-
สาระน่ารู้
หน้าแรก
สาระน่ารู้
พบข้อมูลจำนวน 121 รายการ แสดงผลอยู่ที่ 7/11 หน้า
จัดซื้อจัดจ้าง
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2568 งวดที่ 1 เดือนตุลาคม - ธันวาคม 2567
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2567 งวดที่ 2 เดือนเมษายน - มิถุนายน 2567
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2567 งวดที่ 3 เดือนกรกฏาคม - กันยายน 2567
-
ประกาศเผยแพร่แผนการจัดซื้อจัดจ้าง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 โครงการก่อสร้างอาคารเรียนระดับประถมศึกษาพร้อมปรับภูมิทัศน์ ภายใน
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2566 งวดที่ 1 เดือนตุลาคม 2565 - มีนาคม 2566
ค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์
ปฎิทินกิจกรรม
ท่านคิดว่า อบจ.ระยอง ควรเน้นหนักแก้ไขปัญหาในเรื่องใดเป็นอันดับแรก
- ปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค โหวต
- แก้ไขปัญหายาเสพติด โหวต
- แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โหวต
- แก้ไขปัญหาน้ำท่วม โหวต
- ราคาผลผลิตภาคการเกษตร โหวต
สถิติผู้เข้าชมเว็บไซต์
- กำลังใช้งาน 104 คน
- ผู้เข้าชมวันนี้ 2,333 คน
- ผู้เข้าชมทั้งหมด 20,402,908 คน
แปลภาษา

ความหมาย "วันขึ้นปีใหม่" ในประเทศไทย
ความหมาย "วันขึ้นปีใหม่" ในประเทศไทย [gallery columns="1" size="full" ids="33672"] ความหมายของ วันขึ้นปีใหม่ ตามพจนานุกรมฉบับราชตบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำว่า "ปี" ไว้ดังนี้ ปี หมายถึง เวลา ชั่วโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งราว 365 วัน : เวลา 12 เดือนตามสุริยคติ วันปีใหม่ มีประวัติความเป็นมาซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและความเหมาะสม ตั้งแต่ในสมัยเริ่มแรกเมื่อชาวบาบิโลเนียเริ่มคิดค้นการใช้ปฏิทิน โดยอาศัยระยะต่าง ๆ ของดวงจันทร์เป็นหลักในการนับ เมื่อครบ 12 เดือนก็กำหนดว่าเป็น 1 ปี และเพื่อให้เกิดความพอดีระหว่างการนับปีตามปฏิทินกับปีตามฤดูกาล ในอดีตวันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 4 ครั้งคือ ครั้งแรกถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่ง ตรงกับเดือนมกราคม ครั้งที่ 2 กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ใน 2 ครั้งนี้ ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็น วันขึ้นปีใหม่อยู่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ไม่สู้จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก สมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ [gallery columns="1" size="full" ids="33674"] จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2477 ขึ้นในกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก การจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ 1 เมษายน ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อๆมา และในปี พ.ศ.2479 ก็ได้มีการ จัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า วันตรุษสงกรานต์ ต่อมาได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งมี หลวงวิจิตรวาทการ เป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็น วันที่ 1 มกราคม โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2484 เป็นวันขึ้นปีใหม่เป็นต้นไป ด้วยเหตุนี้ ทำให้ปี พ.ศ.2483 มีเพียง 9 เดือนเท่านั้น [gallery size="full" columns="1" ids="33675"] เหตุผลที่ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายนมาเป็นวันที่ 1 มกราคม ก็คือ 1.ไม่ขัดกับพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ 2.เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา 3.ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก 4.เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย กิจกรรมที่ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะยึดถือปฏิบัติในวันขึ้นปีใหม่ ได้แก่ 1. การทำบุญตักบาตร โดยอาจตักบาตรที่บ้าน หรือไปที่วัดหรือตามสถานที่ต่างๆที่ทางราชการเชิญชวนไปร่วมทำบุญ 2. การกราบขอพรจากผู้ใหญ่ และอวยพรเพื่อนฝูง การมอบของขวัญ การมอบช่อดอกไม้ หรือการส่งบัตรอวยพร 3. การจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องหรือตามหน่วยงานต่างๆ วันขึ้นปีใหม่นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้ทบทวนถึงการดำเนินชีวิตในอดีต เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีตให้ดีขึ้น ขอบคุณข้อมูลจาก: https://www.sanook.com/horoscope/107861/
รากบัว ประโยชน์และสรรพคุณของรากบัว
รากบัว ประโยชน์และสรรพคุณของรากบัว รากบัว (Lotus root) นั้นเรียกว่าเป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งของบัวหลวง หรือที่ชาวจีนนิยมเรียกกันว่า หน่อยเก๋า หรือกวงพั้ง เป็นต้น ซึ่งคนไทยเรานิยมนำมารับประทานเป็นอาหารกันทั้งแบบดิบและสุก นอกจากนี้ ยังมีสรรพคุณทางยาสมุนไพรอีกมากมายหลายอย่างเลยทีเดียว โดยรากบัวนั้นจัดว่าเป็นพืชสมุนไพรจีนที่มีฤทธิ์เย็นและรสหวาน ลักษณะทั่วไปของรากบัวบัวจัดเป็นพืชไม้น้ำที่มีรากหรือเหง้าสีขาวอมเหลืองหรือสีงาช้างอยู่ใต้ดินเป็นปล้องๆ ยาวและใหญ่ โดยมีกลิ่นหอมอ่อนๆ และแข็งเล็กน้อย ซึ่งหากนำรากบัวมาตัดตามแนวขวางจะมีลักษณะเป็นรูกลมกลวงๆ อยู่หลายรูเลยทีเดียว และตามก้านใบจะมีหนามอยู่และยาวชูขึ้นโผล่พ้นเหนือน้ำ จนเมื่อแก่แล้วก็จะกลายเป็นฝักบัวที่มีเมล็ดบัวอยู่ภายใน และรากบัวเมื่อแก่มักนิยมนำมาต้มหรือทำเป็นยาสมุนไพรรับประทาน โดยรากบัวนี้สามารถรับประทานได้ทั้งแบบดิบและสุก ซึ่งมีสรรพคุณทางยาสมุนไพรตามลักษณะการรับประทาน [gallery columns="1" size="full" ids="32948"] ประโยชน์และสรรพคุณของรากบัว– ช่วยบรรเทาอาการร้อนใน และกระหายน้ำ– ช่วยแก้อาการไอ และขับเสมหะออกจากลำคอ– ช่วยป้องกันหรือรักษาอาการเลือดกำเดาไหล– ช่วยบำรุงอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย ได้แก่ หัวใจ, ตับ, ม้าม, ไต หรือกระเพาะอาหาร เป็นต้น– ช่วยแก้อาการอาเจียนแล้วมีเลือดปนออกมา– ช่วยรักษาโรคบิด หรืออาการท้องร่วง– ช่วยในการบำรุงสายตาให้เป็นปกติ และแก้ภาวะตาอักเสบ– ช่วยบำรุงร่างกายให้มีกำลัง และแก้อาการอ่อนเพลียง่าย– ช่วยบำรุงระบบสมองให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผ่อนคลายความตึงเครียด วิธีการนำรากบัวมารับประทาน– ให้นำรากบัวมาตุ๋นรวมกับน้ำผึ้งจนกระทั่งมีเนื้อข้น แล้นำมารับประทานจะช่วยแก้อาการขับถ่ายออกมาเป็นเลือด– ให้นำรากบัวมาหั่นแว่น แล้วต้มดื่มพร้อมกับแห้งและเก๊กฮวย จะช่วยป้องกันและแก้อาการอาเจียนแบบมีเลือดปนออกมา หรือภาวะเลือดออกตามทวารหนัก หรือช่องท้อง เป็นต้น– ให้นำรากบัวมาคั้นน้ำแล้วนำไปต้มผสมกับผลสาลี่คั้นสด จะช่วยบรรเทาอาการไข้ตัวร้อนและอาการไอ รวมทั้งช่วยขับเสมหะออกจากลำคออีกด้วย– ให้นำรากบัวสดมาคั้นน้ำ พร้อมผสมน้ำผึ้งลงไปให้มีรสชาติ พร้อมดื่มรับประทานช่วยแก้อาการกระหายน้ำ และทำให้ชุ่มคอ– ให้นำรากบัวมาต้มผสมกับถั่วเขียวมารับประทานช่วยบำรุงสายตา– ให้นำไข่ตุ๋นและชวงฉิก, เกลือ และน้ำคั้นจากรากบัว รับประทานเพื่อห้ามเลือด [gallery columns="1" size="full" ids="32950"] ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.xn--12cg1cxchd0a2gzc1c5d5a.net/รากบัว/
หนาวสนุกสุขภาพไฉไล
หนาวสนุกสุขภาพไฉไล [gallery columns="1" size="full" ids="32154"] หนาวสนุกสุขภาพไฉไล ไม่ว่าหนาวไหนก็ Happy ได้ด้วยสุขภาพแบบฟิตเปรี๊ยะ (Momypedia)เรื่อง : วิไลลักษณ์ @Momypedia ลมหนาวมาแล้วจ้า!!! หลายคนคงได้สัมผัสกับลมหนาวกันบ้างแล้วใช่ไหมคะ ถึงอากาศจะดีแค่ไหนก็อย่าเผลอตัวเผลอใจไปยืนรับลมหนาวจนไม่สบายเชียวนะคะ เพราะเดี๋ยวป่วยยาวไปถึงปีใหม่จะอดเที่ยวกันพอดี เพื่อไม่ให้หน้าหนาวนี้ต้องมีใครนั่งสั่งน้ำมูกจนจมูกแดง หรือนอนซมพิษไข้อยู่แต่บ้าน เรามาเตรียมตัวฟิตสุขภาพให้ดีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ากันดีกว่า จะได้สนุกกับหน้าหนาวได้อย่างเต็มเหนี่ยวไปเลย 1. อย่าปล่อยให้ผิวแห้ง อากาศแห้งเย็นมักจะทำให้ผิวเราแห้งกร้าน หรือแตกเป็นขุย ฉะนั้นครีมทาผิวจึงสำคัญค่ะ เลือกครีมที่มีส่วนประกอบของมอยเจอร์ไรเซอร์สูง หรือมีน้ำมันเล็กน้อย ครีมแบบนี้จะช่วยกักเก็บ และเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวในช่วงหน้าหนาวได้เป็นเลิศ แต่สำหรับเจ้าตัวน้อย ก็ให้ใช้เบบี้ออยล์ทาผิวหลังอาบน้ำจะดีที่สุดค่ะ เพราะไม่ระคายเคืองผิว ไม่มีน้ำหอม แต่อย่าทาเยอะไปนะคะไม่งั้นลูก ๆ อาจจะกลายเป็นหมูน้อยอาบน้ำมันไปซะก่อน หรือคุณพ่อคุณแม่จะใช้ด้วยก็ได้ค่ะ 2. ใส่ใจเรื่องอาหาร แน่นอนค่ะว่าเย็น ๆ หนาว ๆ แบบนี้ต้องคู่กับอาหารอุ่น ๆ ร้อน ๆ ดังนั้นควรเลือกทานอาหารร้อน เพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกาย ส่วนใครที่ยังชอบทานของเย็น ๆ พวกไอศกรีม น้ำแข็งใส หรือน้ำเย็น ๆ อยู่ล่ะก็ ลองลดลงบ้างค่ะ ถ้าไม่อยากเป็นหวัดหรือปวดท้อง เพราะกระเพาะและกล้ามเนื้อมีการหดตัวย่างรวดเร็วค่ะ 3. ทำความสะอาดที่นอน อันนี้สำคัญค่ะ เพราะหน้าหนาวแบบนี้เราจะชอบซุกตัวกับที่นอนแบบสุขอุรากันเกินไป แต่ในหน้าหนาวแบบนี้ล่ะค่ะที่ชุดเครื่องนอนของเรามักจะมีกลิ่นอับ ไรฝุ่น ดังนั้นหมั่นเอาชุดเครื่องนอนทั้งหลายแหล่มาซักตาก หรือผึ่งแดดอยู่เสมอ เพราะในหน้าหนาวที่ผิวเราแห้งอยู่แล้ว เราอาจจะไปแพ้ไรฝุ่นจากที่นอนจนทำให้เกิดอาการคัน เป็นแผล หรือมีปัญหาโรคผิวหนังได้นะคะ 4. ระวังโรคหน้าหนาวทั้งหลาย ไม่ว่าจะหวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม หัดเยอรมัน อีสุกอีใส อุจจาระร่วง รวมไปถึงอาการผื่นคัน ไมเกรน ปวดเกร็งตะคริว ถ้าพบว่ามีอาการน่าสงสัย เช่น ตัวร้อนต่อเนื่องไข้ไม่ลด ท้องเสียต่อเนื่อง หรือผิวหนังเกิดการเปลี่ยนแปลง ให้รีบพบแพทย์โดยด่วน อาจจะดูจิตกจริตไปหน่อยแต่กันไว้ดีกว่าแก้เพราะโรคภัยสมัยนี้รุนแรงขึ้นทุกวันนะคะ 5. อย่าใช้ยามั่ว ๆ ถ้าเกิดป่วยแบบไม่ทันตั้งตัว ไหนจะแพ้อากาศจามไม่หยุด น้ำมูกไหล เป็นหวัดตัวร้อน ผื่นคัน หรือผิวแห้งแตกรุนแรงจนมีอาการเจ็บหรือมีเลือดซึม อย่าหายามาใช้เองเชียวนะคะ ควรพบแพทย์เพื่อดูอาการ และรับยา เพราะยาตัวเดียวกันไม่ได้ใช้ได้กับทุกคนที่แม้จะเหมือนอาการเหมือนกัน 6. ชุดยังชีพ ไม่ว่าจะเสื้อกันหนาว เสื้อแขนยาว ผ้าพันคอ ถุงเท้า หรือแม้แต่ถุงมือ ของพวกนี้ต้องเตรียมไว้เสมอค่ะ โดยเฉพาะตอนกลางคืน ถ้าอากาศหนาวมากก็ควรใส่ถุงเท้านอนตลอดค่ะ เพราะบริเวณเท้าเราจะรับความเย็นไว้มากที่สุด และจะทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็วจนทำให้ไม่สบายได้ 7. กระเป๋าน้ำร้อน ไม่ได้เวอร์นะคะ แต่ควรมีไว้บ้างถึงจะดี ปัจจุบันมีกระเป๋าน้ำร้อนขนาดพกพาเล็ก ๆ ถ้าวันไหนรู้สึกหนาวมากจนชุดยังชีพก็เอาไม่อยู่แล้ว ให้เทน้ำร้อนใส่กระเป๋านำร้อนแล้วพกติดตัวไปเลยค่ะ ถือไว้ให้อุ่นมือ หรือเอาไปซุกไว้ในตัวก็ช่วยรักษาอุณหภูมิในร่างกายได้ดีค่ะ 8. ออกกำลังกายอย่าได้ขาด หน้าหนาวแล้วก็อย่าฉวยโอกาสขี้เกียจไปออกกำลังกายนะคะ ยิ่งหนาวก็ยิ่งต้องออกกำลังกายให้ร่างกายได้อบอุ่น และแข็งแรงอยู่เสมอ เพราะถ้าเราเอาแต่นอนซุกผ้าห่มสบายใจ ไหนจะอ้วนเอย ไหนกล้ามเนื้อจะอ่อนแรงเอย แล้วยังจะให้รู้สึกเหนื่อยง่ายด้วย ดังนั้นออกกำลังกายกันเถอะค่ะ 9. รักษาความสะอาดของร่างกาย ข้อนี้ขอไว้เลยว่าอย่าลืม ถึงจะหนาวแค่ไหนก็ต้องอาบน้ำเสมอ เพราะร่างกายเราไปเจอสิ่งสกปรกภายนอกมาเยอะ อาจเกิดการสะสมเชื้อโรคจนนำไปสู่อาการเจ็บป่วยได้ แต่ถ้าหนาวจนทนไม่ไหวจริง ๆ ก็แนะนำให้ทำน้ำอุ่นผสมน้ำยาฆ่าเชื้อที่ใช้ทำความสะอาดร่างกาย แล้วใช้ผ้าขนหนูชุบมาเช็ดทำความสะอาดร่างกายแทนได้ แต่อย่าทำบ่อยนะคะเพราะทางที่ดีที่สุดคือต้องอาบน้ำให้สะอาดค่ะ แค่นี้ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ ไม่ว่าจะทำหมดทุกข้อหรือเลือกทำแค่บางข้อ ก็ขอให้ทุกครอบครัวอบอุ่นแบบสุขภาพดีกันตลอดหน้าหนาวไปเลยค่ะ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://health.kapook.com/view18468.html
10 วิธีวิ่งยังไงไม่ให้เหนื่อยง่าย ออกกำลังกายได้นาน ทน และอึด !
10 วิธีวิ่งยังไงไม่ให้เหนื่อยง่าย ออกกำลังกายได้นาน ทน และอึด ! [gallery columns="1" size="full" ids="31335"] ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไรหากจะเห็นนักวิ่งมือใหม่หลาย ๆ คนถอดใจไปกับการวิ่งลดน้ำหนักหรือวิ่งออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีกันซะก่อน นั่นก็เพราะว่าคุณอาจจะยังศึกษาเทคนิคการวิ่งไปไม่ถึงเคล็ดลับวิ่งยังไงไม่ให้เหนื่อยง่ายกันล่ะสิ ถ้างั้นวันนี้ก็อย่าได้พลาดเชียวค่ะ เพราะเรานำวิธีวิ่งให้ได้นาน ๆ แบบไม่เหนื่อย ไม่ทรมานสังขารมาฝากตรงนี้แล้ว 1. เช็กสุขภาพตัวเองให้ฟิตพร้อมวิ่ง เครื่องจักรกลที่อะไหล่ชำรุดยังทำงานได้ไม่เต็มที่ แล้วนับประสาอะไรกับร่างกายของเราที่อาจจะมีความไม่พร้อมเล็ก ๆ น้อย ๆ ซ่อนอยู่บ้าง ซึ่งจุดนี้ก็อาจทำให้คุณวิ่งได้ไม่นานนัก วิ่งไปสักพักก็รู้สึกไม่ไหว เจ็บเท้าบ้าง เจ็บเข่าบ้าง ในที่สุดก็ถอดใจกลับบ้านไปนอนดีกว่า ทว่าหากยังมีความฮึดอยากจะวิ่งเพื่อสุขภาพที่ดีหลงเหลืออยู่ในใจลึก ๆ แนะนำให้ตรวจเช็กสุขภาพร่างกายของตัวเองให้เสร็จสรรพ เช่น เช็กความคล่องตัวของกล้ามเนื้อและข้อต่อ เช็กสุขภาพเข่า หลัง เอว สะโพก ให้แน่ใจว่ามีความแข็งแกร่งและไม่เสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บใด ๆ ได้ง่าย เพื่อที่เราจะได้ออกวิ่งอย่างสบายร่างกาย ไม่เหนื่อยง่ายจนเกินไปนัก [gallery columns="1" size="full" ids="31337"] 2. วอร์มอัพก่อนวิ่ง สำหรับนักวิ่งมือใหม่ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเลย ก่อนจะออกสตาร์ทก็ควรวอร์มอัพกันก่อน โดยอาจจะเดินเร็วสัก 5-10 นาทีในเบื้องต้น หรือลองทำ 10 ท่าวอร์มอัพร่างกายก่อนวิ่ง เพิ่มความฟิต วิ่งได้นานขึ้น ตามนี้3. ขยันวิ่งเข้าไว้ แน่นอนว่าการวิ่งครั้งแรกจะต้องเหนื่อย ต้องหอบ และวิ่งได้แค่ไม่กี่นาที เพราะร่างกายเรายังไม่คุ้นชินกับการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอด้วยการวิ่งมาก่อน แต่หากเรายังไม่เลิกล้มความตั้งใจ วิ่งวันนี้เหนื่อยแล้ว พรุ่งนี้ก็ยังคงมาวิ่งใหม่อีกครั้ง ร่างกายก็จะค่อย ๆ ปรับตัวและทำให้เราวิ่งได้นานขึ้นแต่เหนื่อยน้อยลงได้ ฉะนั้นก็จงขยันวิ่งเข้าไว้ค่ะ อย่างน้อยวิ่งให้ได้วันละ 5-10 นาที ต่อเนื่องกัน 5 วันต่อสัปดาห์ก็ยังดี [gallery columns="1" size="full" ids="31338"] 4. ค่อย ๆ เพิ่มความอึดไปเรื่อย ๆ ถ้าได้วิ่งติดต่อกันสักระยะ เราจะรู้สึกเลยว่าเราวิ่งได้ในระยะที่ไกลขึ้น นานขึ้น และมีความอึดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งตรงนี้นับเป็นนิมิตหมายที่ดีของนักวิ่งนะคะ เพราะแปลได้ว่าร่างกายของคุณเริ่มจะคุ้นชินกับคาร์ดิโอแบบวิ่งให้ใจเต้นตึก ๆ เข้าแล้วล่ะ ! อ้อ ! แต่แม้จะรู้สึกว่าวิ่งได้สตรองขึ้นแล้ว ก็อย่าได้ริลองเพิ่มความเข้มข้นให้การวิ่งแบบก้าวกระโดด เช่น สัปดาห์ที่แล้ววิ่งไม่เกิน 30 นาทีมาโดยตลอด แต่ในวีคนี้กะไว้ว่าจะวิ่งสักชั่วโมงไปเลย เฮ้อ...เจอแบบนี้สังขารคงอยากบอกว่าเกินกว่า (ร่าง) กายจะทนไหว ทำอะไรช่วยปรึกษากันหน่อยนะจ๊ะ เอาเป็นว่าค่อย ๆ เขยิบเวลาวิ่งไปทีละ 10-15 นาทีก่อนก็พอ [gallery columns="1" size="full" ids="31339"] 5. ลองวิ่งให้เร็วขึ้น แม้เราจะขอไม่ให้เพิ่มความเข้มข้นกับการวิ่งด้วยการยืดระยะเวลาวิ่งให้นานขึ้นแบบก้าวกระโดด ซึ่งก็เพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บของร่างกายที่อาจเกิดขึ้นได้ และป้องกันความเหนื่อยที่น่าจะทบทวีคูณของคุณเอง แต่เราจะขอให้คุณเพิ่มความเร็วในการวิ่งแทน โดยวิ่งด้วยความเร็วปกติประมาณ 2-3 นาที สลับกับวิ่งแบบสปรินต์ (Sprint) ประมาณ 10 วินาที วนไปอย่างนี้เรื่อย ๆ หรือหากจะประลองฝีเท้าวิ่งของตัวเองอาจเพิ่มรอบสปรินต์เป็น 30 วินาทีก็ได้ ทั้งนี้การวิ่งในลักษณะดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และเพิ่มขีดความสามารถของปอด ซึ่งจะช่วยให้คุณวิ่งได้นานขึ้น อึดมากขึ้น6. วิ่งไต่ระดับความชัน นอกจากจะเพิ่มความอึดในการวิ่งด้วยการอัปสปีดฝีเท้าแล้ว การฝึกตัวเองให้วิ่งบนทางลาดชันก็เป็นอีกอย่างที่อยากให้ลองด้วย เพราะการวิ่งไต่ระดับความชันจะช่วยเพิ่มกำลังขา เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลำตัวและกระดูกสันหลัง ทั้งยังช่วยฟิตปอดให้อีกต่างหาก ดังนั้นหากวิ่งบนลู่วิ่งก็จัดการเพิ่มความชันให้ลู่วิ่งซะเลย หรือหากเป็นคนที่วิ่งบนท้องถนน ลองหาทางชันหรือเนินเอาไว้วิ่งก็ดีค่ะ ซึ่งช่วงแรก ๆ ที่วิ่งขึ้นเนินหรือเพิ่มความชัน เราอาจจะรู้สึกเหนื่อยยากอยู่บ้าง แต่หากวิ่งให้บ่อย ๆ แล้วจะชิลเลย7. เสริมความฟิตให้กล้ามเนื้อ การวิ่งต้องอาศัยกล้ามเนื้อแทบจะทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งก็หมายความว่าเราควรต้องดูแลกล้ามเนื้อของเราให้ดีที่สุด โดยนอกจากจะวิ่งออกกำลังกายตามคำแนะนำข้างต้นแล้ว ก็อาจเสริมความสตรองให้กล้ามเนื้อได้ด้วย 10 ท่าออกกำลังกายสำหรับนักวิ่ง เสริมความฟิตให้กล้ามเนื้อเพื่อการวิ่งที่ดีขึ้น8. วิ่งสลับเดินเร็ว หากวิ่งเต็มฝีเท้าไปได้สักพักแล้วรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน ลองลดความเร็วแล้วเดินเร็วดูบ้างก็ได้ โดยก้าวเดินยาว ๆ แบบเร่งสปีดให้เร็วกว่าเดินปกติสักหน่อย วิธีนี้ก็จะช่วยป้องกันร่างกายไม่ให้เกิดความตึงเครียดมากเกินไป พอร่างกายเริ่มวิ่งไหวค่อยเร่งฝีเท้ากลับไปวิ่งปกติ9. ฝึกหายใจขณะวิ่งให้ถูกหลัก ในขณะที่วิ่ง ควรหายใจเข้าทางจมูกและปล่อยลมหายใจออกพร้อมกันทั้งทางจมูกและปาก ทั้งนี้การหายใจควรปล่อยให้เป็นไปอย่างสบายและพยายามหายใจด้วยท้อง โดยสูดหายใจเข้าไปในปอดจนท้องขยาย และบังคับปล่อยลมให้ออกมาด้วยการแขม่วท้อง เพราะการหายใจไม่ถูกวิธีอาจจะทำให้เกิดการจุกเสียดขณะวิ่งได้ คราวนี้ความตั้งใจแรกที่อยากจะวิ่งให้นาน ๆ ก็คงต้องเป็นอันถูกพับโครงการไปโดยปริยาย [gallery columns="1" size="full" ids="31340"] 10. ฟังเพลงเบา ๆ คลอไปด้วย นี่ไม่ใช่ทฤษฎีปฏิบัติที่นำเสนอมาเพื่อล้อเล่นขำ ๆ แต่มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Sports Medicine and Physical Fitness ยืนยันเลยว่า การฟังเพลงจังหวะสบายหู หรือเพลงป๊อปช้า ๆ ในระหว่างที่วิ่ง จะช่วยให้อาสาสมัครวิ่งได้นานขึ้นได้ เมื่อเทียบกับอาสาสมัครกลุ่มที่ฟังเพลงจังหวะเร้าใจ หรือไม่ฟังเพลงใด ๆ ในขณะวิ่งเลย อย่างไรก็ตาม ปัจจัยอย่างรองเท้าที่ใส่วิ่งหรือเสื้อผ้าที่ใส่วิ่งก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นนักวิ่งควรต้องใส่รองเท้าคุณภาพดีที่ออกแบบมาสำหรับวิ่งโดยเฉพาะ ซึ่งจะช่วยลดแรงกระแทกระหว่างเท้ากับพื้นดินได้ อีกทั้งเสื้อผ้าที่ใส่วิ่งก็ควรเป็นเนื้อผ้าโปร่งสบาย เพื่อให้ระบายอากาศได้ดี นอกจากนี้เรายังอยากจะฝากท่าวิ่งที่ถูกต้องเพิ่มเติมอีกสักหน่อย สำหรับนักวิ่งมือใหม่หรือคนที่วิ่งออกกำลังกายมาสักพักแล้วแต่ยังไม่รู้หลักการวิ่งที่ถูกต้อง ลองทำตามบทความด้านล่างที่เราแนะนำได้เลยค่ะ - วิ่งลดน้ำหนักต้องใส่ใจ ถ้าไม่อยากเจ็บเข่า อย่าเอาส้นเท้าลงเต็ม ๆขอขอบคุณข้อมูลจากpopsugarlivestrong running competitor https://health.kapook.com/view154975.html
ไขมันทรานส์คืออะไร
ไขมันทรานส์คืออะไร พบได้ในไหน ทำไมถึงอันตราย ใช้อะไรแทน [gallery columns="1" size="full" ids="30831"] แค่เรารับประทานอาหารที่ผ่านการทอด หรือมีน้ำมันเป็นส่วนประกอบก็มีแนวโน้มที่จะอ้วนได้อยู่แล้ว แต่ถ้าสิ่งที่เราได้รับจากอาหารรสชาติอร่อยที่เราคุ้นเคยคือไขมันทรานส์ ไขมันชนิดนี้จะส่งผลร้ายต่อเรามากกว่าแค่อ้วน จะดีกว่ามั้ยที่เราจะหยุดวงจรเจ็บป่วยนี้ไว้ ก่อนที่จะสายเกินไป ไขมันทรานส์พบได้ในอาหารประเภทไหน อาหารจำพวกโดนัท ลูกชิ้นทอด และมาการีนในผลิตภัณฑ์เบเกอรี่อาจะมีรสชาติที่อร่อยลิ้น การบริโภคอาหารเหล่านี้ เป็นอาหารหลักที่มีไขมันทรานส์เป็นส่วนประกอบ ไขมันทรานส์เกิดขึ้นได้อย่างไร โดยปกติแล้วไขมัน เป็นอาหารประเภทหนึ่งที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ไขมันนั้นก็มีทั้งไขมันดีและไขมันเลว เมื่อสิบปีก่อนมีกระแสการเปลี่ยนมาใช้น้ำมันพืชที่ไม่อิ่มตัวเพื่อสุขภาพ เพื่อลดการอุดตันเส้นเลือดนั้นเป็นที่นิยมมาก แต่เนื่องจากการที่ไขมันยังไม่อิ่มตัวนั้น เมื่อวางเอาไว้ในอุณหภูมิปกติ ก็จะทำปฏิกริยากับอากาศทำให้เกิดกลิ่นเหม็นหืน ครั้นจะแช่ในตู้เย็นก็เป็นไข นักวิทยาศาสตร์จึงได้ทำการเติมไฮโดรเจนและวิตตามินอีลงไป เพื่อปิดพันธะที่ยังว่างเหล่านี้ จึงลดกลิ่นเหม็นหืนลงได้และดูเหมือนผู้คนในยุคสมัยนั้นจะเชื่อกันว่าไขมันพืชดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดี จึงพากันมาบริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "น้ำมันถั่วเหลือง" แต่เมื่อเวลาผ่านไปดูเหมือนจะมีคนป่วยเพราะโรคไขมันเหล่านี้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะไขมันทรานส์ที่สร้างขึ้นมาใหม่นั้นเป็นทั้งไขมันเลวเข้าสู่ร่างกาย และเข้าไปทำลายไขมันดีในร่างกายอีกด้วย การรับประทานไขมันทรานส์เข้าไป จะทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจสูง ส่งผลให้ในปัจจุบัน ผู้คนเริ่มกลับไปใช้ไขมันอิ่มตัวในการประกอบอาหารแทน เพราะนอกจากจะเป็นนำมันที่ได้จากธรรมชาติแล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพอีกด้วย นั่นก็คือการใช้น้ำมันหมูหรือน้ำมันปาล์มในการประกอบอาหารนั่นเอง [gallery columns="1" size="full" ids="30832"] ใช้น้ำมันอะไรประกอบอาหารดี ถึงแม้ว่าน้ำมันปาล์มจะเป็นไขมันพืชอย่างหนึ่ง แต่น้ำมันปาล์มนั้นมีความอิ่มตัวค่อนข้างสูง ทำให้ไม่ต้องเติมสารสังเคราะห์ต่างๆ ลงไปมากนัก ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับสารเคมีที่เป็นพิษต่อร่างกายน้อยลง แต่จะให้ดีไปกว่านั้น เราก็ควรจะเลือกใช้ไขมันหมู โดยนำหมูสามชั้นมันเจียวในกระทะจนได้น้ำมันออกมา แล้วจึงนำน้ำมันที่ได้ไปผัดหรือทอด นอกจากร่างกายจะได้รับสารอาหารจากไขมันที่ดีแล้ว ยังไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายอีกด้วย ทั้งนี้เพราะน้ำมันหมูเป็นไขมันที่ได้จากธรรมชาติ แถมยังมีโครงสร้างโมเลกุลที่คล้ายคลึงกับไขมันในร่างกายมนุษย์มากกว่าไขมันชนิดอื่น เนื่องจากไขมันในร่างกายมนุษย์และไขมันของหมูเป็นไขมันของสัตว์เหมือนกันนั่นเอง คงเป็นเรื่องยาก ที่เราจะรู้ว่าอาหารที่ขายอยู่ทั่วไปนั้น ใช้น้ำมันอะไรในการประกอบอาหาร แต่ถ้าเราเป็นคนปรุงอาหารขึ้นมาเอง เราก็ไม่ต้องสงสัยในส่วนประกอบเหล่านั้นเลย ต่อไปถ้าอยากรับประทานอาหารให้อร่อยถูกปาก ประหยัด และปลอดภัย อย่างลืมเลือกวัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติในการประกอบอาหาร และลดไขมันทรานส์ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณเอง ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.honestdocs.co/danger-in-trans-fat-delicious-foods
ไข้เลือดออก โรคตัวร้ายที่มียุงลายเป็นพาหะ
ไข้เลือดออก โรคตัวร้ายที่มียุงลายเป็นพาหะ [gallery columns="1" size="full" ids="29794"] ไข้เลือดออก เป็นโรคที่เกิดจากยุงซึ่งเป็นพาหะของโรค ไข้เลือดออกนอกจากจะเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทยแล้ว ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศในเขตร้อนชื้น และก่อให้เกิดความกังวลต่อผู้ปกครองเวลาเด็กมีไข้ และมักพบบ่อยในเด็กต่ำกว่า 15 ปี โดยเฉพาะช่วงอายุ 2-8 ขวบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ใหญ่จะไม่มีโอกาสเป็นโรคไข้เลือดออกได้ โดยเฉพาะต้องอาศัยอยู่ในแหล่งที่ชุกชุมไปด้วยยุงตัวร้าย โรคไข้เลือดออกต้องระวังยุงชนิดไหน ยุงลายเป็นพาหะตัวร้ายของ โรคไข้เลือดออก ทางที่ดีที่จะป้องกันโรคไข้เลือดออกในเบื้องต้น คือการป้องกันตัวเองและคนรอบข้างไม่ให้โดนยุงกัด โดยเฉพาะยุงลาย ถ้ากำจัดลูกน้ำยุงลายบริเวณรอบ ๆ บ้านได้จะยิ่งดี ยุงลายชอบกัดตอนไหน ช่วงไหนควรระวังพาหะไข้เลือดออก ยุงลายที่กัดเราแล้วจะทำให้เป็นโรคไข้เลือดออกมีเฉพาะยุงลายตัวเมียเท่านั้น เพราะยุงลายตัวเมียต้องการโปรตีนจากเลือดเพื่อสร้างไข่ และมักจะออกหาเหยื่อในช่วงกลางวันมากกว่ากลางคืน ฉะนั้นช่วงกลางวันจึงเป็นช่วงเวลาอันตรายที่ต้องเลี่ยงไม่ให้ถูกยุงกัดมากที่สุด แต่ทั้งนี้ช่วงเวลาไหน ๆ ก็อย่ายอมให้ยุงมาดูดเลือดเลยน่าจะปลอดภัยกว่า - ยุงกัดเพราะอะไร ระวังไว้ ก่อนป่วยไข้เลือดออก ! - มาดูกัน...ยุงชอบกัดคนประเภทไหน [gallery size="full" columns="1" ids="29795"] อาการของ ไข้เลือดออก อาการของ ไข้เลือดออก ไม่จำเพาะอาการมีได้หลายอย่าง ในเด็กอาจจะมีเพียงอาการไข้และผื่น ในผู้ใหญ่ที่เป็น ไข้เลือดออก อาจจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดตามตัว ปวดกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อ หากไม่คิดว่าเป็น โรค ไข้เลือดออก อาจจะทำให้การรักษาช้า ผู้ป่วยอาจจะเสียชีวิต ทั้งนี้ลักษณะที่สำคัญของ ไข้เลือดออก มีอาการสำคัญ 4 ประการคือ 1. ไข้สูงลอย : ไข้ 39-40 องศาเซลเซียส มักมีหน้าแดง โดยมากไม่ค่อยมีอาการน้ำมูกไหลหรือไอ เด็กโตอาจมีอาการปวดเมื่อยตามตัว และปวดศีรษะ อาการไข้สูงมักมีระยะ 4-5 วัน 2. อาการเลือดออก : เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน เลือดออกในกระเพาะ โดยจะมีอาการอาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายดำ มีจุดเลือดออกตามตัว 3. ตับโต 4. ความผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด หรือช็อก : มักจะเกิดช่วงไข้จะลด โดยผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น รอบปากเขียว อาจมีอาการปวดท้องมาก ก่อนจะมีอาการช็อก ชีพจรเบาเร็ว ความดันต่ำ ตับอักเสบจากไข้เลือดออก อีกหนึ่งอาการที่ต้องระวัง อาการตับอักเสบอย่างรุนแรง สามารถพบได้ในผู้ป่วยไข้เลือดออกเช่นกัน โดยจะเกิดขึ้นกรณีที่เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายตับ หรือเกิดจากการที่ตับถูกทำลายเพราะการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้นหากมีอาการไข้เลือดออกแล้วก็ควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดหากเกิดอาการตับอักเสบจะได้ทำการรักษาได้ทันท่วงที ลักษณะตุ่มไข้เลือดออก ตุ่มโรคไข้เลือดออกจะคล้ายกับตุ่มยุงกัดทั่วตัว และใกล้เคียงกับผื่นจากโรคหัด แต่จะสังเกตได้ว่า ถ้าเป็นไข้เลือดออกจะไม่มีอาการไอหรือน้ำมูกไหล และจุดเลือดออกของโรคไข้เลือดออกจะไม่รู้สึกสากมือเหมือนโรคหัด และเวลากดดึงผิวหนังให้ตึงจะไม่จางหายไปเหมือนจุดถูกยุงกัดธรรมดา ซึ่งถ้ามีอาการตามนี้ร่วมกับมีไข้สูงตลอดเวลา ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์โดยด่วน ไข้เลือดออกมีกี่ระยะ ระยะฟักตัวของไข้เลือดออกจะอยู่ในช่วง 3-5 วัน และอาการไข้เลือดออกสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง ผู้ป่วยจะมีไข้สูงฉับพลัน ไข้จะสูงค้างอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา โดยที่กินยาลดไข้ก็ยังบรรเทาไข้ไม่ได้ ร่วมกับอาการหน้าแดง ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร และบางรายมีอาการอาเจียนเป็นพัก ๆ หรืออาจมีอาการท้องผูกหรือถ่ายเหลว และบางคนอาจมีอาการเจ็บคอ ไอเล็กน้อย ทว่าในระยะ 3 วันที่ป่วยตุ่มอาจยังไม่ขึ้นให้เห็นชัด ๆ ระยะที่ 2 ระยะช็อกและมีเลือดออก อาการนี้จะพบในช่วงระหว่างวันที่ 3-7 ของการป่วย และมักจะเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่ป่วยจากเชื้อเด็งกีที่มีความรุนแรงขั้นที่ 3 และ 4 ซึ่งระยะนี้ถือเป็นช่วงวิกฤตของโรค อาการไข้ของผู้ป่วยจะเริ่มลดลง แต่กลับอาเจียน ปวดท้องบ่อยขึ้น ซึมมากขึ้น ตัวเย็น มือเท้าเย็น กระสับกระส่าย เหงื่อแตก ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นแผ่วแต่เร็ว และความดันต่ำ ซึ่งเป็นภาวะช็อก และหากไม่ได้รับการรักษาภายใน 1-2 วัน อาจทำให้เสียชีวิตได้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการเลือดออกตามผิวหนัง (มีจ้ำเขียวพรายย้ำขึ้น) เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือดหรือสีกาแฟ ถ่ายเป็นเลือด ซึ่งหากอยู่ในภาวะนี้อาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากขึ้น โดยหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจเสียชีวิตภายใน 24-27 ชั่วโมง แต่หากผู้ป่วยสามารถประคองอาการให้ผ่านพ้นระยะนี้มาได้ ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3 ของโรคไข้เลือดออก ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว ในผู้ป่วยที่ไม่มีอาการช็อก หรือช็อกไม่รุนแรง และได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาการของผู้ป่วยจะฟื้นตัวสู่สภาพปกติ โดยผู้ป่วยจะรู้สึกตัวและร่าเริงขึ้น เริ่มกินอาหารได้ โดยอาการจะดีขึ้นตามลำดับภายในช่วงระยะ 7-10 วันหลังจากผ่านพ้นระยะที่ 2 ของโรค การวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกในเบื้องต้นอย่างง่าย ๆ ใช้ยางหนังสติ๊กรัดเหนือข้อศอกให้แน่นเล็กน้อย ให้พอคลำชีพจรที่ข้อมือได้ รัดอยู่อย่างนั้นนาน 5 นาที และลองเอาเหรียญบาทกดทับที่บริเวณท้องแขน หากพบว่ามีจุดเลือดออก (จุดแดง) เกิดขึ้นที่บริเวณท้องแขนในตําแหน่งที่ใช้เหรียญกดทับเป็นจํานวนมากกว่า 10 จุด ก็นับว่าเสี่ยงเป็นโรคไข้เลือดออกสูงมาก ยิ่งถ้าหากมีไข้มาแล้ว 2 วัน ความเสี่ยงของโรคจะอยู่ประมาณ 80% เลยทีเดียว เมื่อใดต้องรีบส่งโรงพยาบาลทันที - เมื่อมีเลือดออกผิดปกติ อาเจียนมาก ปวดท้อง ซึม ไม่ดื่มน้ำ กระหายน้ำตลอดเวลา มีปัสสาวะออกน้อย - เมื่อความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ตัวลาย เหงื่อออกโดยเฉพาะในช่วงไข้ลง [gallery columns="1" size="full" ids="29797"] ไข้เลือดออก แนวทางการรักษาโรค ไข้เลือดออก โรคไข้เลือดออก ไม่มีการรักษาเฉพาะ การรักษาเป็นเพียงการประคับประคองอย่างใกล้ชิดโดยการเฝ้าระวังภาวะช็อก และเลือดออก และการให้สารน้ำอย่างเหมาะสมก็จะทำให้อัตราการเสียชีวิตลดลง โดยทั่วไปการดูแลผู้ป่วยโรค ไข้เลือดออก มีแนวทางการดูแลอย่างใกล้ชิด ดังนี้ 1. ให้ยาลดไข้ เช็ดตัวลดไข้ ยาลดไข้ที่ควรใช้คือ พาราเซตามอล ไม่ควรใช้ยาจำพวกแอสไพริน เนื่องจากจะทำให้เกล็ดเลือดผิดปกติ และระคายกระเพาะอาหาร 2. ให้สารน้ำชดเชย เนื่องจากผู้ป่วยไข้เลือดออก มักมีภาวะขาดน้ำ เนื่องจากไข้สูง เบื่ออาหาร และอาเจียน ในรายที่พอทานได้ให้ดื่มน้ำเกลือแร่บ่อย ๆ ในรายที่ขาดน้ำมาก หรือมีภาวะเลือดออก เช่น อาเจียน หรือถ่ายเป็นเลือดต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล เพื่อให้สารน้ำทางเส้นเลือด 3. ติดตามดูอาการใกล้ชิด ถ้าผู้ป่วยไข้เลือดออกมีอาการปวดท้อง ปัสสาวะน้อยลง กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น โดยเฉพาะในช่วงไข้ลด ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที 4. ตรวจนับจำนวนเกล็ดเลือดและความเข้มข้นของเลือดเป็นระยะ เพื่อใช้พิจารณาปริมาณการให้สารน้ำชดเชย จะทราบได้อย่างไรว่าผู้ป่วยพ้นขีดอันตรายแล้ว ผู้ป่วยไข้เลือดออก หากมีอาการไข้ลดลง ภายใน 24-48 ชั่วโมง แล้วเริ่มกินอะไรได้ รู้สึกตัวดี ไม่ซึม แสดงว่าอาการพ้นขีดอันตรายแล้ว การปฏิบัติเมื่อมีคนในบ้าน/ข้างบ้านเป็น ไข้เลือดออก เนื่องจากไข้เลือดออกระบาดโดยมียุงเป็นตัวแพร่พันธุ์ ดังนั้นเมื่อมีคนในบ้านหรือข้างบ้านเป็นไข้เลือดออก ควรจะบอกคนในบ้านหรือข้างบ้านว่า มีคนเป็นไข้เลือดออกด้วย และแจ้งสาธารณสุขให้มาฉีดยาหมอกควันเพื่อฆ่ายุง รวมถึงดูแลให้สมาชิกในครอบครัวป้องกันการถูกยุงกัด สำรวจภายในบ้าน รอบบ้าน รวมทั้งเพื่อนบ้านว่ามีแหล่งแพร่พันธุ์ยุงหรือไม่ หากมีให้รีบจัดการและทำลายแหล่งแพร่พันธุ์นั้น เพื่อป้องกันการเป็นไข้เลือดออก นอกจากนี้ต้องคอยระวังเฝ้าดูอาการของสมาชิกในบ้านหรือข้างบ้านว่ามีไข้หรือไม่ หากมีไข้ให้ระวังว่าอาจจะเป็น ไข้เลือดออกได้ โรคไข้เลือดออก กับยาที่ควรหลีกเลี่ยง ในการรักษาของผู้ป่วยไข้เลือดออกควรจะใช้ยาพาราเซตามอลในการรักษาเท่านั้น และห้ามรับประทานยาในกลุ่มแอสไพริน ซึ่งได้แก่ยาแอสไพรินชนิดเม็ด หรือยาแอสไพรินแบบซองที่ขายทั่วไป และยาในกลุ่มไอบูโปรเฟน เนื่องจากยาทั้งสองชนิดนี้เป็นยาที่มีผลข้างเคียงรุนแรง คืออาจไปกัดกระเพาะทำให้เกิดเลือดออกในกระเพาะหรือลำไส้ ซึ่งทำให้เป็นอันตรายกับผู้ป่วยได้ อาหารสำหรับผู้ป่วยไข้เลือดออก เป็นแล้วควรกินอะไร ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสและฟื้นฟูร่างกายได้รวดเร็ว โดยอาหารที่ควรรับประทานคือ ผักใบเขียว ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น มะนาว ส้ม เลมอน หรือเกรปฟรุต เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น และควรรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงด้วย เพื่อให้มีเรี่ยวแรงและสามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ดี นอกจากนี้อาหารที่รับประทานควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก น้ำผัก หรือน้ำผลไม้ แต่ทั้งนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือการดื่มน้ำ เพราะการดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยให้ร่างกายขับสารพิษออกมาได้มากขึ้นนั่นเอง ไข้เลือดออกห้ามกินอะไรบ้าง รู้แล้ว เลี่ยงให้ไกล นอกจากจะควรรับประทานอาหารอ่อน ๆ แล้ว ผู้ป่วยไข้เลือดออกนั้นก็ควรจะหลีกเลี่ยงอาหารมัน ๆ ประเภทอาหารทอด หรือผัด และไม่ควรรับประทานอาหารรสเผ็ดเพราะอาจจะทำให้แสบท้องและเกิดเลือดออกในกระเพาะได้ง่าย นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสีแดง สีดำ หรือสีน้ำตาล เพราะสีของอาหารอาจจะทำให้การสังเกตอาการเลือดออกในปัสสาวะและอุจจาระเป็นไปได้ยากขึ้นอีกด้วย เป็นไข้เลือดออกแล้วมีสิทธิ์เป็นซ้ำอีกได้ไหม เนื่องจากไข้เลือดออกมี 4 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ที่ 1, 2, 3 และ 4 ซึ่งในแต่ละปีจะมีการระบาดของสายพันธุ์ต่าง ๆ สลับกันไป หากผู้ป่วยติดเชื้อไข้เลือดออกสายพันธุ์ใดไปแล้ว ร่างกายก็จะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้นตลอดชีวิต และสามารถสร้างภูมิคุ้มกันข้ามไปยังสายพันธุ์อื่นได้ระยะหนึ่ง ก่อนภูมิคุ้มกันในสายพันธุ์อื่นจะหายไป ดังนั้น ผู้ที่เคยเป็นไข้เลือดออกแล้วก็ยังสามารถกลับมาเป็นได้อีกในสายพันธุ์ที่ต่างจากที่เคยเป็น แต่ทว่า การติดเชื้อครั้งที่ 2 มักจะมีอาการรุนแรงกว่าการป่วยครั้งแรก แต่โดยส่วนใหญ่แล้วคนเรามักติดเชื้อไม่เกิน 2 ครั้ง การป้องกันโรค ไข้เลือดออก ทุกวันนี้ยังไม่มียาที่ใช้รักษา ไข้เลือดออก ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดโดยป้องกันการแพร่ของยุง - 15 วิธีป้องกันยุงกัดส่งตรงจากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมี [gallery columns="1" size="full" ids="29798"] ยุงลาย พาหะนำโรคไข้เลือดออก การควบคุมสิ่งแวดล้อม Environmental management การควบคุมสิ่งแวดล้อมเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมเพื่อไม่ให้ยุงมีการขยายพันธุ์ - แท็งก์น้ำ บ่อ กะละมัง ที่เก็บกักน้ำจะเป็นแหล่งที่ยุงออกไข่และกลายเป็นยุง ต้องมีฝาปิดและหมั่นตรวจสอบว่ามีลูกน้ำหรือไม่ - ให้ตรวจรอยรั่วของท่อน้ำ แท็งก์น้ำหรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวกับน้ำว่ารั่วหรือไม่ โดยเฉพาะฤดูฝน - ตรวจสอบแจกัน ถ้วยรองขาโต๊ะ ต้องเปลี่ยนน้ำทุกสัปดาห์ สำหรับแจกันอาจจะใส่ทรายผสมลงไป ส่วยถ้วยรองขาโต๊ะให้ใส่เกลือเพื่อป้องกันลูกน้ำ - หมั่นตรวจสอบถาดรองน้ำที่ตู้เย็นหรือเครื่องปรับอากาศเพราะเป็นที่แพร่พันธุ์ของยุง โดยเฉพาะถาดระบายน้ำของเครื่องปรับอากาศซึ่งออกแบบไม่ดี โดยรูระบายน้ำอยู่เหนือก้นถาดหลายเซนติเมตร ทำให้มีน้ำขังซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง - ตรวจสอบรอบ ๆ บ้านว่ามีแหล่งน้ำขังหรือไม่ ท่อระบายน้ำบนหลังคามีแอ่งขังน้ำหรือไม่ หากมีต้องจัดการ - ขวดน้ำ กระป๋อง หรือภาชนะอื่นที่อาจจะเก็บขังน้ำ หากไม่ใช้ให้ใส่ถุงหรือฝังดินเพื่อไม่ให้น้ำขัง - ยางเก่าที่ไม่ใช้ก็เป็นแหล่งขังน้ำได้เช่นกัน - หากใครมีรั้วไม้ หรือต้นไม้ที่มีรูกลวง ให้นำคอนกรีตเทใส่ปิดรู ต้นไผ่ต้องตัดตรงข้อและให้เทคอนกรีตปิดแอ่งน้ำ [gallery columns="1" size="full" ids="29800"] การป้องกันส่วนบุคคล - ใส่เสื้อผ้าที่หนาพอสมควร ควรจะใส่เสื้อแขนยาว และกางเกงขายาว เด็กนักเรียนหญิงก็ควรใส่กางเกง - การใช้ยาฆ่ายุง เช่น pyrethrum ก้อนสารเคมี - การใช้กลิ่นกันยุง เช่น ตะไคร้ หรือสารเคมีอื่น ๆ - นอนในมุ้ง - การควบคุมยุงโดยทางชีวะ - เลี้ยงปลาในอ่างที่ปลูกต้นไม้ หรือแหล่งน้ำตามธรรมชาติ - ใช้แบคทีเรียที่ผลิตสาร toxin ฆ่ายุง ได้แก่ เชื้อ Bacillus thuringiensis serotype H-14 (Bt.H-14) และ Bacillus sphaericus (Bs) - การใช้เครื่องมือดักจับลูกน้ำซึ่งเคยใช้ได้ผลที่สนามบินของสิงคโปร์ แต่สำหรับกรณีประเทศไทยยังได้ผลไม่ดีเนื่องจากไม่สามารถควบคุมแหล่งน้ำธรรมชาติจึงยังมีการแพร่พันธุ์ของยุง [gallery columns="1" size="full" ids="29801"] การใช้สารเคมีในการควบคุม - ใช้ยาฆ่าลูกน้ำ วิธีการนี้จะสิ้นเปลืองและไม่เหมาะที่จะใช้อย่างต่อเนื่อง วิธีการนี้จะเหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีการระบาดและได้มีการสำรวจพบว่ามีความชุกของยุงมากกว่าปกติ - ใช้สารลดแรงตึงผิว เช่น ผงซักฟอก สบู่ แชมพู น้ำยาล้างจาน ฉีดพ่นกำจัดยุง เพราะสารดังกล่าวจะไปทำลายระบบการหายใจของแมลง ทำให้แมลงตายได้ - ใช้ "ทรายอะเบท" กำจัดยุงลาย โดยให้นำทรายอะเบท 1 กรัม ใส่ในภาชนะที่มีน้ำขัง (อัตราส่วน 1 กรัมต่อน้ำ 10 ลิตร หรือ 20 กรัม) จะป้องกันไม่ให้เกิดลูกน้ำได้นานประมาณ 1-2 เดือนเลยทีเดียว ซึ่งหลังจากใช้เสร็จแล้วต้องเก็บในภาชนะบรรจุที่ปิดมิดชิด รวมทั้งเก็บในที่เย็น แห้ง และมีการระบายอากาศอย่างเพียงพอ - การใช้สารเคมีพ่นตามบ้านเพื่อฆ่ายุง วิธีการนี้ใช้ในประเทศเอเชียหลายประเทศมามากกว่า 20 ปี แต่จากสถิติของการระบาดไม่ได้ลดลงเลย การพ่นหมอกควันเป็นรูปธรรมที่มองเห็นว่ารัฐบาลได้ทำอะไรเกี่ยวกับการระบาด แต่การพ่นหมอกควันไม่ได้ลดจำนวนประชากรของยุง ข้อเสียคือทำให้คนละเลยความปลอดภัย การพ่นหมอกควันจะมีประโยชน์ในกรณีที่มีการระบาดของโรคไข้เลือดออก การระบาดของไข้เลือดออก ช่วงเวลาการระบาดของโรคไข้เลือดออกสามารถพบได้ตลอดทั้งปี แต่จะระบาดมากในฤดูฝน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมของทุกปี หากใครมีข้อสงสัย หรือต้องการปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องโรคไข้เลือดออก สามารถสอบถามได้ที่สายด่วน สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก) หมายเลขโทรศัพท์ 089-204-2255 ตลอด 24 ชั่วโมง เห็นตัวเล็ก ๆ อย่างนี้ แต่ยุงคือฆาตกรอันดับหนึ่งของโลกเชียวนะ [gallery columns="1" size="full" ids="29803"] จากสถิติสัตว์ร้ายที่คร่าชีวิตมนุษย์มากที่สุดในโลก 15 อันดับ ที่ gatesnotes บล็อกส่วนตัวของบิล เกตส์ ได้นำข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) รวมทั้งองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) มาสรุปให้ดูเมื่อปี 2014 จะเห็นว่า สัตว์ตัวเล็ก ๆ อย่างยุง สามารถคร่าชีวิตมนุษย์เกือบล้านคนต่อปี ถือเป็นสัตว์ที่อันตรายกับสวัสดิภาพมนุษย์มากกว่าสัตว์ดุร้ายอย่างงูพิษหรือฉลามเสียอีก เอาเป็นว่าอย่ามัวเสียเวลาค่ะ มาไล่เรียง 15 สัตว์ตัวร้ายที่อาจเป็นภัยกับมนุษย์แบบเรียงตัวเลยดีกว่า 1. ยุง ด้วยความที่ยุงมีขนาดตัวเล็ก บินได้คล่องตัว มนุษย์เราจึงเสี่ยงกับเชื้อไวรัสที่ยุงเป็นพาหะนำมาทำร้ายเราได้ง่ายกว่าสัตว์ชนิดอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคไข้มาลาเรีย ที่คร่าชีวิตมนุษย์กว่า 600,000 คนต่อปี และเป็นพาหะที่ทำให้มนุษย์ป่วยด้วยโรคไข้มาลาเรียกว่า 200 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งนอกจากโรคไข้มาลาเรียแล้ว เจ้ายุงที่มีมากกว่า 2,500 สายพันธุ์ ยังเป็นพาหะของโรคไข้เลือดออก โรคไข้เหลือง และโรคสมองอักเสบอีกต่างหาก ซึ่งจากสถิติแล้ว ยุงที่มีพาหะของเชื้อไวรัสชนิดต่าง ๆ ได้คร่าชีวิตมนุษย์มากถึง 725,000 คนต่อปี 2. มนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐที่ทำร้ายกันและกันเองมากเป็นอันดับที่ 2 โดยเฉลี่ยแล้วมีผู้เสียชีวิตจากน้ำมือของคนด้วยกันเองถึงปีละ 475,000 คนต่อปีเลยทีเดียว 3. งู สัตว์เลื้อยคลานมีพิษร้ายอย่างงู รั้งอันดับ 3 ไปด้วยสถิติคร่าชีวิตมนุษย์ทั่วโลกกว่า 50,000 คนต่อปี 4. สุนัข (ติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า) โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคอันตราย หากเป็นแล้วมีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก ซึ่งได้คร่าคนไปกว่า 25,000 คนต่อปี 5. แมลงดูดเลือด พาหะนำโรคง่วงหลับมาคร่าชีวิตมนุษย์ปีละ 10,000 คนทั่วโลก 6. มวนเพชฆาต แมลงชนิดนี้มีฉายาว่า ฆาตกรแบกศพ มักพบในประเทศมาเลเซีย และเป็นแมลงที่คร่าชีวิตมนุษย์มากถึงปีละ 10,000 คนเช่นกัน 7. หอยเชอร์รีหรือทากน้ำ ตัวการของโรคไข้สมองอักเสบ หากกินหอยชนิดนี้ดิบ ๆ ก็อาจได้รับเชื้อจนเพิ่มสถิติคร่าชีวิตคนจาก 10,000 คนต่อปีให้มากขึ้นได้ 8. พยาธิไส้เดือน อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไข้สมองอักเสบคือ เจ้าพยาธิไส้เดือนนี่ล่ะ โดยจากสถิติแล้ว สัตว์ตัวเล็ก ๆ นี้คร่าคนไปกว่า 2,500 คนทั่วโลกเลยทีเดียว 9. พยาธิตัวตืด พาหะนำโรคพยาธิตัวตืด ที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกมาไม่ต่ำกว่า 2,000 คนต่อปี 10. จระเข้ สัตว์ดุร้ายที่เราเข้าใจกันมา จริง ๆ แล้วมีสถิติคร่าชีวิตมนุษย์เพียง 1,000 คนต่อปี ทิ้งห่างสัตว์ตัวเล็ก ๆ อย่างยุงมาไกลโข 11. ฮิปโปโปเตมัส แม้จะเป็นสัตว์ที่เราเห็นในสวนสัตว์ แต่ฮิปโปโปเตมัสก็แฝงอันตรายมากพอจะคร่าชีวิตมนุษย์ได้กว่า 500 คนต่อปี 12. ช้าง ด้วยความที่ช้างอยู่ในป่าเขาเป็นส่วนใหญ่ สถิติทำร้ายมนุษย์จนถึงขั้นเสียชีวิตจึงอยู่ที่ 100 คนต่อปีเท่านั้น 13. สิงโต เหตุผลเดียวกันกับช้างป่า สิงโตก็ทำร้ายมนุษย์ปีละ 100 คนโดยเฉลี่ยเช่นกัน 14. หมาป่า สถิติความร้ายกาจของหมาป่าอยู่ที่คร่าชีวิตมนุษย์ไปปีละ 10 คนโดยเฉลี่ย ซึ่งอาจเป็นเพราะหมาป่าไม่ใช่สัตว์ที่อยู่ใกล้ตัวเรานัก 15. ฉลาม วายร้ายอย่างฉลามตามสถิติแล้วถูกจัดอันดับไว้ที่ 15 ด้วยสถิติคร่าชีวิตมนุษย์ 10 คนต่อปี จะเห็นได้ชัดเลยว่า สัตว์มีพิษหรือสัตว์ที่เป็นพาหะนำโรคร้ายที่คร่าชีวิตมนุษย์ได้จะเป็นสัตว์ขนาดเล็ก อยู่ใกล้ ๆ หรือรอบตัวเรา ซึ่งก็เป็นช่องโหว่ที่ทำให้เราลืมระมัดระวังตัวเองจากวายร้ายเหล่านี้ิ จนเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อชีวิตให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ Z NEWS Articles of Health Care PLOS MEDICINE Nature CrocBITE ขอบคุณข้อมูลจาก : https://health.kapook.com/view2522.html
5 เทคนิค ยิ่งกินยิ่งผอม
5 เทคนิค ยิ่งกินยิ่งผอม การลดน้ำหนักที่ดีและได้ผลคือการลดที่ปริมาณไขมันสะสมในร่างกาย โดยมีวิธีการหลักๆอยู่ 2 วิธี คือ ควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย โดยสองหลักการนี้จะทำงานกันเป็นทีม การควบคุมอาหารจะช่วยให้เราได้รับพลังงานและสารอาหารอย่างพอเหมาะ และการออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เสริมสร้างกล้ามเนื้อ ช่วยเพิ่มการเผาพลาญพลังงาน และช่วยในการควบคุมน้ำหนักจึงขาดสิ่งใดสิ่งนึงไปไม่ได้ แต่ถ้าหากเรามีเวลาจำกัดไม่สามารถจัดสรรเวลาให้ไปออกกำลังกายได้บ่อยๆ ทางออกคือการควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด แต่ใช่ว่าจะไม่ออกกำลังกายเลย เพราะอย่างที่กล่าวไป การจะได้รับผลดีที่สุดก็คือ ลดน้ำหนักลงได้ และไม่กลับมาอ้วนอีก ซึ่งต้องอาศัยการปฏิบัติทั้งสองอย่างคู่กัน เมื่อเราควบคุมอาหารดีแล้ว เราก็ไม่จะเป็นต้องหักโหมออกกำลังกายแบบบ้าคลั่ง แถมยังมีแรงเหลือไปออกกำลังกายได้อย่างชิลๆ ไม่ทำลายสุขภาพและมีรูปร่างสมส่วนไม่เหี่ยวไม่ย้วยอีกด้วย ควบคุมไม่ใช่การอดอาหาร หลายคนได้ยินเรื่องการควบคุมอาหารแล้วพลันนึกไปว่า จะต้องอดนั่นอดนี่ ต้องงดมื้อเย็น ต้องกินน้อยๆ ซึ่งในความเป็นจริง หลักการในการควบคุมอาหารที่ถูกต้องคือ ควบคุมปริมาณและสารให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งาน กิจกรรมต่างๆในแต่ละวัน ชนิดการออกกำลังกาย โดยคำนวนจากค่า BMR และ TDEE หรือใช้การคำนวนสารอาหารทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ตามน้ำหนักตัว เรียกง่ายๆว่าใช้เท่าไหร่ ทานเท่านั้น เพื่อไม่ให้พลังงานส่วนเกินเหลือเก็บสะสมเป็นไขมัน และควรเลือกด้วยว่าจะทานอาหารชนิดใดบ้าง เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ ใช่ว่าจะคุมแต่แคลอรี่อย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึงทั้งสองส่วนที่กล่าวไปด้วย ซึ่งเมื่อรู้หลักการแล้ว เราไม่จะเป็นต้องอดหรืองดอาหารเลย เรียกได้ว่า ยิ่งกินยิ่งผอมเลยทีเดียว โดยเทคนิคในการเลือกอาหาร 5 ข้อหลักๆดังนี้ กฏข้อที่ 1 หลีกเลี่ยงอาหารขาวๆ อาหารขาวๆในที่นี้โดยมากจะเป็นอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล หรืออาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตเป็นหลัก ซึ่งอาหารกลุ่มนี้เป็นแหล่งพลังงานต้นในการดำรงค์ชีวิตและการทำกิจกรรมต่างๆ จะให้พลังงานสูง และทำให้เกิดกระบวนการสะสมไขมันได้ถ้าหากทานมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องใช้ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ทานเลย เนื่องจากคนที่งดอาหารประเภทแป้งไปเลย หากออกกำลังกายหรือใช้แรงเยอะๆก็อาจทำให้เกิดการสูญเสียกล้ามเนื้อได้เช่นกัน เมื่อกล้ามเนื้อน้อย ก็เผาผลาญน้อย เกิดโยโย่เอฟเฟคได้ง่าย เราควรเลือกทานคาร์โบไฮเดรตกลุ่มเชิงซ้อนเป็นหลัก อย่างข้าวซ้อมมือ มันเทศ ธัญพืช และถั่วต่างๆ และหลีกเลี่ยงคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว ที่ประกอบด้วย แป้งสีขาวๆ อย่าง ข้าวขาว ขนมปังขาว น้ำตาลทรายขาว เส้นพาสต้า มันฝรั่ง นอกจากนี้ยังมีอาหารสีขาวในกลุ่มของโปรตีน อย่าง ซีส และ เนย ก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน อาหารสีขาวที่ดีๆมีประโยชน์ก็มีมากมาย และแนะนำให้รับประทานในช่วงการลดน้ำหนักคือ กลุ่มผักอย่าง ดอกกะหล่ำปลี หัวไชเท้า กะหล่ำปลี กลุ่มเนื้อสัตว์ได้แก่ เนื้อปลา ไข่ขาว อก,สันในไก่ และ นม เป็นต้น กฏข้อที่ 2 จัดสัดส่วน แบ่งมื้อเล็ก ทานบ่อยๆ เทคนิคอีกอย่างของการลดน้ำหนักคือ การเฉลี่ยพลังงานที่ได้จากอาหารออกเป็นครั้งย่อยๆ ข้อดีของการแบ่งอาหารออกเป็นมื้อเล็กๆย่อยๆ จะช่วยให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นการช่วยกระตุ้นการเผาผลาญให้ร่างกายอีกด้วย โดยมากจะแนะนำให้แบ่งมื้ออาหารออกเป็น 5-6 มื้อ สำหรับคนที่ไม่มีเวลาอาจย่อยเป็น 4 มื้อก็ได้ตามความเหมาะสมกับตารางชีวิตขอตนเอง โดยเฉลี่ยความห่างของแต่ละมื้อประมาณ 3 ชม และจัดสัดส่วนของอาหารโดยให้มื้อหลักอย่าง มื้อเช้า มื้อเที่ยง และมื้อเย็นประกอบด้วย อาหารประเภทข้าวแป้ง 1 ส่วน ผักใบเขียว 2 ส่วน และเนื้อสัตว์ 1 ส่วน สำหรับมื้อที่เหลือเป็นของว่างระหว่างมื้อโดยให้ทานอาหารกลุ่มที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนกับโปรตีน มื้ออาหารที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือ มื้อเช้าและมื้อเย็น(หลังออกกำลังกาย) สำหรับมื้อเช้าที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นมื้ออาหารมื้อแรกของวัน ควรทานให้ครบหมู่เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่ดีมีประโยชน์และมีพลังงานเพียงพอต่อความต้องการ เพื่อใช้เป็นพลังงานในระหว่างวัน ส่วนมื้อเย็นที่เป็นมื้อหลังการออกกำลังกาย จะเป็นสารอาหารที่ชดเชยและช่วยซ่อมแซมร่างกายที่ถูกใช้งานไปในระหว่างวันและในการออกกำลังกาย ซึ่งมื้อหลังออกกำลังกายนี้อาจลดในส่วนของข้าว แป้งลง แต่เน้นในส่วนของ ผัก และโปรตีนเป็นหลัก เพื่อไม่ให้เหลือเป็นพลังงานในช่วงที่ร่างกายลดการเผาผลาญลงขณะที่นอนหลับนั่นเอง กฏข้อที่ 3 งดดื่มเครื่องดื่มที่ให้พลังงาน เครื่องดื่มที่ให้พลังงานส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของน้ำตาลอยู่ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลที่เติมเพื่อแต่งรสชาติ หรือน้ำตาลที่มีอยู่ตามธรรมชาติ หรือแม้แต่เครื่องดื่มที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล เพราะเครื่องดื่มประเภท 0 แคลอรี่ จะทำให้ร่างกายเคยชินกับความหวาน และอาจทำให้ร่างกายลดการดึงพลังงานจากไขมันมาใช้ได้ ดั้งนั้นเพื่อให้ลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้น ตัวเลือกที่ดีที่สุดคือ น้ำเปล่า ส่วนเครื่องดื่มที่ควรงดได้แก่ เครื่องดื่มหวานๆ น้ำผลไม้ น้ำอัดลม เครื่องดื่มปั่น และ เครื่องดื่มพวกผสมเกลือแร่ กฏข้อที่ 4 น้ำเปล่าตัวช่วยผอม น้ำเป็นสิ่งสำคัญมากในการดำรงค์ชีวิต ความเชื่อที่ว่าดื่มน้ำมากๆแล้วจะทำให้บวมน้ำเป็นความเชื่อที่ผิด ไม่เป็นความจริง ในทางกลับกันการดื่มน้ำมากๆจะทำให้ร่างกายได้น้ำอย่างเพียงพอ และลดการกักเก็บน้ำไว้ในร่างกาย ยิ่งในช่วงของการลดน้ำหนักควรดื่มน้ำมากๆ เพราะน้ำจะช่วยให้ร่างกายสดชื่น ทำให้รู้สึกอิ่ม และยังช่วยลดความอยากทานของหวานๆได้ นอกจากนี้การดื่มน้ำเย็นๆใส่น้ำแข็ง 1 แก้วจะทำให้การเผาผลาญพลังานเพิ่มขึ้น 1 kcal เนื่องจากร่างกายต้องปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้นเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น หรือ แม้แต่เทคนิคการดื่มน้ำแก้วใหญ่ๆ 2 แก้วก่อนมื้ออาหาร พร้อมควบคุมพลังงานรวมของอาหารในแต่ละวัน จะช่วยการลดน้ำหนักทำได้ง่ายขึ้นและทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย กฏข้อที่ 5 เหนื่อยทั้งสัปดาห์ มีมื้อปล่อยผีซักมื้อจะเป็นไร ร่างกายต้องการการพักผ่อน การทำอะไรเดิมๆซ้ำๆจะทำให้เกิดความเครียด การควบคุมอาหารก็เช่นกัน เมื่อตลอดสัปดาห์เคร่งเครียดกับการควบคุมพลังงานและสารอาหาร ควรหาเวลาให้ร่างกายและจิตใจได้พัก ทานสิ่งที่อยากทาน ในปริมาณที่พอเหมาะ กับมื้อ Cheat meal ซักมื้อ นอกจากช่วยลดความเครียดแล้ว มื้อปล่อยผีนี้ยังช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานที่ลดต่ำลงจากการไดเอตให้เพิ่มขึ้น และแถมเป็นกำลังใจให้มีแรงตั้งใจปฏิบัติการไดเอตอย่างเคร่งครัดในสัปดาห์ต่อๆไปได้ แต่จำไว้เสมอว่า Cheat meal แต่ละครั้งก็มีผลกระทบกับการลดน้ำหนักในสัปดาห์ต่อๆไปเช่นกัน จึงควรกะปริมาณให้พอเหมาะ และควบคุมให้ไม่เกิน 2 มื้อต่อสัปดาห์ เทคนิคยิ่งกินยิ่งผอมนี้จะได้ผลมากถ้าทำร่วมกับการออกกำลังกาย และการพักผ่อนที่เพียงพอ เรียบเรียง: lovefitt.com Credit: gymjunkies.com ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.lovefitt.com/tips-tricks/5-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84-%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%AD%E0%B8%A1/
15 วิธีประหยัดพลังงาน ภายในบ้าน อย่างชาญฉลาด
[gallery size="large" columns="1" ids="28042"] พลังงานแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ พลังงานที่ใช้แล้วหมด หรือพลังงานสิ้นเปลืองนั่นเอง เช่น น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ส่วนอีกชนิดเป็นพลังงานที่ใช้ไม่หมด หรือพลังงานหมุนเวียน เช่น น้ำ แสงอาทิตย์ มวลชีวภาพ เป็นต้น ปัจจุบันนี้ บ้านเมืองมีความทันสมัยมากขึ้น การพัฒนาทางเทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้พวกเราได้รับความสะดวกสบายไม่ว่า การเดินทาง การค้นหาข้อมูล การติดต่อสื่อสาร หรือวิถีการดำเนินชีวิต ต่างก็พึ่งพาทรัพยากรทางธรรมชาติและพลังงานที่มนุษย์สร้างขึ้น เมื่อความเจริญเข้าถึงทุกคนต่างก็พากันใช้พลังงานกันอย่างสิ้นเปลือง ซึ่งพลังงานและทรัพยากรบางอย่างที่ใช้ไปก็ไม่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้อีก ดังนั้น พวกเราควรประหยัดพลังงานและใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่ามากที่สุด โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้ามีความจำเป็นกับพวกเรามากทั้งเวลาตื่นนอนและเวลานอน พวกเรามักใช้กันอย่างสิ้นเปลืองบางทีเราก็ไม่รู้ตัว เราจึงมีวิธีประหยัดพลังงานไฟฟ้าภายในบ้าน โรงเรียน หรือสำนักงานที่ใครๆ ก็สามารถปฏิบัติได้มาฝากกันค่ะ วิธีประหยัดพลังงานอย่างชาญฉลาด เริ่มจากการปิดไฟในห้องที่ไม่มีคนอยู่ และปิดปลั๊กไฟเมื่อเลิกใช้งาน ปฏิบัติจนเป็นนิสัยเมื่อออกจากห้องให้ปิดไฟทุกครั้ง สำหรับการใช้เครื่องปรับอากาศ ควรเปิดแอร์ที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส ถ้ารู้สึกว่าอากาศในห้องร้อน ให้เปิดพัดลมช่วยระบายอากาศแทนการเร่งแอร์ให้ต่ำสุด ในหน้าหนาวหรือช่วงฝนตก วันนั้นอากาศจะไม่ร้อนมาก เราอาจงดเปิดแอร์แล้วหันมาเปิดพัดลม หรือหน้าต่างทิ้งไว้ก็จะได้บรรยากาศไปอีกแบบ แถมยังช่วยประหยัดค่าไฟไปได้เยอะมากอีกด้วย งดใช้เครื่องทำน้ำอุ่น แล้วหันมาอาบน้ำเย็นบ้าง การอาบน้ำเย็นจะทำให้คุณรู้สึกชดชื่น แล้วยังช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื้นมากขึ้น ถ้าปริมาณผ้าไม่มากให้ซักมือแทนใช้เครื่องซักผ้า หากต้องซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้า ควรซักด้วยน้ำปกติ เพราะมีบางรุ่นให้เราเลือกใช้น้ำอุ่นหรือน้ำร้อนเพื่อที่จะได้ผ้าสะอาดไร้สิ่งตกค้าง ถ้าเสื้อผ้าของเราไม่ได้สกปรกอะไรมากมาย เราใช้แค่น้ำธรรมดาซักก็เพียงพอแล้ว ปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์เมื่อไม่ได้ใช้งาน หากกลัวลืมให้ตั้งเวลาปิดอัตโนมัติก็ได้ เช่น เมื่อไม่ใช้งานเกิน 10 นาทีหน้าจอก็จะดับลง ติดม่านกันแสงแดด นอกจากจะช่วยลดค่าไฟแล้ว ยังช่วยให้เครื่องปรับอากาศทำงานไม่หนักเกินไป ความเย็นภายในบ้านยังถูกเก็บสะสมเอาไว้ไม่ได้ร้อนมากจนเกินไปด้วย หากอยู่ในห้องคนเดียวให้เปิดโคมไฟเล็กๆ แทนการเปิดไฟทั้งห้อง ปิดประตูตู้เย็นให้สนิท ไม่ควรเปิดตู้เย็นค้างไว้นานหรือเปิดบ่อยๆ แล้วห้ามนำของร้อนใส่ตู้เย็น เพราะจะทำให้ตู้เย็นทำงานหนักขึ้น เวลารีดผ้าให้รีดทีเดียวไม่ควรดึงปลั๊กเข้าออกบ่อยๆ และให้รีดทีละหลายๆ ตัว แล้วไม่ควรพรมน้ำมากจนผ้าแฉะ ทำให้ใช้ความร้อนและเสียค่าไฟมากขึ้น อย่าเสียบปลั๊กหม้อข้าวทิ้งไว้ และถอดปลั๊กกาต้มน้ำเมื่อน้ำเดือดทันที นอกจากประหยัดไฟแล้วยังช่วยป้องกันการเกิดไฟไหม้ได้อีกด้วย หลังสระผมให้ใช้ผ้าขนหนูซับน้ำให้หมาด เป่าผมด้วยพัดลมแทนไดร์เป่าผม จะช่วยประหยัดไฟแล้วยังช่วยให้ผมไม่เสียด้วยนะ หมั่นตรวจเช็คอุปกรณ์ไฟฟ้าและสายไฟภายในบ้านเป็นประจำ นอกจากช่วยประหยัดไฟแล้วยังป้องกันการเกิดอัคคีภัยได้ หากชำรุดมาอาจจะไม่ได้เสียหายแค่เครื่องใช้ไฟฟ้า แต่คุณอาจจะเสียบ้านไปทั้งหลังเลยก็ได้ เราควรทำความสะอาดเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างน้อยปีละครั้งและบำรุงรักษาเป็นประจำ หากปล่อยให้ฝุ่นเกาะหนา จะทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานหนักขึ้น เช่น ใบพัดลม แผ่นกรองเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น ถ้าเป็นตู้เย็นให้กดละลายน้ำแข็ง การปลูกต้นไม้รอบๆ บริเวณบ้านก็ช่วยสร้างร่มเงาในบ้านได้เป็นอย่างดี ต้นไม้ใหญ่จะช่วยไม่ให้แสงแดดเข้าสู่ตัวบ้านมากเกินไป และการทาสีบ้านอ่อน ๆ ก็ช่วยประหยัดพลังงานได้เหมือนกัน สีอ่อนๆจะช่วยลดการสะท้อนของแสงได้มาก และยิ่งทาภายในตัวบ้านจะช่วยให้บ้านสว่างแบบไม่ต้องเปิดไฟทั้งบ้านได้อีกด้วย สำหรับวิธีประหยัดพลังงานง่ายๆ เหล่านี้ อยากให้ทุกคนได้ลองนำไปปฏิบัติและปรับใช้กันตามความสะดวก เพื่อโลกของเราจะได้มีพื้นที่สีเขียวมากขึ้น และเงินในกระเป๋าของคุณจะไม่พร่องไปกับค่าไฟอีกด้วย ไปทำตามกันเลยค่ะ ขอบคุณข้อมูลจาก = URL : https://www.klangpanya.com/วิธีประหยัดพลังงาน
ไม่ง่วงก็หลับได้! เผยเคล็ดลับง่ายๆ ช่วยให้คนหลับยาก หลับได้ภายใน60วินาที!
หลายคนพยายามตามหาวิธีในการนอนหลับให้สบาย และยาวนานมากที่สุด แต่กว่าจะข่มตาหลับได้ก็อาจจะกินเวลาไปนานหลายชั่วโมง ทำให้ไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ ใครที่กำลังเผชิญปัญหาเช่นนี้อยู่ เรามีวิธีเด็ดๆที่จะช่วยให้การนอนหลับของคุณในคืนนี้เป็นการนอนหลับฝันดี แบบไม่ต้องเสียเวลานับแกะเลยสักตัว เพราะใช้เวลาแค่ 1 นาที คุณก็หลับปุ๋ยแล้ว เทคนิคที่สำคัญในที่นี้ ก็คือ “การหายใจ” เพื่อให้หลับเร็วนี้ ซึ่งมีชื่อเรียกว่า “เทคนิคหายใจแบบ 4-7-8” คิดค้นโดย ดร. แอนดรูว์ วิลล์ จากอริโซน่า ซึ่งอาศัยวิธีการหายใจแบบเดียวกับการเล่นโยคะมาเป็นต้นแบบ วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่าย สามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์ใดใดทั้งสิ้น….น่าสนใจมากใช่มั๊ยค่ะ ถ้าสนใจมาดูกันเลย ดร. แอนดรูว์ วิลล์ อ้างว่า เทคนิคหายใจแบบ 4-7-8 จะช่วยให้เราหลับภายในเวลา 60 วินาที โดยมีหลักการ คือ การปล่อยวางระบบประสาทให้อยู่ในภาวะสงบโดยธรรมชาติ ซึ่งก็คือ การผ่อนคลายความเครียด และ คลายสภาวะตึงของร่างกาย มีวิธีการดังนี้ ... วิธีการมีดังนี้ กระดกปลายลิ้นขึ้นแตะเพดานปากให้อยู่ในระดับเหนือฟัน และวางปลายลิ้นอยู่ในตำแหน่งนั้นตลอด ผ่อนลมหายใจผ่านช่องปากให้เต็มที่ จนเกิดเสียง “วู้ส์!!!!” ปิดริมฝีปากแล้วหายใจเข้าอย่างเงียบๆ ช้าๆ ผ่านรูจมูกแล้วนับ 1 – 4 กลั้นลมหายใจแล้วนับ 1 – 7 จากนั้นผ่อนลมหายใจผ่านช่องปากให้เต็มที่ จนเกิดเสียง “วู้ส์!!!!” โดยนับในใจไป 1 – 8 จากนั้นปิดริมฝีปากแล้วหายใจเข้าอย่างเงียบๆ ช้าๆ ผ่านรูจมูกแล้วนับ 1 – 4 ทำขั้นตอนที่ 4 – 6 แบบนี้วนไปอีก 3 ครั้ง หมายเหตุ : ทุกลมหายใจเข้าจะต้องหายใจผ่านทางรูจมูกอย่างเงียบที่สุด และ ทุกลมหายใจออก จะต้องมีเสียงดัง โดยผ่อนลมหายใจผ่านช่องปาก ข้อดีของเทคนิคการหายใจแบบนี้ คือ 1. ช่วยให้ร่างกายของเราได้รับออกซิเจนในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะช่วยผ่อนคลายระบบประสาทให้คลายความตึงเครียด และยังฝึกสมาธิ ช่วยให้เราสงบขึ้น 2. ช่วยปรับสมดุลระบบการทำงานของประสาท ที่ถูกกระตุ้นให้เคร่งเครียดมาทั้งวัน 3. ช่วยให้คุณเชื่อมต่อลมหายใจกับร่างกายของคุณให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และช่วยดึงคุณออกจากความคิดที่หมกมุ่นอยู่ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณนอนไม่หลับนั่นเอง ใครหลับยากก็คงจะหลับง่ายมากขึ้นถ้าได้ลองเอาวิธีการนี้ไปใช้ดู แล้วการนอนหลับของคุณจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปค่ะ ขอบคุณข้อมูลจาก : khaoraywan.info
เล่น Social Network ให้ปลอดภัย “รู้” ไว้เลี่ยงอันตราย
เล่น Social Network ให้ปลอดภัย “รู้” ไว้เลี่ยงอันตราย แม้ Social Network จะมีข้อดีต่างๆ อยู่มากมาย แต่เราก็จะต้องใช้งานอย่างระมัดระวังด้วยเช่นกัน ทุกวันนี้ วิธีการสื่อสารของเรานั้นดูเหมือนจะไม่ใช้การโทรศัพท์หากันอีกต่อไป แต่กลายเป็นการส่งข้อความผ่านทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือที่เรียกว่า Social Network นั่นเอง ซึ่งแนวโน้มความนิยมใช้ Social Network ทำให้เห็นว่าสิ่งนี้จะกลายเป็นสื่อหลักในการสื่อสารอย่างแน่นอน เรียกว่าเป็น “ยุคของการแพร่หลายทางสังคมออนไลน์ (Social Ubiquity)” ดังจะเห็นจากรายงานผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตประเทศไทยปี 2556 ของ ETDA พบว่า มีผู้ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ถึงร้อยละ 93.8 จากจำนวนคนที่ทำการสำรวจ ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนที่สูงมาก Social Network มีข้อดีมากมาย โดยเฉพาะในการแสดงออกทางความคิด และกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งการรับรู้ข้อมูลจากผู้อื่น ด้านธุรกิจอีคอมเมิร์ซก็เช่นกัน Social Network ทำให้ผู้ขายได้ประชาสัมพันธ์สินค้าง่ายขึ้น ผู้ซื้อก็มีโอกาสเข้าถึงสินค้าได้ง่ายเช่นกัน แต่การที่ผู้ใช้งาน Social Network มีโอกาสเผยแพร่ข้อมูลได้ง่าย รวมทั้งทุกคนสามารถใช้งานได้ ก็ทำให้ข้อมูลใน Social Network อาจจะเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง อีกทั้งมีโอกาสที่จะสูญเสียความเป็นส่วนตัวไปได้ ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่เสมอไปที่เราจะเจอกับปัญหาต่างๆ ใน Social Network แต่การรู้ทันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้นั้น ก็เป็นการดีที่เราจะได้ป้องกันและระวังภัยต่างๆ ได้ ดังนี้ 1. คิดให้รอบคอบก่อนโพสต์ข้อมูลใดๆ เพราะอย่าลืมว่าข้อมูลเหล่านี้จะเปิดเผยให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโพสต์ข้อมูลที่สุ่มเสี่ยงก็อาจจะส่งผลร้ายต่อตัวเราเองก็เป็นได้ 2. ใช้ความระมัดระวังในการคลิกลิงก์ต่างๆ ที่มากับการแชร์หรือข้อความ หลีกเลี่ยงลิงก์แปลกปลอม หรือมาจากคนที่ไม่รู้จัก หรือแม้แต่เพื่อนซึ่งใช้ภาษาในการสื่อสารที่ดูแปลกไปจากปกติ เพราะอาจเป็นลิงก์ที่นำไปสู่ไวรัสหรือช่องทางขโมยข้อมูลของเหล่าแฮกเกอร์ 3. พิมพ์ที่อยู่ URL ของเว็บไซด์โซเชียลเน็ตเวิร์กนั้นๆ โดยตรง โดยบนเบราว์เซอร์ให้หลีกเลี่ยงการเข้าเครือข่ายทางสังคมผ่านทางคลิกลิงก์จากผลแสดงการค้นหา หรือจากอีเมล เพราะอาจเป็น URL ปลอมที่นำเราไปยังเว็บไซต์ปลอม เพื่อหลอกเอาบัญชีผู้ใช้และ Password ได้ เช่น www.facebook.com อาจมี URL หลอกเป็น www.faeebook.com เป็นต้น 4. คัดกรองคนที่ขอเป็นเพื่อน หรือขอเชื่อมโยงกับเครือข่ายสังคมออนไลน์ของเรา หลีกเลี่ยงการตอบรับคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน เพราะผู้ไม่หวังดีอาจแฝงมากับคนที่ขอเข้ามาเป็นเพื่อนเรา และหากพบคนที่เป็นเพื่อนซึ่งเราไม่รู้จักและน่าสงสัยก็ควรลบออกไป 5. ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว ผู้ให้บริการแต่ละรายจะกำหนดการตั้งค่าส่วนตัวไว้เพื่อไม่ให้ข้อมูล หรือสิ่งที่เราทำ หลุดออกไปยังคนที่ไม่พึงประสงค์ ดังนั้น เราควรตั้งค่าให้เพื่อนเท่านั้นที่เห็นกิจกรรมของเรา และหลีกเลี่ยงการตั้งค่าสิ่งที่เราทำให้เป็นสาธารณะ หรือคนทั่วไปเห็นได้ 6. ไม่แสดงข้อมูลส่วนตัวที่เป็นความลับ เช่น บัตรประจำตัวประชาชน บัตรเครดิตลงในโซเชียลเน็ตเวิร์ก ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบข้อความ หรือรูปภาพ เพราะแฮกเกอร์และผู้ไม่หวังดีสามารถแฝงตัวมากับกลุ่มเพื่อนที่เราอนุญาตให้เข้าชมได้ 7. เปิดใช้งาน Do Not Track เพื่อป้องกันการติดตามและการเก็บข้อมูลของผู้ให้บริการ ซึ่งอาจรวมไปถึงผู้ไม่หวังดีที่ลักลอบเข้ามาขโมยข้อมูลด้วย ซึ่งปัจจุบันมีเว็บเบราว์เซอร์ที่เปิดใช้งาน Do Not Track ได้แล้ว เช่น Internet Explorer 10 8. ใช้วิจารณญาณอย่างสูงในการรับข่าวสาร และอย่าปักใจเชื่อข้อมูลที่เผยแพร่เข้ามาในทันที รวมทั้งการกล่าวอ้างถึงแหล่งที่มาของข้อมูลนั้นๆ เพราะอาจมีการสวมรอย หรือสมอ้างจากผู้ไม่หวังดีเพื่อสร้างข่าว หรือสร้างความเสื่อมเสียต่อแหล่งที่มานั้นได้ 9. ดูแลและควบคุมการใช้งานของบุตรหลานอย่างใกล้ชิด สอนให้เด็กรู้จักวิเคราะห์ข้อมูล และรู้จักเล่นอย่างถูกวิธี เพราะความรู้ในโซเชียลเน็ตเวิร์กก็มีอยู่มากมาย และปัจจุบันครูอาจารย์ก็ทันสมัยจนแจ้งเรื่องต่างๆ แก่ลูกศิษย์ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น Facebook หรือ Twitter กันแล้ว นอกจากนี้ อาจหาเครื่องมือในการควบคุมการใช้งานของบุตรหลายได้ เช่น โปรแกรม Windows Live Family Safety ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ไมโครซอฟต์เปิดให้ใช้งานได้ฟรีๆ นอกจากจะใช้ควบคุมการเข้าถึงเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมได้แล้ว ยังสามารถกำหนดช่วงเวลาในการใช้คอมพิวเตอร์ และป้องกันการใช้โปรแกรม หรือเล่นเกมที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ได้รับอนุญาตได้อีกด้วย 10. ตระหนักว่ามันเป็นสังคมเสรี แม้ว่าทุกคนจะมีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็น แต่ทุกคำพูดและการกระทำที่ไม่เหมาะสมก็สามารถเป็นเหตุในการฟ้องร้องได้ และศาลก็อาจจะรับฟังคำร้องด้วย การหลบหลีกภัย Social Network คงไม่ใช่การเลิกใช้งานไปเลย เพราะยังมีประโยชน์ดีๆ อีกมากมายในเครือข่ายสังคมออนไลน์นี้ แต่ถ้ารู้จักใช้อย่างระมัดระวังก็จะช่วยให้เราสามารถสนุกสนานกับสังคมออนไลน์อย่างมั่นใจมากขึ้น อย่างไรก็ตาม แนวทางปฏิบัติเหล่านี้ก็อาจมีขั้นตอนที่แตกต่างกันไปตามแต่ละ Social Network ที่เราสามารถศึกษาได้จากคำแนะนำบนเว็บไซต์เหล่านั้น ที่มา : https://www.etda.or.th/content/social-network-security.html
ชวนทำ ดอกไม้จันทน์ถวายพระเพลิงพระบรมศพ พ่อหลวง ร.9
ขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมทำดอกไม้จันทน์ เพื่อถวายแด่พ่อหลวงของพวกเราในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพกันนะคะ ดอกกุหลาบ เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของดอกไม้จันทน์ที่เราสามารถทำมาประดิษฐ์เพื่อถวายแด่พระราชาของพวกเราได้ เพราะนอกจากดอกกุหลาบจะสวยนิรันดร์แล้ว ยังมีความหมายดีๆ ที่แม้จะเป็นดอกกุหลาบปกติ หรือเมื่อนำมาทำเป็นดอกไม้จันทน์ ก็ยังคงความหมายที่เป็นตัวแทนของการแสดงความรักได้เป็นอย่างดี ดอกกุหลาบปกติที่เรามักนำมาให้กันในวันแห่งความรัก หรือในวันพิเศษนั้น เป็นการแสดงออกถึงความรัก ความผูกพันธ์ ความปรารถนา ความรู้สึกดีๆ ให้กัน แต่ละสีก็จะแสดงถึงความรักในแต่ละรูปแบบ ซึ่งการทำดอกไม้จันทน์เป็นรูปแบบของดอกกุหลาบก็เป็นการให้ความรักเช่นกัน ยิ่งเป็นการถวายแด่ในหลวง ร.๙ ก็เปรียบเสมือนเป็นการแสดงความรักที่บริสุทธ์ ความจงรักภักดีของเราประชาชนคนไทย ที่แม้พระองค์จะไม่อยู่บนพื้นดินแล้ว แต่เราก็ยังจะระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพ่อหลวงตลอดไป และเป็นการถวายความอาลัยเป็นครั้งสุดท้ายต่อท่านผู้ทรงเป็นประมุขอันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย เรามาดูวิธีการทำเป็นขั้นตอนกันเลยค่ะ อุปกรณ์ที่ต้องใช้ 1. กลีบอัดสำเร็จรูป (ทรงสี่เหลี่ยม) 2. กรรไกร 3. กาวลาเท็กซ์ 4. ด้าย 5. กระดาษย่นสีดำ 6. รูปและเทียน 7. ไม้ก้านเล็ก วิธีการทำ 1. เตรียมกลีบดอก 1.1 เตรียมกลีบดอกด้วยการนำกลีบอัดแต่ละชิ้นมาม้วนปลาย โดยการใช้ก้านไม้มารีดด้านข้างให้งุ้มเข้าหากันทั้งสองด้าน ทำกลีบแบบนี้ทั้งหมดจำนวน 7 กลีบ 1.2 ทำดอกส่วนในสุดด้วยกลีบม้วนจำนวนสองกลีบ โดยนำกลีบแรกมาทากาวที่ด้านหลังส่วนโคน เพื่อนำกลีบที่สองมาซ้อนทับในแนวนอน ทากาวในจุดเดิมของกลีบที่สอง จากนั้นใช้ไม้ก้านเล็ก (นำมาทำเป็นเกสร) วางเริ่มที่ริมดอก แล้วม้วนเข้าหาตัวให้แน่น ม้วนเข้ามาเรื่อยๆ จนเข้าสู่กลีบแรก ให้นำริมกลีบอีกด้านของกลีบแรกมาทบกับก้านที่ม้วนเข้ามา ขยุ้มปลาย แล้วมัดด้ายให้แน่น จากตรงนี้เราจะได้กลีบดอกเกสรส่วนในสุดแล้วค่ะ 2. ทำกลีบดอกส่วนที่เหลือ 2.1 ใช้ 5 กลีบที่เหลือ ทำเหมือนกับ 2 กลีบด้านบน ด้วยทำทากาวที่โคนกลีบด้านหลังของแต่ละกลีบ แล้วนำมาซ้อนกันทีละกลีบ จนเรียงได้เป็นแนวนอนยาว เมื่อทำครบแล้ว นำกลีบด้านใน (1.2) ที่ทำไว้แล้วมาวางทับ โดยการคว่ำดอก วางลงให้อยู่ตรงกลางของกลีบสุดท้าย แล้วแปะต่อกันด้วยโคนกลีบที่ทากาวไว้ แล้วม้วนเข้ามาทีละกลีบ ในขณะที่ม้วนไปถึงแต่ละกลีบ ให้จับจีบตรงโคนของแต่ละกลีบไปด้วย เพื่อให้ด้านบนกลีบดอกนั้นบานเล็กน้อย เมื่อหมุนมาจนครบแล้วก็แต่งกลีบให้สวยงาม มัดด้ายเก็บงาน 2.2 นำหนวดจันทร์มาพับครึ่งเป็นตัว V (แบบเดิม) แล้วนำมาวางซ้อนด้านหลังของดอก มัดด้ายเก็บ 3. เมื่อมัดจนแน่นแล้ว ตัดด้ายออก ทากาวแล้วจึงนำกระดาษย่นสีดำมาพันที่ก้านดอก เพื่อเป็นการปิดด้ายให้เรียบร้อย พันต่อลงมาเรื่อยๆ ใส่เทียนขนาดเล็กที่ก้าน แล้วพันกระดาษ 1 รอบ จากนั้นใส่ธูปเพิ่ม แล้วพันกระดาษต่อ จากนั้นติดกาวที่ปลายตอนจบ พันกระดาษให้แน่น เสร็จเรียบร้อยแล้วจ้า สำหรับดอกกุหลาบอาจมีหน้าตาที่ดูทำยาก แต่ขั้นตอนสั้นและง่ายกว่าที่คิดมากๆ ลองทำกันดูด้วยนะจ๊ะ แหล่งที่มา : http://www.younghappy.org/rose/
สุขเทียม เสี่ยงอันตราย !!
ความสุขเทียมๆ แต่เสี่ยงอันตรายกับยาแผนโบราณหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มักมีสรรพคุณอ้างช่วยรักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ แต่ใส่ "ซิลเดนาฟิล" ที่เมื่อทานเข้าไปอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ อยากมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และขยันออกกำลังกายบ่อยๆ สุขภาพดีขึ้นแน่นอน !! แหล่งข้อมูล : https://oryor.com/oryor2015/print-detail.php?cat=44&id=985