-
สาระน่ารู้
หน้าแรก
สาระน่ารู้
พบข้อมูลจำนวน 121 รายการ แสดงผลอยู่ที่ 6/11 หน้า
จัดซื้อจัดจ้าง
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2568 งวดที่ 1 เดือนตุลาคม - ธันวาคม 2567
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2567 งวดที่ 2 เดือนเมษายน - มิถุนายน 2567
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2567 งวดที่ 3 เดือนกรกฏาคม - กันยายน 2567
-
ประกาศเผยแพร่แผนการจัดซื้อจัดจ้าง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 โครงการก่อสร้างอาคารเรียนระดับประถมศึกษาพร้อมปรับภูมิทัศน์ ภายใน
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2566 งวดที่ 1 เดือนตุลาคม 2565 - มีนาคม 2566
ค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์
ปฎิทินกิจกรรม
ท่านคิดว่า อบจ.ระยอง ควรเน้นหนักแก้ไขปัญหาในเรื่องใดเป็นอันดับแรก
- ปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค โหวต
- แก้ไขปัญหายาเสพติด โหวต
- แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โหวต
- แก้ไขปัญหาน้ำท่วม โหวต
- ราคาผลผลิตภาคการเกษตร โหวต
สถิติผู้เข้าชมเว็บไซต์
- กำลังใช้งาน 104 คน
- ผู้เข้าชมวันนี้ 2,333 คน
- ผู้เข้าชมทั้งหมด 20,402,908 คน
แปลภาษา

PM2.5 คืออะไร? อันตรายและการป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก
อากาศที่เราหายใจเข้าไปไม่ใช่อากาศที่บริสุทธิ์ เพราะมีฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่าง PM2.5 รวมถึงเชื้อโรค และสารปนเปื้อนต่างๆ ที่มองไม่เห็นอีกมากมาย ซึ่งโดยปกติแล้วจมูกของเราจะมีขนจมูกที่ช่วยกรองฝุ่นละอองต่างๆ ก่อนเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ทำให้ร่างกายไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ปัจจุบันในประเทศไทยได้เกิดปัญหามลภาวะทางอากาศที่รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง PM2.5 ซึ่งจมูกไม่สามารถกรองฝุ่นนี้ไม่ให้เข้าสู่ร่างกายได้ ทำให้ต้องหาวิธีหลีกเลี่ยงและป้องกัน เพราะอาจส่งเป็นอันตรายและผลเสียต่อสุขภาพร่างกายอย่างมากในภายหลัง PM2.5 คืออะไร? PM2.5 คือ ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน เทียบได้ว่ามีขนาดประมาณ 1 ใน 25 ส่วนของเส้นผ่านศูนย์กลางเส้นผมมนุษย์ เล็กจนขนจมูกของมนุษย์ที่ทำหน้าที่กรองฝุ่นนั้นไม่สามารถกรองได้ จึงแพร่กระจายเข้าสู่ทางเดินหายใจ กระแสเลือด และเข้าสู่อวัยอื่นๆ ในร่างกายได้ ตัวฝุ่นเป็นพาหะนำสารอื่นเข้ามาด้วย เช่น แคดเมียม ปรอท โลหะหนัก และสารก่อมะเร็งอื่นๆ สาเหตุที่ทำให้เกิดฝุ่น PM2.5 ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) มาจากสองแหล่งกำเนิดใหญ่ๆ คือ แหล่งกำเนิดโดยตรง ได้แก่ การเผาในที่โล่ง การคมนาคมขนส่ง การผลิตไฟฟ้า อุตสาหกรรมการผลิต การรวมตัวของก๊าซอื่นๆ ในบรรยากาศ โดยเฉพาะซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) รวมทั้งสารพิษอื่นๆ ที่ล้วนเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ เช่น สารปรอท (Hg), แคดเมียม (Cd), อาร์เซนิก (As) หรือโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs) อันตรายและผลกระทบต่อสุขภาพจาก PM2.5 ร่างกายของผู้ที่แข็งแรงเมื่อได้รับฝุ่น PM2.5 อาจจะไม่ส่งผลกระทบให้เห็นในช่วงแรกๆ แต่หากได้รับติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือสะสมในร่างกาย สุดท้ายก็จะก่อให้เกิดอาการผิดปกติของร่างกายในภายหลัง โดยแบ่งได้เป็นผลกระทบทางร่างกาย และผลกระทบทางผิวหนัง ผลกระทบทางสุขภาพ เกิดอาการไอ จาม หรือภูมิแพ้ ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ฝุ่นอยู่แล้ว จะยิ่งถูกกระตุ้นให้เกิดอาการมากขึ้น เกิดโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง เกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจเรื้อรัง เกิดโรคปอดเรื้อรัง หรือมะเร็งปอด ผลกระทบทางผิวหนัง มีผื่นคันตามตัว ปวดแสบปวดร้อน มีอาการระคายเคือง เป็นลมพิษ ถ้าเป็นหนักมากอาจเกิดลมพิษบริเวณใบหน้า ข้อพับ ขาหนีบ ทำร้ายเซลล์ผิวหนัง ทำให้ผิวอ่อนแอ เหี่ยวย่นง่าย ระดับความรุนแรงของ PM2.5 องค์การอนามัยโลก หรือ World Health Organization (WHO) กำหนดให้ฝุ่น PM2.5 จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 ของสารก่อมะเร็ง ประกอบกับรายงานของธนาคารโลก (World Bank) ที่ระบุว่า ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศมากถึง 50,000 ราย ส่งผลไปถึงระบบเศรษฐกิจ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องสูญเสียเกี่ยวเนื่องกับค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยจากมลพิษทางอากาศนี้ เกณฑ์ของดัชนีคุณภาพอากาศของประเทศไทย สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าเวลาไหนที่คุณภาพอากาศเริ่มเป็นอันตรายต่อสุขภาพ สามารถตรวจเช็คดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index : AQI) ได้ที่เว็บไซต์ของกรมควบคุมมลพิษ โดยประเทศไทยแบ่งดัชนีคุณภาพอากาศเป็น 5 ระดับ ตั้งแต่ 0 ถึง 201 ขึ้นไป โดยใช้สีเป็นตัวเปรียบเทียบระดับของผลกระทบต่อสุขภาพ AQI PM2.5 (มคก./ลบ.ม.) คุณภาพอากาศ สีที่ใช้ ข้อความแจ้งเตือน 0 - 25 0 - 25 ดีมาก ฟ้า เหมาะสำหรับกิจกรรมกลางแจ้งและการท่องเที่ยว 26 - 50 26 - 37 ดี เขียว สามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งและการท่องเที่ยวได้ตามปกติ 51 - 100 38 - 50 ปานกลาง เหลือง สามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งได้ตามปกติ แต่ถ้าเป็นผู้ที่ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ หากมีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ และระคายเคืองตา ไม่ควรทำกิจกรรมกลางแจ้งนาน 101 - 200 51 - 90 เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ส้ม ควรเฝ้าระวังสุขภาพ ถ้ามีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ระคายเคืองตา ไม่ควรทำกิจกรรมกลางแจ้งนาน หรือใช้อุปกรณ์ป้องกัน ส่วนผู้ที่ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ แล้วมีอาการทางสุขภาพ เช่น ไอ หายใจลำบาก ตาอักเสบ แน่นหน้าอก ปวดศีรษะ หัวใจเต้นไม่เป็นปกติ คลื่นไส้ อ่อนเพลีย ควรปรึกษาแพทย์ 201 ขึ้นไป 91 ขึ้นไป มีผลกระทบต่อสุขภาพ แดง ทุกคนควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งทุกอย่างหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น หากมีอาการทางสุขภาพควรปรึกษาแพทย์ สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในประเทศไทย ข่าวเรื่องฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน ส่งผลให้คุณภาพอากาศอยู่ในระดับปานกลางถึงเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ เป็นข่าวที่เกิดขึ้นบ่อยในระยะ 1-2 ปีมานี้ และประเทศไทยมักถูกจัดอยู่ในลำดับต้นๆ ของเมืองที่มีคุณภาพอากาศแย่ที่สุดในโลก โดยการจัดอันดับตามมาตรฐานของประเทศสหรัฐอเมริกา (US AQI) ซึ่งสามารถดูข้อมูลนี้ได้จากแอปพลิเคชัน Air Visual แหล่งกำเนิด PM2.5 หลักๆ ในประเทศไทย มี 3 อย่าง คือ รถยนต์ การเผาในที่โล่งแจ้ง และสภาพความกดอากาศต่ำ ซึ่งวิกฤตฝุ่น PM2.5 เมื่อช่วงเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงคมนาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน กรุงเทพมหานคร และสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ขอความร่วมมือลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวแต่ไม่ได้ผลที่ดีนัก อย่างไรก็ตาม ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2563 นายประลอง ดำรงไทย อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้ประชุมติดตามความก้าวหน้า "การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ การแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง" พบว่าการลดใช้เชื้อเพลิงจากโรงงาน การเผาในที่โล่งแจ้ง ทำให้ฝุ่น PM2.5 ลดลง แต่ก็ยังต้องเฝ้าระวังกันต่อไป แนวทางการป้องกันฝุ่น PM2.5 สวมหน้ากากป้องกันฝุ่น โดยหน้ากากที่สามารถป้องกันฝุ่น PM2.5 ได้ดีและมีประสิทธิภาพคือ หน้ากาก N95 ซึ่งมีราคาสูงกว่าหน้ากากอนามัย และบางคนอาจสวมแล้วอาจให้ความรู้สึกอึดอัด เพราะหายใจได้ลำบากกว่าปกติ หากไม่ใช้หน้ากาก N95 อาจใช้หน้ากากอนามัยที่มีฟิลเตอร์ 3 ชั้น ซึ่งมักมีเขียนระบุบนผลิตภัณฑ์ว่าสามารถป้องกัน PM2.5 ได้ หรือถ้าหากหาไม่ได้จริงๆ อาจใช้หน้ากากอนามัยธรรมดาแต่สวมทับ 2 ชั้น หรือซ้อนผ้าเช็ดหน้าหรือทิชชูไว้ด้านในก็ได้ พยายามหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งทุกชนิดเมื่อคุณภาพอากาศอยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากจำเป็นต้องใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นละอองเมื่ออยู่ข้างนอกอาคาร ใช้เครื่องฟอกอากาศ เนื่องจากภายในอาคารอาจไม่ปลอดภัยจาก PM2.5 เสมอไป โดยเฉพาะอาคารที่มีการเปิดปิดประตูบ่อยครั้งจากการที่มีผู้คนเข้าออกจำนวนมาก ดังนั้นเครื่องฟอกอากาศจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้หายใจในอาคารอย่างสบายใจ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.daikin.co.th/service-knowledge/pm-2-5/
ดื่มกาแฟอย่างไรให้มีประโยชน์ ไม่ทำร้ายสุขภาพ
คอกาแฟอาจจะงงๆ อยู่บ้างเมื่ออ่านบทความที่กล่าวว่ากาแฟทำให้เสียสุขภาพ ผู้ป่วยโรคนั้นโรคนี้ห้ามดื่มกาแฟ แต่อีกบทความหนึ่งก็บอกว่า กาแฟมีประโยชน์ ตกลงแล้วกาแฟที่เราดื่มกันอยู่ทุกวันนี้ดีต่อร่างกายหรือไม่ หรือต้องดื่มอย่างไรถึงจะดีต่อร่างกาย ผู้ใหญ่อายุ 20-50 ปี ที่มีร่างกายปกติดี ไม่มีโรคประจำตัวใดๆ ที่เป็นอันตรายมากนัก สามารถดื่มกาแฟได้มากถึง 4 แก้วใน 1 วันโดยที่ไม่เป็นอันตรายใดๆ ต่อร่างกาย (แก้วละไม่เกิน 240 มิลลิลิตร) Robin Poole นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย University of Southampton ในประเทศอังกฤษ ทำการวิจัยพบว่า คนที่ดื่มกาแฟจะมีอัตราการเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อยเพียง 17% เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ 19% และพบว่ามีก้อนเนื้อร้าย หรือมะเร็ง 18% ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่ต่ำกว่าผู้ที่ไม่ดื่มกาแฟ อีกงานวิจัยหนึ่งพบว่า คนที่ชอบดื่มกาแฟ พบว่ามีอัตราการเป็นโรคหัวใจ เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อยด้วยโรคต่างๆ เช่น โรคตับแข็ง เบาหวานประเภท 2 รวมถึงโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท และสมองอย่าง โรคพาร์กินสัน และอัลไซเมอร์ ต่ำกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มกาแฟ โดยจำนวนกาแฟที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด คือราวๆ 3 แก้วต่อวัน ส่วนผสมในกาแฟที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ สารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ลดการอักเสบ ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเรื้อรังชนิดต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคที่เกี่ยวกับประสาท และสมอง เช่น โรคอัลไซเมอร์ หรือโรคสมองเสื่อม และโรคที่เกี่ยวกับตับ เช่น โรคตับแข็ง หรือมะเร็งตับ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าเราทุกคนควรดื่มกาแฟวันละ 3 แก้ว เพราะคาเฟอีนในกาแฟให้ปฏิกิริยากับร่างกายของเราทุกคนไม่เท่ากัน สังเกตได้ว่าบางคนแพ้คาเฟอีนในกาแฟ แม้จะดื่มไปไม่มาก แต่ก็เกิดอาการใจสั่น มือสั่น หน้ามืด คลื่นไส้ อาเจียน นอนไม่หลับได้ ในขณะที่บางคนดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วยังไม่รู้สึกอะไร ดังนั้นการจะทราบว่าร่างกายของเราทนต่อฤทธิ์ของคาเฟอีนได้มากน้อยแค่ไหน อาจจะต้องลองสังเกตร่างกายของตัวเองหลังดื่มกาแฟเอาเอง และดื่มในปริมาณที่พอเหมาะกับร่างกายของตัวเองเช่นกัน สุขภาพร่างกายของแต่ละคนก็มีความแข็งแรงไม่เท่ากัน คนที่มีโรคประจำตัวเป็นความดันโลหิตสูง เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับไต ไม่ควรดื่มกาแฟมากนัก รวมไปถึงผู้หญิงที่มีความเสี่ยงต่อกระดูกหัก กระดูกเปราะบาง และหญิงมีครรภ์ ก็ไม่ควรดื่มกาแฟมาก เพราะมีความเสี่ยงที่จะแท้งบุตร คลอดก่อนกำหนด หรือคลอดบุตรที่มีน้ำหนักต่ำกว่าปกติได้ นอกจากนี้ คำแนะนำของแพทย์ต่อผู้ที่รักการดื่มกาแฟ คือ หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟที่มีส่วนผสมของน้ำตาล ครีมเทียม และอาจเลือกเป็นนมพร่องมันเนยได้ ในกรณีที่ต้องการประโยชน์จากกาแฟอย่างแท้จริง เพราะส่วนผสมอื่นๆ นอกจากกาแฟ อาจเพิ่มน้ำหนัก เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วน หลอดเลือดหัวใจตีบ และอื่นๆ ได้ ขอขอบคุณ ข้อมูล :TIME ภาพ :iStock ขอบคุณ : https://www.sanook.com/health/10485/
6 วิธีพับกระทงใบตอง ง่ายนิดเดียว
วันลอยกระทงปีนี้ เพื่อนๆ มีไอเดียการทำกระทงหรือยังคะ? ทีนเอ็มไทยอยากเห็นวัยรุ่นหันมาทำกระทงจากวัสดุธรรมชาติ อย่าง “ใบตอง” กันมากขึ้น จะได้เป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยอีกด้วย ได้ยินแบบนี้แล้วอย่าเพิ่งถอดใจหรือเบื่อหน่ายนะคะ เพราะเรามี 6 วิธีพับกระทงใบตอง ง่ายนิดเดียว มาฝากเพื่อนๆ กัน รับรองว่าทำเสร็จแล้ว จะอยากถ่ายภาพอวดลงไอจีกันแน่นอน ถ้าพร้อมแล้วเราไปดูวิธีการทำกันเลย วิธีที่ 1 พับใบตอง กลีบผกา วิธีทำ 1. ตัดใบตองขนาดความกว้าง 1.5 นิ้ว ยาว 6 นิ้ว โดยประมาณ 2. พับตามรูป จำนวน 3 กลีบ จากนั้นนำมาวางซ้อนให้ลดหลั่นกันไปตามภาพ ซึ่งจะนับเป็น 1 ตับ 3. นำไปติดโดยรอบที่ขอบของฐานกระทง ซึ่งเป็นต้นกล้วยตัดเป็นแว่น ความหนา 1.5 – 2 นิ้ว โดยประมาณ ทั้งนี้ปริมาณของกลีบกระทงที่ใช้จะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับขนาดของตัว ฐาน 4. จากนั้นประดับด้วยดอกไม้ตามความชอบ และปักธูปเทียนลงไป เป็นอันเสร็จ วิธีที่ 2 พับใบตอง กลีบกุหลาบ วิธีทำ 1. ตัดใบตองขนาดความกว้าง 1.5 นิ้ว ยาว 6 นิ้ว โดยประมาณ 2. พับเป็นกลีบกุหลาบตามรูป จำนวน 3 กลีบ จากนั้นนำมาสวมเรียงกันให้มีระยะห่างพองามตามความชอบ ควรจัดให้ยอดของกลีบ และลอนของกลีบตรงเสมอเป็นแนวเดียว ซึ่งจะทำให้ผลงานออกมาดูสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อย 3. ใช้ด้ายสีเขียวใกล้เคียงกับใบตอง หรือสีดำมาเย็บติดกันด้วยด้นถอยหลังให้เป็นแนวตรงเสมอกันโดยตลอด 4. พับกลีบใบตองแล้วเย็บต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถหุ้มขอบของฐานกระทงได้โดยรอบ ตรึงกลับใบตองกับฐานของกระทงด้วยหมุด แล้วขลิบส่วนที่เลยพ้นฐานลงมาให้เรียบร้อยเสมอกับฐาน เมื่อทำเสร็จแล้วจะมีลักษณะคล้ายกับมงกุฏสวมศีรษะ 5. จากนั้นประดับด้วยดอกไม้ตามความชอบ และปักธูปเทียนลงไป เป็นอันเสร็จ วิธีที่ 3 พับใบตอง หัวขวาน วิธีทำ 1. ตัดใบตองขนาดความกว้าง 1.5 นิ้ว ยาว 6 นิ้ว โดยประมาณ 2. พับตามรูป จำนวน 3 กลีบ จากนั้นนำมาสวมเีัรียงกันให้มีระยะห่างพองามตามความชอบ เพื่อให้ผลงานออกมาดูสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อย ควรพับแต่ละกลีบให้ได้ขนาดเท่ากันทุกจุด 3. ใช้ด้ายสีเขียวใกล้เคียงกับใบตอง หรือสีดำมาเย็บติดกันด้วยด้นถอยหลังให้เป็นแนวตรงเสมอกันโดยตลอด 4. พับกลีบใบตองแล้วเย็บต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถหุ้มขอบของฐานกระทงได้โดยรอบ ตรึงกลับใบตองกับฐานของกระทงด้วยหมุด แล้วขลิบส่วนที่เลยพ้นฐานลงมาให้เรียบร้อยเสมอกับฐาน เมื่อทำเสร็จแล้วจะมีลักษณะคล้ายอ่างน้ำ 5. จากนั้นประดับด้วยดอกไม้ตามความชอบ และปักธูปเทียนลงไป เป็นอันเสร็จ วิธีที่ 4 พับใบตอง กลีบหัวนก..ลายเปีย ขั้นตอนการพับกลีบหัวนกลายเปีย ๑. ฉีกใบตองกว้าง ๑ ๑/๒ นิ้ว ๒. แบ่งครึ่งใตองให้เท่ากัน ๓. พับใบตองริมขวา ให้ชิดเส้นกึ่งกลางใบ ๔. พับทบทั้งสองข้างเข้าหากัน ๕. คว่ำกลีบให้สันตองอยู่ด้านบน พับใบตองลงมาให้เป็นมุมฉาก ๖. พับด้านซ้ายหลังมาทบตรงเส้นตั้งฉาก ๗. พับอีกด้านเหมือนกัน ๘. พับตลบสันทบกลับมาทางขวา ให้เป็นแนวโค้งทะแยง ๙. นำกลีบต่อมาสวมด้านหน้า ให้เส้นโค้งทะแยงขนานกัน ๑๐. เย็บต่อกันจนได้ความยาวตามต้องการ วิธีที่ 5 พับใบตอง กลีบการเวก ขั้นตอนการพับกลีบการเวก ๑. พับทบใบตองเข้าหากัน ๒. พับสันทบขวาไขว้มาทางซ้าย ๓. พลิกกลับด้านหลัง พับสันทบซ้ายไขว้ไปทางขวา ๔. พับริมสันทบขวาไขว้ไปทางด้านซ้าย ๕. พลิกกลับ พับริมสันทบซ้ายไขว้ไปทางด้านขวา ๖. นำกลีบมาสวม เย็บต่อกัน ความยาวตามต้องการ วิธีที่ 6 การถักตัวตะขาบ ขั้นตอนการถักตัวตะขาบ ๑. ฉีกใบตองกว้าง ๑/๒ เซ็น้ติเมตร แล้วม้วนโดยเส้นทางขวามือซ้อนทับบนเส้นทางซ้ายมือ ๒. จับเส้นทางขวามือสอดเข้าในห่วง ๓. ดึงเส้นด้านซ้ายให้แน่น ๔. สอดเส้นด้านซ้ายเข้าในห่วง ดึงเส้นด้านขวาให้แน่น ๕. สอดสลับไปมา จนเส้นใบตองสั้นสุดใบตอง ๖. ต่อตัวตะขาบ ให้สอดใบตองด้านหน้าตัวตะขาบ อ้อมสอดเก็บปลายทางด้านหลัง แล้วก็ทำเช่นเดียวกัน ๗. ถักจนได้ความยาวตามต้องการ หลังจากที่เพื่อนๆ พับใบตองแบบที่ชอบเรียบร้องแล้ว ก็ถึงส่วนของตัวกระทง ให้ใช้หยวกกล้วย หรือวัตถุที่ย่อยสลายได้ตัดให้เป็นวงโดยสูงประมาณ1-2.5 นิ้ว ส่วนขนาดแล้วแต่ความพอใจ แล้วนำเอาใบตองที่เราพับเป็นรูปทรงต่างๆ มาติดรอบๆ ขอบกระทงกันเลย นอกจากนี้ก่อนที่เราจะนำกระทงไปลอยเพื่อขอขมาพระแม่คงคานั้น เพื่อนๆ อาจนำทริคความเชื่ออย่างการตัดเล็บ และผมใส่ลงไปด้วย เพื่อเป็นการขจัดสิ่งร้ายๆ ให้ออกไปจากตัวเรา หรือจะใส่เหรียญลงไปด้วย เพื่อนำมาซึ่งความมั่งคั่งตามความเชื่อก็ได้นะคะ สุขสันต์วันลอยกระทงค่ะ cr. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, baanmaha ขอบคุณข้อมูลจาก : https://teen.mthai.com/variety/82154.html
10 วิธีคืนความสมดุลให้กับร่างกายรับหน้าฝน
[gallery columns="1" size="full" ids="43200"] 10 วิธีคืนความสมดุลให้กับร่างกายรับหน้าฝน (ไทยโพสต์) ความสมดุลในร่างกาย คือ การที่ระบบอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายทำงานอย่างสัมพันธ์กัน โดยความสมดุลของร่างกายอยู่ที่ประมาณ 37 องศา ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าอุณหภูมิภายนอกจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นร้อน เย็น หรือชื้น ร่างกายก็จะปรับอุณหภูมิภายในให้อยู่สภาวะคงที่ 37 องศา แต่อากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยในช่วงหน้าฝน บางครั้งก็ร้อนอบอ้าว บางครั้งก็ร้อนชื้น ปริมาณความชื้นในอากาศที่เพิ่มขึ้น ทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทันและเกิดความไม่สมดุล จึงแสดงอาการต่าง ๆ ออกมา เช่น เจ็บคอ เป็นหวัด น้ำมูกไหลตลอดเวลา ผื่นแพ้ผิวหนัง ฯลฯ แต่ในทางกลับกันอุณหภูมิ และสภาพอากาศเช่นนี้เป็นที่ชื่นชอบเหมาะในการเจริญเติบโตและแพร่กระจายของเชื้อไวรัสได้เป็นอย่างดี คนที่มีปัญหาเรื่องภูมิแพ้อากาศจึงมีโอกาสเป็นได้บ่อยและมากกว่าปกติ ดังนั้นเราจึงควรหาวิธีดูแลและเตรียมตัวรับมือกับอากาศที่แปรปรวนในช่วงหน้าฝน เพื่อคืนความสมดุลให้กับร่างกายเสียแต่เนิ่น ๆ [gallery columns="1" size="full" ids="43201"] นายแพทย์ พลวิช กล้าหาญ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับสมดุลสุขภาพและความงาม จาก ALIVE Wellness Solutions แนะวิธีคืนความสมดุลให้กับร่างกายในช่วงหน้าฝนว่า ช่วงนี้อากาศค่อนข้างแปรปรวน ไม่โปร่งโล่งสบาย เชื้อไวรัสจึงเติบโตได้ดี และมีอายุในการเจริญเติบโตได้นานกว่าช่วงอื่น ๆ ทำให้โรคที่พบส่วนใหญ่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด ไซนัส ภูมิแพ้ผิวหนัง ภูมิแพ้อากาศ เป็นต้น เมื่อไม่สามารถควบคุมสภาวะอากาศให้บริสุทธิ์สดชื่นและสมดุลได้ เราจึงควรสร้างสมดุลให้กับตัวเองเพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ด้วย 10 วิธีง่าย ๆ ช่วยรับมือกับอากาศแปรปรวนในหน้าฝน 1. ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 1.5 ลิตร เพื่อให้สมดุลของอุณหภูมิในร่างกายคงที่ จะช่วยทำให้โอกาสการติดเชื้อลดลง 2. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ถ้านอนหลับยาก ลองรับประทานกล้วยหอมก่อนนอน ซึ่งกล้วยหอมจะมีสารทริปโตเฟน ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและหลับได้ง่ายขึ้น 3. หน้าฝนมักจะไม่ค่อยเสียเหงื่อ เพราะอากาศชื้น ควรออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายได้ขับของเสีย อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายวิธีหนึ่งด้วย 4. อาหารที่ควรรับประทานอาหาร ได้แก่ ขิง ข่า ตะไคร้ ใบกะเพรา กระชาย เป็นต้น เพราะเป็นอาหารที่มีความเผ็ดร้อน เป็นการเพิ่มอุณหภูมิให้แก่ร่างกาย 5. อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงรับประทาน คือ อาหารที่มีฤทธิ์เย็น รสขม เพราะจะทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดต่ำลงมากกว่าเดิม ส่งผลให้ระบบการย่อยทำงานหนัก ย่อยยาก 6. ไม่ควรอยู่ในที่อึดอัด เพราะจะทำให้ติดเชื้อได้ง่าย ควรอยู่ที่อากาศแห้งและถ่ายเทสะดวก เปิดประตูหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ และทำตัวเป็นมนุษย์สะอาด ล้างมือทุกครั้งหลังทำกิจกรรมเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค 7. หน้าฝนอากาศไม่ปลอดโปร่ง ทำให้คนมีจิตใจหดหู่ ควรหาเวลาไปพักผ่อนเพื่อเพิ่มออกซิเจนบริสุทธิ์ให้กับร่างกาย 8. อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้ร่างกายเสียสมดุลได้ง่าย เสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายด้วยการรับประทานวิตามินซีเสริมวันละ 500-1,000 มิลลิกรัม 9. ควรใส่เสื้อผ้าสีสดใส เพื่อเติมพลังงานให้กับจิตใจ ใครจะคิดบ้างว่าแค่การปรับเปลี่ยนสีเสื้อผ้าก็ทำให้อารมณ์คุณเปลี่ยนแล้ว 10. นอกจากเตรียมความพร้อมของร่างกายแล้ว ควรเตรียมความพร้อมด้านจิตใจ ทำจิตใจให้สงบนิ่ง ด้วยการนั่งสมาธิ เพื่อรับมือกับทุกสภาวะ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://health.kapook.com/view44826.html
สูตรอาหารคลีนกว่า 10 เมนู ลดน้ำหนักได้ง่ายๆ ไม่ต้องอดอาหาร
ทุกวันนี้เทรนด์สุขภาพอย่างการรับประทานอาหารแบบคลีน ๆ เพื่อลดน้ำหนักกำลังมาแรงมาก ๆ เรียกได้ว่าไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มีแต่สาว ๆ นิยมหันมากินคลีนกันมากขึ้น ซึ่งการกินคลีนนั้นอย่างที่หลาย ๆ คนรู้ว่าต้องเป็นอาหารที่สด สะอาด และไม่ผ่านกระบวนการหมักดองหรือปรุงแต่งรสใด ๆ มากนัก ซึ่งกินแล้วจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น แถมยังพ่วงมาด้วยประโยชน์ทำให้น้ำหนักลดลงได้อีกด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่คุณสาว ๆ สมัยใหม่จะหันมาเน้นกินคลีนกันซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ทั้งนี้อาหารคลีนนั้นก็ยังคงหากินยาก กว่าจะได้กินก็ต้องลำบากตามหาซื้อกันให้ควั่ก แต่วันนี้คุณสาว ๆ ที่รักสุขภาพทั้งหลายคงไม่ต้องลำบากกันต่อไปแล้วล่ะค่ะ เพราะกระปุกดอทคอมได้รวบรวมเมนูอาหารคลีน ๆ ที่ทำด้วยตัวเองง่าย ๆ มาฝากกันแล้วจ้า 1.สเต๊กปลาดอลลี่ ปลาดอลลี่หมักเกลือ Low Sodium นำไปย่างบนกระทะเทฟลอน พอสุก โรยพริกไทยกับออริกาโน่ (ไม่มีไม่ต้องใส่จ้า) พอดีที่บ้านมีเลยใส่เพราะมันหอมดีกินกับข้าวกล้อง 1-2 ทัพพี และผักต้ม 2.ข้าว (ไม่มัน) ไก่ - หุงข้าวกล้องกับน้ำซุปผัก (อันนี้ใส่เห็ดนางฟ้าด้วย พอดีเห็ดออกเยอะ) อกไก่ลอกหนังและไขมันออกให้หมด นำไปต้มหรือนึ่ง - น้ำจิ้ม เต้าเจี้ยว (ล้างน้ำออกเอาแต่เม็ด) ขิงแก่ พริกขึ้หนู มะนาว น้ำหวานดอกมะพร้าว ซีอิ๊วดำ และน้ำเปล่า โขลกรวมกัน ชิมรสตามชอบ - น้ำซุปผัก ต้มน้ำเปล่ากับรากผักชีทุบ หัวไชเท้า ปรุงรสด้วยน้ำปลา เกลือ ซีอิ๊ว Low Sodium 3.ราดหน้าไก่ผักรวม ใช้เส้นหมี่ข้าวกล้อง นำไปลวกพักไว้ ผัดกระเทียมให้หอม (ใช้น้ำมันมะกอกสเปรย์) ใส่อกไก่ (อกไก่หมักกับซีอิ๊ว Low Sodium และไข่ไก่) ลงไปผัดพอสุก ใส่คะน้า แครอท เห็ดหอมแช่น้ำหั่นลงไป เติมน้ำซุปผัก เต้าเจี้ยว (ล้างน้ำออกเอาแต่เม็ด) ปรุงรสด้วยน้ำปลา เกลือ ซีอิ๊ว Low Sodium เป็นอันเสร็จค่ะ 4.แกงส้มมะละกอกุ้ง โขลกพริกแกงส้มกับเนื้อปลาต้มสุก ละลายในน้ำเดือด ใส่มะละกอ ปรุงรสด้วยเกลือ Low Sodium น้ำมะขามเปียก และน้ำหวานดอกมะพร้าวนิดหน่อย ชิมให้ได้รสที่ชอบแล้วค่อยใส่กุ้งลงไป เสร็จแล้วค่ะ 5.กระเพรากุ้ง ผัดกระเทียมกับพริกขี้หนู (ใช้น้ำมันมะกอกสเปรย์) ใส่กุ้ง ปรุงรสด้วยน้ำปลา ซีอิ๊ว Low Sodium พอกุ้งสุกใส่กะเพรา 6.ผัดเปรี้ยวหวานกุ้ง ผัดน้ำพริกเผา (ตำเอง ไม่ผัด) (ใช้น้ำมันมะกอกสเปรย์) ให้หอม ใส่กุ้ง ปรุงรสด้วยน้ำปลา ซีอิ๊ว Low Sodium น้ำหวานดอกมะพร้าว ใส่พริกหวานและต้นหอม ปิดไฟรอให้เย็นแล้วค่อยบีบมะนาวลงไป 7.อาหารญี่ปุ่น ใช้ข้าวกล้องแทนข้าวญี่ปุ่น ปูอัดแบบไม่มีแป้งผสม สาหร่ายแผ่น ม้วน ๆ ตามแบบเลยจ้า 8.ผัดพริกแกงเขียวหวานไก่ ผัดน้ำพริกแกงเขียวหวาน (ใช้น้ำมันมะกอกสเปรย์) ใส่อกไก่ ปรุงรสด้วยน้ำปลา Low Sodium น้ำหวานดอกมะพร้าว ชิมรสตามชอบ ใส่มะเขือเปราะ พริกชี้ฟ้า ผัดพอสุก 9.น้ำพริกกะปิปลาทูย่าง ตำน้ำพริกกะปิสูตรตัวเองเลยค่ะ แค่เปลี่ยนเครื่องปรุงเป็นแบบ Low Sodium ทั้งหมด และใช้น้ำหวานดอกมะพร้าวแทนน้ำตาล (ใส่แต่น้อย) ปลาทูก็ย่างแทนทอด 10.ขนมจีนน้ำยาปู ใช้เส้นขนมจีนข้าวกล้องแบบกึ่งสำเร็จ มีขายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ตัวน้ำยาใช้พริกแกงเผ็ดโขลกกับเนื้อปู แล้วผัดน้ำมันมะกอกสเปรย์ เติมนมสด Low fat พอเดือด ปรุงรสด้วย น้ำปลา เกลือ Low Sodium น้ำหวานนิดหน่อย (แต่เราไม่ใส่) ใส่เนื้อปูลงไปอีดนิด ต้นอ่อนทานตะวันปลูกเอง เสร็จแล้วจ้า ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าแค่เปลี่ยนอาหารการกินก็สามารถทำให้เราผอมลงได้แบบง่าย ๆ แล้ว สงสัยคุณสาว ๆ ที่ตั้งใจจะลดน้ำหนักคงต้องลองเอาสูตรทั้งหมดนี้ไปลองทำและรับประทานกันดูซะแล้วล่ะคะ เอ้า ! จะช้าอยู่ทำไมละจ๊ะ อยากผอมเร็ว ๆ ก็รีบไปกินคลีนกันเลย ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก https://health.kapook.com/view114093.html
การวิ่งดีมีประโยชน์ วิ่งอย่างไรไม่ทำร้ายสุขภาพ
การวิ่งดีมีประโยชน์ วิ่งอย่างไรไม่ทำร้ายสุขภาพ [gallery columns="1" size="full" ids="40677"] การเดิน และการวิ่งเป็นกิจกกรรมการออกกำลังกายที่ทำได้ง่าย ประหยัด ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ อาศัยเพียงแค่สถานที่วิ่งที่เหมาะสม มีอากาศถ่ายเทสะดวก แถมยังเป็นกิจกรรมการออกกำลังกายที่ดีต่อระบบต่างๆ ทั้งภายใน และภายนอกร่างกาย ประโยชน์ที่ได้จากการเดิน และการวิ่ง การเดิน และการวิ่งเป็นประจำ ส่งผลดีต่อร่างกายทุกระบบ ทั้งร่างกาย และจิตใจ นพ.ภัทรภณ อติเมธิน ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิ่ง และอาการบาดเจ็บจากการวิ่ง กล่าวว่า การวิ่งนั้นดีต่อร่างกายในหลายๆ ด้าน ด้านสุขภาพพื้นฐานทั่วไป ช่วยรักษาระดับความดันเลือดให้เป็นปรกติ การทำงานของหัวใจ ปอด การหายใจดีขึ้น เพิ่มความฟิต และสมบูรณ์ให้กับร่างกาย ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ทำให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ช่วยเบาเทาและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคประจำตัวต่างๆ เช่นหัวใจ โรคความดันเลือด โรคเบาหวาน ช่วยลดระดับไขมันในเลือด และช่วยในการลดน้ำหนัก และควบคุมน้ำหนักได้ ด้านสุขภาพจิต และอารมณ์ ก็มีรายงานว่าการวิ่งช่วยให้อารมณ์ และสุขภาพจิตดีขึ้น ช่วยทำให้ระดับความเครียดลดลง กิจกรรมการเดินและวิ่ง เหมาะกับใครบ้าง คนทุกเพศ ทุกวัย สามารถใช้การเดิน และการวิ่งเป็นกิจกรรมสร้างเสริมการออกกำลังกายได้ เพียงแต่ต้องกำหนดเวลา และระยะทางการวิ่งให้เหมาะสมตามสภาพร่างกาย เช่น กลุ่มช่วงวัยเด็ก ควรวิ่งในระยะทางที่ไม่ไกลมากนัก ในขณะที่กลุ่มผู้สูงอายุ หรือกลุ่มคนที่มีโรคประจำตัว ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อกำหนด ระยะเวลา และรูปแบบการวิ่งให้พอเหมาะกับความสมบูรณ์ของร่างกาย การกำหนดเป้าหมายในการวิ่ง ช่วยให้การวิ่งปลอดภัยขึ้น นพ.ภัทรภณ ยังให้คำแนะนำต่อว่า การวิ่งนั้นไม่ว่าคนในกลุ่มใดก็มีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ อาการบาดเจ็บ และ อาการหัวใจหยุดเต้นได้ อันเนื่องมาจากการวิ่งที่หนักเกินกำลังร่างกาย ขาดการฝึกฝนฝึกซ้อมที่สม่ำเสมอ และกลุ่มที่ไม่ทราบว่าตนเองป่วย หรือมีโรคประจำตัว ดังนั้นการกำหนดเป้าหมายในการวิ่งให้ชัดเจน จึงมีส่วนช่วยในการกำหนดการฝึกซ้อม และการเตรียมสภาพร่างกาย กลุ่มคนที่วิ่งเพื่อสุขภาพ วิ่งไม่หนักมากนัก สามารถสังเกตอาการเจ็บป่วยได้ด้วยตนเอง และควรเริ่มวิ่งอย่างค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ เพิ่มระยะทาง ระยะเวลาตามความพร้อม และความสบูรณ์แข็งแรงของร่างกาย กลุ่มคนที่ต้องการวิ่งเพื่อการแข่งขันหรือวิ่งในระดับอาชีพ ที่ต้องการพัฒนาการวิ่งของตนเองให้มีระดับสูงขึ้น วิ่งได้เร็วขึ้น นอกจากการฝึกซ้อมอย่างค่อยเป็นค่อยไป และสม่ำเสมอแล้ว ควรได้รับการตรวจเช็คสภาพร่างกายก่อน เพื่อดูว่าตนเองมีความเสี่ยงในการเกิดโรค หรือโรคประจำตัวอะไรหรือไม่ กลุ่มคนที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ คือกลุ่มคนที่มีโรคประจำตัว โรคความดันเลือด โรคหัวใจ ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก หรือคนที่เป็นโรคเกี่ยวกับกระดูก และข้อต่อ ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เพื่อกำหนดรูปแบบและระยะเวลาที่เหมาะสม วิ่งอย่างไรไม่บาดเจ็บ และไม่ทำร้ายสุขภาพ อาการบาดเจ็บจากการวิ่ง โดยมากมักขึ้นบริเวณหัวเขา รองลงมาคือส่วนของข้อเท้า ซึ่งอาการบาดเจ็บเหล่านี้สามารถเกิดได้กับนักวิ่งทุกคน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มระยะ และเพิ่มความเร็วในการวิ่ง เร็วเกินไป ในขณะที่สภาพร่างกายยังไม่พร้อม การฝึกซ้อมให้สม่ำเสมอ และทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บได้ ระยะทางและเวลาในการฝึกวิ่งที่เหมาะสม การฝึกซ้อมการวิ่งอย่างค่อยเป็นค่อยไป และสม่ำเสมอ สามารถช่วยพัฒนาการวิ่งได้ ซึ่งระยะทาง และระยะเวลาในการฝึกซ้อมนั้น จะขึ้นอยู่กับสภาพความพร้อม และความแข็งแรงของร่างกายเป็นหลัก แตกต่างไปตามแต่ละบุคคล ระยะเวลาการฝึกซ้อมวิ่งที่แนะนำ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 150 นาทีต่อสัปดาห์ อาจเป็นเป็นการเดิน หรือ วิ่ง วันละ 40-50 นาที 3-4 วันต่อสัปดาห์ หรือ หากวิ่งแล้วมีอาการเหนื่อยมาก พักแล้วไม่หาย ให้ลดเวลาวิ่งลงเหลือ 75 นาทีต่อสัปดาห์ หรือประมาณ 30 นาที 3 วันต่อสัปดาห์ก็ได้ วิธีการสังเกตตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บจากการวิ่ง การสังเกตตนเองสามารถทำได้ในขณะวิ่ง หากมีอาการเจ็บ หรือปวด หน้ามืด วิงเวียนขณะวิ่ง ให้เบาความเร็วในการวิ่งลง หรือ หยุดเพื่อสังเกตการ ไม่ควรฝื่นวิ่งต่อ อีกกรณีหากวิ่งแล้วมีอาการเจ็บ หรือปวดเรื้อรังเป็นเวลานาน เกิน 3 - 4 วัน ให้ลองหยุดพัก และสังเกตอาการ และบรรเทาอาหารเบื้องต้นด้วยการประคบเย็น และยกขาให้สูง หรือหากทำแล้วไม่ดีขึ้น หรือไม่มั่นใจในอาการบาดเจ็บตนเอง ให้ปรึกษาแพทย์รับการวินิจฉัย และเข้ารับการรักษาต่อไป นอกจากนี้ควรหมั่นฝึกซ้อม และ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่เพิ่มความเร็ว และระยะในการวิ่ง เร็วเกินไป เพิ่มการฝึกเวทเทรนนิ่ง หรือ บอดี้เวท ที่สามารถทำได้ง่ายๆที่บ้าน เพื่อช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ก็จะสามารถช่วยลดอาการบาดเจ็บจากการวิ่งได้อีกทาง ฝากหน่อย มือใหม่นักวิ่ง นพ.ภัทรภณ กล่าวทิ้งท้ายสำหรับนักวิ่งมือใหม่ว่า การวิ่งเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ก็ควรทำอย่างใจเย็น ไม่ต้องเร่ง หรือวิ่งให้เร็วตามใคร ควรกำหนดการวิ่งให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตนเอง กำหนดเป้าหมายให้จัดเจนว่า จะวิ่งเพื่อสุขภาพ หรือ วิ่งเพื่อการแข่งขัน แล้วกำหนดแผนการให้เหมาะสม หมั่นฝึกซ้อม และทำต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ แบบค่อยเป็นค่อยไป ก็จะช่วยให้การวิ่งมีการพัฒนา สามารถวิ่งได้ตามเป้าหมาย โดยไม่มีอาการบาดเจ็บมารบกวน [gallery columns="1" size="large" ids="40678"] ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.thaihealth.or.th/Content/39497-การวิ่งดีมีประโยชน์%20วิ่งอย่างไรไม่ทำร้ายสุขภาพ.html
เสื้อชูชีพ VS เสื้อพยุงตัว อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยกับความแตกต่างที่ควรรู้ !
เสื้อชูชีพ VS เสื้อพยุงตัว อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยกับความแตกต่างที่ควรรู้ ! เสื้อชูชีพกับเสื้อพยุงตัว อุปกรณ์เซฟตี้ทางน้ำที่มีข้อจำกัดและข้อแนะนำการใช้งานที่ต่างกัน คนชอบเที่ยว-เดินทางทางน้ำบ่อย ๆ ควรรู้ไว้จะได้เลือกใช้ป้องกันภัยได้ถูกต้อง [gallery columns="1" size="full" ids="39334"] อุปกรณ์ช่วยชีวิตยามเดินทางทางน้ำที่หลายคนรู้จักคือเสื้อชูชีพ แต่นอกจากเสื้อชูชีพแล้วยังมีอุปกรณ์เซฟตี้อีกชนิดที่เรียกว่า เสื้อพยุงตัว ความแตกต่างของเสื้อชูชีพ-เสื้อพยุงตัว และวัตถุประสงค์ในการใช้งานก็มีข้อจำกัดที่ต่างกันไป และที่เราเห็นเสื้อสีส้ม ๆ สีเด่น ๆ ที่ติดอยู่กับเรือโดยสาร ส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่เสื้อชูชีพ 100% แต่เป็นเสื้อพยุงตัวซะมากกว่า ดังนั้นเพื่อความกระจ่างชัดในด้านความปลอดภัยสำหรับการเลือกใช้อุปกรณ์ช่วยชีวิตทางน้ำ สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับข้อแตกต่างระหว่างเสื้อชูชีพและเสื้อพยุงตัว ดังนี้ [gallery columns="1" size="full" ids="39335"] [gallery columns="1" size="full" ids="39336"] อย่างไรก็ดี ทางสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ได้แนะนำเพิ่มเติมว่า การใส่เสื้อชูชีพจะต้องใส่ให้ถูกต้อง รัดตัวล็อกทุกจุด เพื่อป้องกันไม่ให้เสื้อชูชีพหลุดหายตามน้ำไปได้ ทั้งนี้การใส่เสื้อชูชีพที่ถูกต้องจะสามารถพยุงตัวผู้ประสบเหตุทางน้ำได้ 3-6 ชั่วโมง หรือหากเป็นเสื้อชูชีพคุณภาพดีก็สามารถลอยตัวได้นานเป็นวัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผู้ประสบภัยต้องมีสติ และพยายามช่วยตัวเองให้ลอยตัวในน้ำได้ ที่สำคัญไม่แนะนำให้ว่ายเข้าฝั่งเพราะอาจทำให้หมดแรง แต่ควรลอยตัวอยู่ในน้ำและตะโกนเรียกให้คนช่วย หรือเป่านกหวีดที่ติดมากับเสื้อชูชีพ เป็นการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ขอขอบคุณข้อมูลจากสำนักโรคไม่ติดต่อสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ขอบคุณข้อมูลจาก : https://health.kapook.com/view196142.html
โรคหลอดเลือดสมอง”...รู้ก่อนเป็น ป้องกันได้
โรคหลอดเลือดสมอง”...รู้ก่อนเป็น ป้องกันได้ [gallery columns="1" size="full" ids="38086"] “โรคหลอดเลือดสมอง”...รู้ก่อนเป็น ป้องกันได้ ความร้ายกาจของโรคที่คร่าชีวิต มักจะมาโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว โรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke เป็นอีกหนึ่งโรคที่ไม่มีการเตือนล่วงหน้า แต่เราสามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ โรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ (1) ภาวะหลอดเลือดสมองตีบตัน (Ischemic Stroke) มีสาเหตุมาจากการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดจากการสะสมของคราบไขมัน หินปูน ที่ผนังหลอดเลือดชั้นในจนหนา นูน แข็ง ขาดความยืดหยุ่น ทำให้หลอดเลือดค่อย ๆ ตีบแคบ พบได้ประมาณ 70–85% (2) ภาวะหลอดเลือดสมองแตก หรือภาวะเลือดออกในสมอง (Hemorrhagic Stroke) ทำให้มีเลือดออกมาอยู่ในเนื้อสมอง หรือเยื่อหุ้มสมอง เซลล์สมองได้รับบาดเจ็บและทำให้เนื้อสมองตาย มักพบในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง หลอดเลือดเปราะและโป่งพอง พบได้ประมาณ 15–30% (3) ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว (Transient ischemic attack) คล้ายโรคสมองขาดเลือด แต่มีอาการชั่วคราวไม่เกิน 24 ชั่วโมง เป็นภาวะเร่งด่วนที่ต้องพบแพทย์เพราะเสี่ยงที่จะเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต พบได้ประมาณ 15% อย่างไรก็ตามโรคนี้สามารถป้องกันได้โดยหมั่นสำรวจความผิดปกติของร่างกาย และคอยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยเสี่ยงอยู่เสมอ [gallery columns="1" size="full" ids="38087"] อาการของโรคหลอดเลือดสมองในแต่ละคนจะแสดงออกมาแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของสมองที่เกิดการผิดปกติ วันนี้ทีมเว็บไซต์ สสส. นำเสนอ 10 สัญญาณเตือน ที่หากคนใกล้ตัวมีอาการดังกล่าวควรรีบนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจวินิจฉัยในทันที อาการอ่อนแรงของร่างกายครึ่งซีก อาการชาครึ่งซีก สูญเสียการทรงตัว มองไม่เห็นภาพครึ่งหนึ่งของลานสายตา ตามองไม่เห็นข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง มองเห็นภาพซ้อนเป็น 2 ภาพ พูดไม่ชัด กลืนลำบาก ปากเบี้ยว ลิ้นแข็ง มีความผิดปกติของการใช้ภาษา พูดคุยไม่ค่อยรู้เรื่องหรือฟังไม่เข้าใจ พูดไม่ออก นึกคำไม่ได้ ใช้ภาษาผิด คำนวณไม่ได้ มีอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน ปวดศีรษะรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความน่ากลัวของโรคนี้ คือ เป็นโรคที่ไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า หากมีอาการที่กล่าวมาข้างต้นให้รีบพาไปโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์วินิจฉัยและให้การรักษา กรณีที่เป็นหลอดเลือดสมองตีบ จะทำการรักษาโดยฉีดยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งจะมีผลในการรักษาอย่างมากหากมาพบแพทย์ภายในเวลาไม่เกิน 3 ชม.หลังจากมีอาการ ส่วนกรณีหลอดเลือดสมองแตกจะทำการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด [gallery columns="1" size="full" ids="38089"] โรคหลอดเลือดสมองมีโอกาสเกิดขึ้นซ้ำ หากขาดการป้องกันและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อควบคุมปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค การเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองเพื่อดูแลสุขภาพร่างกายและป้องกันการเป็นซ้ำจึงควรทำดังนี้ ตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมระดับไขมันและน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม เลิกสูบบุหรี่ ลดการรับประทานอาหารรสเค็ม เลี่ยงอาหารไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว รับประทานผักและผลไม้ทุกวัน ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ (อย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์) รับประทานยาป้องกันการเกิดอัมพาตซ้ำตามแพทย์สั่งสม่ำเสมอ สิ่งสำคัญที่ควรตระหนักคือ “จะทำอย่างไรให้คนรอบข้างหรือผู้ที่มีอาการรู้ว่า หากมีอาการหน้าเบี้ยว แขนขาชา หรืออ่อนแรง พูดไม่ชัด นี่คือสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง และต้องพาผู้ป่วยไปถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด” เพื่อทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิต และสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ [gallery columns="1" size="full" ids="38090"] “ถ้าเตรียมตัวดี ย่อมชนะทุกสิ่ง” นพ.บรรลุ ศิริพานิช ประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย และในฐานะผู้สูงอายุแห่งชาติประจำปี 2562 ได้บอกเล่าประสบการณ์การเตรียมความพร้อม ที่ทุก ๆ คนสามารถวางแผนและตั้งตัวแต่เนิ่น ๆ ก่อนจะเข้าสู่สูงวัย และเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บดังนี้ ดูแลร่างกายให้แข็งแรง ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการวิ่งหรือเดินเร็ววันละประมาณ 40-50 นาที และยืดเหยียดกล้ามเนื้อ หมุนคอ หมุนแขน 30 นาที ดูแลการรับประทานอาหาร โดยเลือกรับประทานผักผลไม้เป็นหลัก เน้นอาหารมื้อเช้าและกลางวัน ส่วนมื้อเย็นให้เลือกผักและผลไม้ ดูแลสุขภาพฟันให้แข็งแรง ด้วยการแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งคือ ตอนเช้าและก่อนนอนอย่างสม่ำเสมอทุกวัน จะเห็นได้ว่าคำแนะนำของ นพ.บรรลุ สอดคล้องกับ หลักการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดในสมองซ้ำ ซึ่งถือว่าการดูแลตัวเองให้ดีจะทำให้ร่างกายแข็งแรงและมีอายุยืนยาว นอกจากนี้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สนับสนุนให้คนไทยลดหวาน มัน เค็ม ด้วยสูตร 6:6:1 คือ น้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา น้ำมันไม่เกิน 6 ช้อนชา และเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน รวมถึง หันมารับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพด้วยสูตร 2:1:1 คือ ผักสองส่วน ข้าวหรือแป้งหนึ่งส่วน และเนื้อสัตว์ไม่ติดมันอีกหนึ่งส่วน ซึ่งนอกเหนือจากการทานอาหารที่ดีแล้ว การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพียงเท่านี้ก็ห่างไกลจากโรคหลอดเลือดสมองและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อื่น ๆ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.thaihealth.or.th/Content/48908-เราสูญเสียไปเท่าไหร่+จากการสูบบุหรี่.html
ดื่มน้ำผลไม้ให้ประโยชน์มากแค่ไหน
[gallery columns="1" size="large" ids="37079"] ณ วันนี้เป็นยุคที่ผู้คนทั้งประเทศหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพกันมากขึ้น ขณะเดียวกันในด้านของผู้ผลิต ก็ตอบสนองโดยการผลิตสินค้าทั้งอุปโภคและบริโภค ที่ห้อยท้ายด้วยคำว่า "เพื่อสุขภาพ" ออกมาจำหน่ายกันมากมาย หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือ น้ำผลไม้หลากชนิด นานายี่ห้อ ที่มีให้เลือกซื้ออย่างจุใจ การดื่มน้ำผลไม้ทำให้รู้สึกสดชื่น ดับกระหาย ส่วนคุณค่าทาง โภชนาการจะมีมากน้อยแค่ไหนนั้น เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคทุกคนต้องทราบ เพื่อที่จะได้จัดสรรอาหารการกินในแต่ละวันให้เป็นไปอย่างสมดุล และร่างกายได้รับประโยชน์จากอาหารที่เรากินเข้าไปมากที่สุด แต่ก่อนที่จะไปถึงคำตอบในคำถามที่ตั้งหัวข้อไว้ อยากให้ทำความรู้จักกับน้ำผลไม้ชนิดต่างๆ กันก่อน ชนิดของน้ำผลไม้ น้ำผลไม้ที่เราซื้อมาดื่ม ทั้งที่มีขายอยู่นอกห้างและในห้างสรรพสินค้าซึ่งมีทั้งชนิดคั้นสด บรรจุกล่อง บรรจุขวด ฯลฯ หลากหลายรูปแบบนั้น ความจริงแบ่งได้ เป็น 2 ประเภทเท่านั้น คือ 1.น้ำผลไม้สด หมายถึง น้ำผลไม้ที่คั้นสำหรับดื่มสดๆ โดยไม่เติมสารปรุง แต่งใดๆ ทั้งสิ้น อย่างเช่น น้ำส้ม หรือน้ำฝรั่ง ที่คั้นกันสดๆ หรือบรรจุขวดแช่น้ำแข็งขาย 2.น้ำผลไม้ที่ผ่านกระบวนการ หมายถึง น้ำผลไม้ที่ผลิตขึ้นด้วยวิธีการถนอมอาหาร โดยใส่สารกันบูด หรือสารปรุงแต่งอื่นๆ เพื่อยืดอายุการเก็บให้นานขึ้น ซึ่งน้ำผลไม้ประเภทนี้ก็มีหลายรูปแบบ เช่น น้ำผลไม้ชนิด 100 เปอร์เซ็นต์ ที่ทำจากผลไม้สดที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น เช่น ส้ม ฝรั่ง สับปะรด เป็นต้น โดยไม่ เติมกรด หรือน้ำตาล ซึ่งน้ำผลไม้ชนิด 100 เปอร์เซ็นต์นี้จะมีรสชาติใกล้เคียงน้ำผลไม้คั้นสดมากที่สุด น้ำผลไม้ผสม น้ำผลไม้ประเภทนี้ อาจมีน้ำผลไม้ผสมอยู่มากกว่า 1ชนิด และส่วนใหญ่มักจะเติมน้ำตาล สารกันบูด สี และสารปรุงแต่งกลิ่นรสลงไปด้วย โดย ที่มีน้ำผลไม้เป็นส่วนประกอบหลัก ๔๐ เปอร์เซ็นต์ หรือ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ น้ำผลไม้ยูเอชที น้ำผลไม้ประเภทนี้ อาจผลิตจากผลไม้สด หรือน้ำผลไม้เข้มข้น (ที่ต้องมาทำให้เจือจาง) ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ถึง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วบรรจุขวด หรือผนึก กล่องสุญญากาศ เพื่อให้เก็บได้นานวัน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.thaihealth.or.th/Content/43776-ดื่มน้ำผลไม้ให้ประโยชน์มากแค่ไหน.html
8 เคล็ดลับดูแลสุขภาพในหน้าร้อน
[gallery columns="1" size="full" ids="36244"] ในนหน้าร้อน ยามกระหายน้ำ ทุกคนมักนึกถึงน้ำเย็น น้ำแข็ง น้ำ อัดลม หรือไอศกรีม หรือหากอากาศร้อนมากๆ ถ้าอยู่บ้านมักใช้วิธีเปิดพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศจ่อถึงเนื้อถึงตัวทั้งวันทั้งคืน หรือบางคนนิยมไปหลบความร้อนตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ความเคยชินหลายอย่างอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพได้มากโดยที่เราคาดไม่ถึง สาเหตุแห่งโรคที่มากระทบร่างกายจากการเปลี่ยนแปลงของอากาศและฤดูกาลมี 6 ปัจจัยด้วยกัน คือ ลม แดดร้อน ความชื้น ความแห้ง ความเย็น และไฟ (ความร้อนที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย) ซึ่งแต่ละปัจจัยมีผลกระทบต่อการปรับตัวของร่างกายแตกต่างกัน ถ้าหากร่างกายไม่สามารถปรับตัวจากการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว หรือเพราะภาวะของร่างกายอ่อนแอจะทำให้เกิดโรคได้ และนี่คือ 8 วิธีดูแลสุขภาพในหน้าร้อน 1. ไม่ควรกินน้ำแข็งหรือดื่มน้ำเย็นจัด ฤดูร้อน อากาศร้อน ต้องหาทางช่วยดับความร้อน เพื่อป้องกันความร้อนกระทบร่างกายมากเกินไป เป็นหลักการที่ถูกต้อง แต่วิธีการให้ความเย็นแทนที่มากเกินไป เช่น กินน้ำแข็ง อยู่ในที่ที่มีความเย็น กินแต่อาหารที่มีความเย็น ฯลฯ นับว่าไม่เหมาะสม โดยทั่วไป เรามักดื่มน้ำเย็นๆ น้ำใส่น้ำแข็ง น้ำชาแช่เย็นหรือใส่น้ำแข็ง น้ำอัดลม ผลไม้แช่เย็น เช่นแตงโม สับปะรด ฯลฯ ของเย็นๆ เหล่านี้จะมีผลกระทบต่อระบบการย่อยอาหาร น้ำเย็นปริมาณมากจะไปเจือจางน้ำย่อย และมีผลให้เลือดที่มาหล่อเลี้ยงกระเพาะอาหารเพื่อทำการย่อยลดน้อยลง ทำให้สมรรถภาพการย่อยอาหารลดลง ก่อให้เกิดโรคกระเพาะลำไส้อักเสบได้ง่าย คนที่เป็นโรคกระเพาะและเป็นแผลอักเสบอยู่แล้วก็จะกำเริบได้ง่าย หรือคนที่เป็นโรคหลอดลมอักเสบ หากดื่มน้ำเย็นก็จะยิ่งทำให้มีอาการไอและหอบมากขึ้น นอกจากนั้น น้ำแข็งที่ไม่สะอาดก็มีส่วนทำให้เกิดท้องร่วงท้องเสียอีกด้วย 2. เครื่องดื่มที่เหมาะสมในหน้าร้อน ในฤดูร้อนที่เรามีการสูญเสียน้ำทางเหงื่อมาก การทดแทนน้ำในร่างกายที่เสียไปที่ดี คือ การดื่มน้ำเปล่า (ที่สุกแล้ว) หรือถ้าจะเสริมปรุงแต่งด้วยน้ำตาล เกลือ หรือสมุนไพรอื่นๆ ก็สามารถเลือกได้ตามความชอบและความเหมาะสม เช่น การดื่มชาร้อน น้ำเก๊กฮวยน้ำดอกสายน้ำผึ้ง น้ำใบไผ่ น้ำบ๊วย น้ำถั่ว จะช่วยลดความร้อนของหัว ใจ (การไหลเวียนเลือด) ทำให้ตาสว่าง เพิ่มน้ำในร่างกาย บำรุงตับ บำรุงไต เจริญอาหาร ช่วยระบบย่อยและดูดซึมอาหาร ขับปัสสาวะเสริมพลังร่างกาย การเติมน้ำตาลและเกลือ(ในปริมาณที่พอเหมาะ) ในเครื่องดื่มต่างๆ จะช่วยเสริมพลังและป้องกันการสูญเสียเกลือโซเดียมของร่างกายได้ โดยเฉพาะคนที่ทำงานกลางแจ้งหรือใช้แรงงานมาก การดื่มน้ำชาหรืออาหารสมุนไพรที่ร้อน มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการขับเหงื่อ กระจายความร้อน สังเกตได้ว่าหลัง จากกินอาหารดังกล่าวจะทำให้รู้สึกสบาย สรรพคุณของสมุนไพรก็เพื่อทำให้ภายในร่างกายไม่ร้อนเกินไป และสร้างน้ำเพื่อไม่ให้เสียเหงื่อมาก แต่ไม่ควรดื่มน้ำชาใส่น้ำแข็ง เพราะมีผลเสียมากกว่าผลดี 3. ไม่ควรนอนให้ลมหรือ ความเย็นโกรก ความร้อนจากลมแดดทำให้เสียเหงื่อ เสียพลัง เมื่อนอนหลับ ตากลมในขณะเหงื่อออก จะทำให้อุณหภูมิผิวของร่างกายลดต่ำลง ถ้าอุณหภูมิภายนอกยังสูงอยู่ แล้วเหงื่อไม่สามารถระบายออกได้ จะมีความร้อนสะสมอยู่ข้างใน ทำให้เวียนหัว รู้สึกหนักหัว ไม่สด ชื่นแจ่มใส หรืออาจทำให้เป็นหวัดได้ การใช้พัดลม หรือเครื่องปรับอากาศไม่ควรให้กระทบโดยตรงกับร่างกายนานๆ โดยเฉพาะที่บริเวณท้อง หากโดนลม นานๆ จะทำให้ท้องอืด ปวดท้อง ท้องเสียได้ หรือคนที่พลังพร่อง เมื่อโดนลมนานๆ จะทำให้เกิดความเย็น โดยเฉพาะที่บริเวณใบหน้า ทำให้การไหลเวียนเลือดน้อยลง คนที่อยู่ในห้องปรับอากาศ เวลาออกจากห้องต้องระวังการปรับตัวกับอากาศที่ร้อนภายนอก เด็กที่ไปเที่ยวตามห้างสรรพสินค้าต้องระวัง เพราะการเปลี่ยนแปลงของอากาศที่รวดเร็วจะทำให้ไม่สบายได้ง่าย 4. การนอน การพักผ่อน โดยธรรมชาติของฤดูร้อน กลางวันจะยาว กลางคืนจะสั้น (คนทั่วไปที่ไม่ได้นอนในห้องปรับอากาศที่ปรับอุณหภูมิ) กว่าอากาศจะเย็นสบายให้นอนหลับได้ก็มักจะดึก แล้วตอนเช้าตรู่ท้องฟ้าก็สว่างเร็ว ทำให้ต้องตื่นเช้ากว่าที่เคยเป็น หน้าร้อนเราจะนอนได้น้อยกว่าปกติ ขณะเดียวกันอุณหภูมิในตอนกลางวันจะทำให้เสียเหงื่อ เสียพลัง เหนื่อยง่าย (เพราะมีเลือดไหลเวียนมาที่ผิวกายมากกว่าปกติ แต่ไปเลี้ยงสมองหรือไป ที่ระบบการย่อยอาหารน้อยกว่าปกติ) ทำให้ไม่ค่อยสดชื่น สมองไม่ปลอดโปร่ง รู้สึกง่วงตลอด ในภาวะเช่นนี้ หลายคนที่อยู่ในห้องปรับอากาศอาจจะไม่ค่อยรู้สึกกับการเปลี่ยนของอากาศมากนัก แต่สำหรับคนทั่วไป (โดยเฉพาะคนในชนบทหรือคนที่ต้องทำงานในที่กลางแจ้ง) การได้พักผ่อนนอนหลับในช่วงกลางวันบ้าง จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพไม่น้อยเลย ผู้ที่ทำงานในที่ทำงานคงจะนอนหลับกลางวันไม่สะดวก อาจใช้วิธีนั่งพิงพนักตัวตรง หลับตา สงบนิ่งๆ ในช่วงกลางวัน ก็เป็นการพักผ่อนที่ดี แต่สำหรับผู้ที่สถานทีอำนวยที่จะนอนหลับช่วงกลางวันนั้น ท่าที่นอนควรเป็นท่านอนราบหรือนอนตะแคง ห้ามนอนคว่ำ หรือนอนฟุบบนโต๊ะทำงาน เพราะจะกดท้อง กดทรวงอก กระทบการหายใจ ทำให้กล้ามเนื้อไม่คลายตัวจึงผ่อนคลายไม่เต็มที่ 5. อาหาร ในหน้าร้อนระบบการย่อยอาหารจะทำงานน้อยลง ทำให้ไม่ค่อยรู้สึกหิว การปฏิบัติตัวสำหรับการกินอาหารที่เหมาะสมในหน้าร้อนนั้น พอสรุปได้ ดังนี้ ข้าวต้มมื้อเช้า ตอนตื่นนอน ท้องจะว่างเนื่องจากกระเพาะอาหารพร่อง ควรเริ่มต้นมื้อเช้าด้วยอาหารอ่อนๆ เพราะในหน้าร้อน ร่างกายได้รับการกระตุ้นจากความร้อนทั้งกลางคืนและกลางวัน ทำให้สูญเสียน้ำ การทำงานของ ระบบย่อยและดูดซึมอาหารลดลง จึงยิ่งต้องถนอมการทำงานของกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นด่านสำคัญที่จะย่อยสารอาหารเพื่อนำไปใช้ประโยชน์แก่ร่างกาย ข้าวต้มอาจผสมถั่วเขียว, เมล็ดบัว หรือรากบัว ซึ่งเป็นอาหารที่ย่อยง่ายและช่วยขับความร้อน เสริมระบบการทำงานของกระเพาะอาหารและม้าม ควรกินผลไม้ที่แพทย์แผนจีนถือว่ามีคุณสมบัติเย็น ขับร้อน เพิ่มน้ำในร่างกาย ผลไม้ที่มีคุณสมบัติเย็น เช่น แตงกวา, แตงโม, แตงไทย, มังคุด, สับปะรด, สาลี่ เป็นต้น เหมาะสำหรับ กินแก้กระหายและขับร้อนในร่างกาย แต่ไม่ควรแช่เย็นจัด หรือกินในตอนกลางคืน หรือขณะที่ท้องว่างหรือเวลาหิวจัด หลีกเลี่ยงอาหารที่ทฤษฎีแพทย์จีนถือว่ามีคุณสมบัติร้อน อาหารทอดๆ มัน ๆ แห้ง ๆ ควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกทอดๆ มันๆ เช่น ถั่วทอด, กล้วยแขก, ปาท่องโก๋, ไก่ทอด ฯลฯ หรืออาหารที่มีคุณสมบัติร้อน เช่น น้อยหน่า, ทุเรียน, ลิ้นจี่, ลำไย, ขนุน เป็นต้น โดยเฉพาะในขณะที่มีอาการคอแห้ง, คันคอ, เจ็บคอ หรือเป็นไข้ตัวร้อน ถ้าจะกินก็ควรกินแต่น้อย แล้วดื่มน้ำเกลือ (น้ำเปล่าผสมเกลือป่น) เพื่อดับความร้อน หรือกินอาหารที่มีคุณสมบัติเย็น ช่วยปรับสมดุล สิ่งที่ควรระวังอีกอย่าง คือ หน้าร้อนอาหารจะบูดเสียง่าย เนื่องจากเชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดีในอากาศร้อนชื้น ดังนั้นจึงควรจะระมัดระวังเรื่องการกิน ควรกินอาหารที่ทำสุกใหม่ๆ จะปลอดภัยกว่า 6. การดูแลสุขภาพเด็กเล็ก ในเด็ก การปรับตัวของร่างกายจะยังไม่สมบูรณ์เหมือนผู้ใหญ่ เด็กๆ จึงเจ็บป่วยได้ง่ายโดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่จะต้องให้ความเอาใจใส่ดูแลลูกในเรื่องสำคัญๆ ๔ เรื่องด้วยกัน นั่น คือ เรื่องเสื้อผ้า ควรเป็นประเภทผ้าฝ้ายที่ดูดซับเหงื่อและระบายความร้อนได้ดี เสื้อผ้าของเด็กต้องหลวม ไม่คับ เพราะจะทำให้เด็กรู้สึกอึดอัด และควรระวังเรื่องการอับชื้นจากปัสสาวะ เพราะจะทำให้ผิวหนังเกิดผดผื่นคันได้ เรื่องอาหาร ในหน้าร้อนระบบการย่อยอาหารจะทำงานน้อยลง (ตามที่กล่าวไว้ในข้อ ๕) ร่างกายของเด็กยังอ่อนแอ และติดเชื้อได้ง่าย เพราะฉะนั้น อาหารจึงต้องสุกและสะอาดเสมอ น้ำแข็ง น้ำอัดลม ไอศกรีม ที่เป็นของโปรดของเด็กๆ ทุกคน ขณะเดียวกันความเย็นก็จะทำให้ระบบการย่อย การดูดซึมอาหารผิดปกติ จึงไม่ควรให้เด็กๆ กินบ่อย ที่อยู่อาศัย การระบายความร้อนในห้องนอนมีความสำคัญต่อเด็กมาก ถ้าหากไม่มีเครื่องปรับอากาศ การใช้พัดลมต้องระมัด ระวังไม่ให้พัดลมถูกตัวเด็กโดยตรงไม่ควรให้เด็กนอนในที่เปียกชื้น บนพื้นปูน หรือพื้นที่เย็น ในกรณีที่เด็กมีเหงื่อออกมาก ต้องพลิกตัวเด็กบ่อยๆ เพื่อระบายความร้อนและใช้ผ้าผืนบางๆ เล็กๆ ปิดบริเวณหน้าอกและบริเวณท้อง เพื่อป้อง กันการกระทบความเย็น การเดินทาง ในแสงแดดมีรังสีอินฟราเรดและรังสีอัลตราไวโอเลตซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย ดังนั้น เมื่อต้องเดินทางไปไหน โดยเฉพาะในช่วงปิดเทอม คุณพ่อคุณแม่จึงควรให้ลูกสวมหมวก ใส่เสื้อแขนยาว และกางเกงขายาว เพื่อช่วยป้องกันแสงแดด 7. หญิงตั้งครรภ์กับการปฏิบัติตัวในหน้าร้อน ขณะตั้งครรภ์ การเผาผลาญพลังงานในร่างกายของผู้หญิงจะสูงกว่าภาวะปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงใกล้คลอด จึงทำให้มีอาการหงุดหงิด มีเหงื่อออก อ่อนเพลีย และเกิดภาวะลมแดดง่ายกว่าคนปกติ อย่างไรก็ตาม ในผู้หญิงตั้งครรภ์ การสวมใส่เสื้อผ้าจะต้องมิดชิด และเพื่อป้องกันการกระทบความเย็น จึงควรหลีกเลี่ยงการเปิดพัดลมกระทบโดยตรง ขณะเดียวกันต้องป้องกันความร้อนอบอ้าวด้วย การระบายอากาศในห้องจึงต้องดี ไม่ควรนอนบนเสื่อที่เย็น และ ควรมีผ้าห่มคลุมกายเสมอ ดื่มน้ำให้เพียงพอ ระวังอย่าให้เป็นหวัด ห้ามอาบน้ำร้อนจัดหรือเย็นจัดเกินไป เสื้อผ้าต้องหลวม ระบายอากาศดี ดูดซับเหงื่อได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย ฯลฯ และผิวกายต้องสะอาดสะอ้าน อาหารที่กินต้องสดสะอาด และมีประโยชน์ เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ปลา นม ถั่ว ฯลฯ ผลไม้พวกแตง (แตงโม แตงกวา) รวมทั้งมะเขือเทศ ซึ่งมีฤทธิ์ขับร้อน หยุดกระหาย ก็มีความเหมาะสม (แต่ไม่ควรแช่เย็น) และควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทอุ่นร้อน อาหารและเครื่องดื่มที่ลดร้อนควรเป็นพวกถั่วเขียวต้ม ชาดอกเก๊กฮวย น้ำดื่มที่มีน้ำหวานและเกลือ (เกลือแร่) นอกจากนี้ หญิงตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือ กาเฟอีน เพราะสามารถผ่านเข้าไปในรกได้ง่าย และยังผ่านไปยังเต้านมไปถึงทารกได้ด้วย 8. บุคคล 3 ประเภทที่ต้องระวังให้มาก คนสูงอายุที่ร่างกายอ่อนแอ (คนสูงอายุมักมีระบบย่อยไม่ดีและความร้อนในร่างกายจะถดถอย เนื่องจากไตเสื่อมตามสภาพ), คนที่มีสภาพของม้ามพร่อง (มีอาการการย่อยอาหารและการดูดซึมไม่ดี ท้องอืดง่าย), คนที่มีสภาพของไตหยางพร่อง (มีอาการขี้หนาว แขนขาเย็น ลิ้นบวม และสีซีดขาว) ผู้ที่มีลักษณะทั้ง 3 อย่างดังกล่าว เมื่อได้รับความร้อนจากแดดร้อน ถ้าดื่มน้ำเย็นหรือกินอาหารที่มีความเย็นมากเกินไป จะทำให้ระบบการย่อยอาหารและการดูดซึม ผิดปกติได้ และเกิดความชื้นสะสมในร่างกาย อาการที่แสดงออก คือ ท้องเสีย ติดเชื้อง่าย ขี้หนาว ปวดหัว ตัวร้อนแต่ไม่สามารถขับเหงื่อได้ ปวดข้อและปวดตามกล้ามเนื้อ มักตรวจ พบว่า มีฝ้าสีขาวบนลิ้น
การวิ่งที่ถูกต้อง
[gallery columns="1" size="large" ids="35453"] หากพูดถึงการออกกำลังกายที่ผมชอบมากที่สุด ก็คงเป็นการวิ่ง ไม่ใช่เพราะมันสนุกอะไรหรอกนะครับ เอาจริงๆนะ มันออกจะน่าเบื่อที่สุดด้วยซ้ำไป แต่ผมก็ยังออกกำลังกายโดยการวิ่งมากที่สุด ด้วยเหตุผลหลักๆ ก็คือ มันสะดวกที่สุดครับ เพราะการวิ่งนั้นหาสถานที่ได้ง่าย ใช้เวลาไม่นาน ไม่ต้องรอเพื่อนหรือทีม แถมค่ารองเท้าวิ่งยังถูกกว่าอุปกรณ์กีฬาอย่างอื่นมาก การวิ่งจึงเป็นการออกกำลังกายที่ผมทำได้ทุกวันเป็นกิจวัตรจริงๆ อย่างไรก็ตาม การวิ่งก็ยังความเสี่ยงอยู่ หลายๆคนทั้งเหนื่อยและเบื่อการวิ่ง บางคนก็ได้รับบาดเจ็บจากการวิ่ง ซึ่งก็มีตั้งแต่ข้อเท้าแพลง ไปจนถึงกลับมาวิ่งไม่ได้เลยก็มี เพราะฉะนั้นการวิ่งที่ถูกต้องจึงสำคัญมาก เรามาดูกันครับว่าการวิ่งที่ดีและถูกต้องเป็นอย่างไร เตรียมพร้อมก่อนวิ่ง อย่างแรกที่ต้องเตรียมเลยคือรองเท้าวิ่ง รองเท้าวิ่งสำคัญนะครับแต่หลายคนชอบมองข้าม รองเท้าวิ่งที่ดีจะช่วยให้คุณประหยัดพลังในการวิ่ง ไม่เหนื่อยเร็วจนเกินไป แถมยังลดอาหารบาดเจ็บได้อีกด้วย (บางคนอาจจะบอกว่า ไม่เห็นเป็นไรเลย วิ่งเท้าเปล่าเอาก็ได้ คือเท้าเปล่าอ่ะ วิ่งได้ครับ แต่พื้นวิ่งและท่าวิ่งต้องเหมาะสมนะครับ ซึ่งของแบบนี้ ต้องฝึกครับ ไม่ใช่อยู่ๆจะไปวิ่งเท้าเปล่ายาวๆเลยได้) ก่อนวิ่ง 2 ชั่วโมง ให้งดอาหารมื้อหนัก และอบอุ่นร่างกายก่อนวิ่ง ที่สำคัญอย่าลืมพักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอนะครับ หากวิ่งถูกท่าแล้ว จะไม่บาดเจ็บ หรือเหนื่อยมาก การวิ่งนั้น มี 3 ส่วนหลักๆ ที่ต้องพิจารณา คือ ท่าทางในการวิ่ง ควรวิ่งหลังตรง จัดลำตัวเป็นเส้นตรง และวิ่งอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ควรเงยหรือก้มหน้ามากเกินไป เพราะจะทำให้เกร็งส่วนคอและบ่า สายตามองไปที่พื้นข้างหน้าที่ห่างออกไป 30-40 เมตร ไม่โน้มลำตัวในลักษณะพับส่วนเอวหรือเอนไปด้านหลัง การเคลื่อนที่ เอนลำตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อใช้ประโยชน์จากแรงโน้มถ่วง โดยโมเมนตัมของร่างกายจะตกลงข้างหน้าของเท้าแรกที่อยู่ข้างหน้าของร่างกายประมาณ 3-5 นิ้ว จะทำให้ร่างกายเอนไปทั้งลำตัวเป็นแกนตรงก้าวไปข้างหน้าเพื่อรองรับน้ำหนักที่ถูกถ่ายเทมา การวางเท้า ควรก้าวเท้าถี่ๆ โดยเมื่อเท้าสัมผัสกับพื้นให้รีบยกส้นเท้าขึ้นทันที เหวี่ยงเท้าไปด้านหลัง เข่าพับแทงไปข้างหน้าเล็กน้อย จากนั้นรีบก้าวขาอีกข้างเพื่อรองรับรอบเท้าก้าวต่อไปเป็นวงกลม เมื่อเท้าหน้าเหยียบกับพื้นให้งอเข่าเล็กน้อย (ไม่เหยียดเป็นเส้นตรง) เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นและลดแรงกระแทก ผ่อนคลายร่างกายหลังการวิ่ง การผ่อนคลายร่างกายหลังการวิ่งให้ทำคล้ายๆกับการอบอุ่นร่างกายก่อนการวิ่ง คือ ให้วิ่งเหยาะๆหรือเดินด้วยความเร็วที่น้อยกว่าใช้ในการวิ่งจริงสัก 4-10 นาที จากนั้นทำกายบริหารยืดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกาย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.jaslynsense.com/บทความสุขภาพ/การวิ่งที่ถูกต้อง ขอบคุณ infographic จาก สสส.
ควรงีบหลับกี่นาทีถึงจะดีที่สุด
ควรงีบหลับกี่นาทีถึงจะดีที่สุด หลายคนอาจจะเคยรู้สึกง่วงนอนในช่วงเวลากลางวัน และหลายคนก็พยายามต่อสู้กับความง่วง [gallery columns="1" size="full" ids="34534"] หลายคนอาจจะเคยรู้สึกง่วงนอนในช่วงเวลากลางวัน และหลายคนก็พยายามต่อสู้กับความง่วง พยายามปลุกตัวเองให้ตื่นด้วยวิธีต่างๆ เช่น การดื่มกาแฟ การดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง ล้างหน้าล้างตา เป็นต้น แต่รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วการงีบหลับนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นได้ และหากจะให้ได้ผลเต็มที่การงีบหลับจะต้องอยู่ในระยะเวลาที่เหมาะสมนั้นเอง วงจรการนอนหลับแบ่งออกเป็น 4 ระยะ 1. ระยะที่หนึ่งเป็นระยะที่เปลี่ยนจากการตื่นไปสู่การนอน ในระยะนี้หาถูกปลุกให้ตื่นจะทำให้รู้สึกว่ายังไม่ได้นอน 2. ระยะที่สองเป็นเหมือนระยะของการนอนหลับอย่างแท้จริง หรือเป็นช่วงหลับตื้นๆ ที่ยังไม่มีการฝัน จึงทำให้การหลับในระยะนี้สามารถถูกปลุกให้ตื่นได้โดยง่าย 3. ระยะที่สามเป็นช่วงที่หลับลึกลงไป และเป็นระยะที่เริ่มจะปลุกให้ตื่นค่อนข้างยากขึ้น หากถูกปลุกจะทำให้รู้สึกงัวเงีย 4. ระยะที่สี่จะเป็นช่วงที่หลับลึกที่สุดและระยะนี้เป็นระยะที่ปลุกยากที่สุด ซึ่งในระยะนี้เองจะเป็นช่วงที่มีการฝันเกิดขึ้น ควรงีบหลับกี่นาทีถึงจะดีที่สุด? 1.การงีบ 10-20 นาที จะทำให้ร่างกายตื่นตัวและเพิ่มพลังให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นได้ดีในช่วงเวลานี้จะสามารถปลุกให้ตื่นได้ง่าย 2.การงีบ 30 นาที แต่ว่าในการงีบหลับนาน 30 นาที หากทำให้ตื่นขึ้นมามักจะมีอาการเหมือนการแฮงค์โอเวอร์ ซึ่งทำให้ร่างกายรู้สึกเฉือยๆ ไม่ประปรี้ประเปร่า 3.การงีบ 60 นาที ช่วงนี้การนอนจะมีผลต่อการส่งคลื่นสั้นๆต่อสมองอยู่ในระยะหลับลึก มีผลต่ความจำทำให้จดจำข้อมูลต่างๆ ได้ดีขึ้น แต่การตื่นของช่วงเวลานี้จะรู้สึกงีวเงียและตื่นยากกว่าปกติ 4.การงีบ 90 นาทีหรือการครบวงจรการหลับ ช่วงนี้เป็นการหลับที่สมบูรณ์ สมองจะได้พักเต็มที่ ช่วยในเรื่องของความจำ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และยังทำให้ร่างายนั้นสดชื่นประปรี้ประเปร่าอีกด้วย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.kidteung.com/เรื่องน่ารู้/ควรงีบหลับกี่นาทีถึงจะดีที่สุด.html