้นเข้าไปอีก 2. ต่อให้ท่านฝากเงินสด 1 ล้านบาท ... ดอกเบี้ย 0.125% ให้ดอกผลแก่ท่าน 1,250 บาทต่อปี ... คิดเป็น 104 บาทต่อเดือน!!! อนิจจา ยังไม่พอซื้อ "ตาบั๊ค แฟรปปูชิโน่" แก้วนึงเลยครับ ดอกนิดเดียวแค่นี้ ไม่สามารถสร้างความแตกต่างให้ wealth ได้ ...ไม่สามารถพึ่งพาเป็นดอกผลเพื่อการดำรงชีวิตใดๆได้ ... . คำว่านอนกินดอก มันจบจริงๆแล้วครับนาย ณ จุดๆนี้ มีคนจำนวนมากตาสว่างครับ ผู้คนจำนวนมาก ถามว่า...แล้วจะให้กรูทำยังไง? . . เอาละ ผมไม่แตะประเด็นดราม่าธนาคารอะไร แต่อยากวิเคราะห์ว่า ตอนนี้สถานการณ์มันเป็นอย่างไร และ อนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ผมมีความเห็นส่วนตัวดังนี้ . ===== ตอนนี้ ===== . 1. ไทยเรา การลงทุนภาคเอกชนยังไม่ดี ... ส่งออกไม่ดี... นำเข้าก็ไม่ดี (เพราะส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าสินค้าทุน)... แบบนี้ เงินจะล้นระบบ 2. ผู้คนไม่กล้าใช้เงิน ไม่กล้าซื้อของก้อนใหญ่ เพราะกลัวเศรษฐกิจไม่ดี การขับเคลื่อน domestic consumption ค่อนข้างยาก...แบบนี้เงินจะล้นระบบ 3. ธนาคาารไม่กล้าปล่อยกู้ เพราะกลัว NPL ลองดู Loan Growth ของแต่ละแบงค์ ...แทบไม่มีมาตั้งแต่ 2014 แล้ว ... แบบนี้เงินจะล้นระบบ ============ อนาคต ขอมโนว่า ============ . 1. สุดท้ายแบงค์ไทยคงจะลดดอกเบี้ยฝากเหลือ 0% จริงๆ ครับ คราวนี้คงไม่มีใครกล้าเปรี้ยวนำ ลดคนเดียว แต่ต้องลดดอกกันเป็นทีมทุกธนาคาร ทุกสี แบบอเวนเจอร์ ...เพื่อลดต้นทุนเงินที่ล้นระบบอยู่ . 2. คนไทยจะถึงจุดที่ถูก(กึ่ง)บังคับ ให้ต้องลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอื่น เช่น ตราสารหนี้เอกชน กองทุนอสังหาฯ กองทุนอินฟราฯ หุ้นพื้นฐานดี ... ซึ่งที่สุดแล้ว เงินจำนวนมากควรจะไหลไปที่ "กองทุน" มากขึ้น และสุดท้าย่จะไหลไปที่หุ้นมากขึ้น (กองทุนนำเงินมาซื้อ) การลงทุนในหุ้น จะเป็นทักษะที่จำเป็นของมนุษย์เศรษฐกิจยุคใหม่ ที่ไม่ได้มีแต่กลุ่ม "หวังรวย" อย่างเดียว...แต่มีกลุ่ม "หวังรอด" เข้ามาสมทบอีกมาก . 3. คนไทยจะมีมุมมองเป็นบวกกับประกันชีวิตมากขึ้น มองเป็นความจำเป็นมากขึ้น โดยเฉพาะในแง่การออมระยะยาวพร้อมความคุ้มครอง ยิ่งเข้าสู่สังคมสูงวัย คนไทยจะยิ่งมองการออมผ่านประกันชีวิตแบบบำนาญมากขึ้น ซึ่งไม่แปลกครับ ญี่ปุ่นเขาแก่ก่อนเรา ... คนญี่ปุ่นถึงมีอัตราการถือกรมธรรม์ที่สูงมากกก มากเป็น 3 เท่าของคนไทย . 4 ถ้าเหตุการณ์ดอกเบี้ยต่ำ โดนซ้ำด้วยค่าธรรมเนียมฝาก/ถอนที่สาขาแบบในยุโรปและญี่ปุ่น . . ตู้เซฟจะขายดีครับ ____________________________________ . สุดท้าย ขอฝากหลักสูตรการเงิน ที่เพื่อนต่างชาติเขาเล่าว่า ลูกเขาได้เรียน และผมคิดว่า คนไทยก็ต้องเดินตาม 4 หลักสูตรนี้ คือ . ออมเงิน..ให้ได้ ใช้เงิน..ให้เป็น หาเงิน..ให้เก่ง ต่อเงิน..ให้งอกเงย ทำได้ครบ 4 อย่าง ไม่ใช่แค่รอด...แต่รวยได้เลย ขอบคุณข้อมูลดีๆ จากสมาชิกหมายเลข 3216927 pantip.com