-
สาระน่ารู้
หน้าแรก
สาระน่ารู้
พบข้อมูลจำนวน 121 รายการ แสดงผลอยู่ที่ 3/11 หน้า
จัดซื้อจัดจ้าง
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2568 งวดที่ 1 เดือนตุลาคม - ธันวาคม 2567
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2567 งวดที่ 2 เดือนเมษายน - มิถุนายน 2567
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2567 งวดที่ 3 เดือนกรกฏาคม - กันยายน 2567
-
ประกาศเผยแพร่แผนการจัดซื้อจัดจ้าง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 โครงการก่อสร้างอาคารเรียนระดับประถมศึกษาพร้อมปรับภูมิทัศน์ ภายใน
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2566 งวดที่ 1 เดือนตุลาคม 2565 - มีนาคม 2566
ค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์
ปฎิทินกิจกรรม
ท่านคิดว่า อบจ.ระยอง ควรเน้นหนักแก้ไขปัญหาในเรื่องใดเป็นอันดับแรก
- ปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค โหวต
- แก้ไขปัญหายาเสพติด โหวต
- แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โหวต
- แก้ไขปัญหาน้ำท่วม โหวต
- ราคาผลผลิตภาคการเกษตร โหวต
สถิติผู้เข้าชมเว็บไซต์
- กำลังใช้งาน 104 คน
- ผู้เข้าชมวันนี้ 2,333 คน
- ผู้เข้าชมทั้งหมด 20,402,908 คน
แปลภาษา

วิกฤตฝุ่น PM 2.5 กลับมาแล้ว! เตรียมตัวรับมืออย่างไร
วิกฤตฝุ่น PM 2.5 กลับมาแล้ว! เตรียมตัวรับมืออย่างไร ไม่น่าเชื่อว่าในขณะที่เราต้องล้มลุกคลุกคลานกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เหมือนกับว่ากำลังบรรเทาลงไป แต่ใครจะนึกว่าปัญหาฝุ่นควันพิษ PM 2.5 นั้นย้อนกลับมาหาเราคนไทยอีกครั้ง และเหมือนคราวนี้จะดูเป็นวิกฤติการณ์ที่รุนแรงกว่าในปี 2564 ที่ผ่านมา ตื่นเช้ามาเราจะมองเห็นฝุ่นฟุ้งกระจายอย่างหนักไปทั่วกรุงเทพฯ และทั่วประเทศ ฝุ่นพิษ PM 2.5 ไม่ได้หายไปไหน มาคราวนี้สร้างมลภาวะให้กับเราคนไทยกันตั้งแต่ต้นปี Central Inspirer จึงอยากให้ทุกคนระวังกว่าเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ทำไม PM 2.5 ถึงกลับมาในช่วงนี้ คุณรู้สึกสงสัยมั้ยว่าทำไมปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 มักเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาว ทำไมช่วงนี้ของปีเราจึงต้องประสบกับปัญหามลภาวะทางอากาศนี้ แล้วดูจะมีความรุนแรงกว่าหลายปีที่ผ่านมา ตามปกติในช่วงฤดูหนาว เมื่อความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นแผ่ลงมาปกคลุม อุณหภูมิของพื้นดินจะเย็นลงตามไปด้วย ทำให้พื้นดินเกิดการคายความร้อนอย่างรวดเร็วกว่าปกติ ความร้อนที่ถูกคายออกมานั้นจะถูกกักอยู่ระหว่างมวลอากาศเย็นและพื้นดินที่เย็น หรือที่เรียกกันว่า ‘อากาศปิด’ ซึ่งฝุ่นละอองในอากาศก็จะถูกกักอยู่ในนั้นด้วยและไหลย้อนกลับสู่พื้นดิน โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองที่มีฝุ่นละอองในอากาศเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว และมีตึกสูงรายล้อม อากาศปิดจึงส่งผลต่อสุขภาพของผู้คนในเมืองได้ง่าย ปีนี้ยิ่งรุนแรงกว่าทำให้เราต้องระมัดระวังและดูแลตัวเองมากกว่าเคย ฝุ่นพิษ PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะกับคนที่มีโรคประจำตัว สามารถก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ และโรคปอดต่างๆ ทําให้การทํางานของปอดเสื่อมประสิทธิภาพลง หลอดลมอักเสบ มีอาการหอบหืด โรคภูมิแพ้ รวมทั้งอาจเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปอด โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดในสมอง และโถุงลมโป่งพองได้อีกด้วย ล่าสุด! ค่าฝุ่น PM 2.5 ในกรุงเทพฯ ครองอันดับ 7 ของโลก จากข้อมูลของ IQAir หรือ หน่วยงานด้านเทคโนโลยีคุณภาพอากาศของสวิตเซอร์แลนด์ ผู้เชี่ยวชาญในการป้องกันมลพิษในอากาศ และผู้กำหนดดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) หรือการวัดความเข้มข้นของมลพิษทางอากาศในมลพิษทางอากาศโดยรอบและความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เกี่ยวข้องได้อัพเดทสภาพอากาศและสถานการณ์ PM 2.5 พบว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีมลพิษทางอากาศสูงเป็นอันดับ 7 ของโลก ดัชนีคุณภาพอากาศอยู่ที่ 183 AQI ในขณะที่ จ.เชียงใหม่ รั้งอันดับ 13 ของโลก ดัชนีคุณภาพอากาศของสถานีตรวจวัดของกรุงเทพมหานคร พบว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับคุณภาพอากาศเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ และคาดว่าอัตราการระบายอากาศในช่วงนี้จะไม่ดีขึ้น เนื่องจากเพดานอากาศต่ำ เกิดสภาวะอากาศปิดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดการสะสมของฝุ่นละออง PM 2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ด้วยสาเหตุนี้ รัฐบาลจึงแนะนำให้ประชาชนวางแผนการทำงาน การทำกิจกรรมโดยเฉพาะในพื้นที่ที่คุณภาพอากาศอยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ/มีผลกระทบต่อสุขภาพ ควรลดระยะเวลา หรืองดการทำกิจกรรมกลางแจ้ง ไอเทมที่ขาดไม่ได้เพื่อให้ปอดของคุณไม่ถูกทำลายจากฝุ่นพิษ PM 2.5 1. หน้ากากอนามัยมาตรฐาน N95 ไอเทมที่สำคัญที่สุด และขาดไม่ได้ในขณะนี้คือ หน้ากากอนามัย เพราะเป็นด่านแรกที่ช่วยป้องกันเราจากฝุ่นพิษ PM 2.5 และมลภาวะทางอากาศอื่นๆ โดยหน้ากากกันฝุ่นนั้น ควรเลือกเป็นหน้ากากประเภท N95 เพราะสามารถกรองฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถป้องกันฝุ่นพิษได้สูงกว่าหน้ากากอนามัยโดยทั่วไป โดยสามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กมากถึงขนาด 0.3 ไมโครเมตร ได้มากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ ควรเลือกซื้อหน้ากากที่มีขนาดเหมาะสมกับรูปหน้ามากที่สุด มีไอเท็มหน้ากากอนามัยที่อยากแนะนำดังนี้ 2. เครื่องฟอกอากาศ เครื่องฟอกอากาศ หรือ Air Purifier ที่สามารถรับมือกับ PM 2.5 ได้ควรเป็นเครื่องกรองอากาศที่มีแผ่นกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพในการช่วยกรองฝุ่นขนาดเล็กมากๆ เช่น ฝุ่นขนาด 2.5 ไมครอน หรือฝุ่น PM2.5 โดยแผ่นกรองอากาศ หรือแผ่นฟิวเตอร์ HEPA Filter (High Efficiency Particulate Air) ซึ่งผลิตมาจากเส้นใยไฟเบอร์กลาส เป็นแผ่นกรองที่นิยมใช้ในกันในเครื่องฟอกอากาศหลากหลายแบรนด์ เพราะสามารถช่วยกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ดีที่สุด ดังนั้น ในช่วงที่ฝุ่น PM 2.5 กำลังคุมคามชีวิตของเราอยู่ในขณะนี้ ทุกบ้านควรมีเครื่องฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพในการกรางฝุ่นพิษ PM 2.5 ใช้ที่บ้าน รวมทั้งเครื่องฟอกอากาศมีแบบพกพาที่ไม่ว่าจะออกไปไหน เราสามารถฟอกอากาศให้เราหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ปอดได้ดีขี้น ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก https://www.central.co.th/e-shopping/pm-2-5-is-back-we-have-to-be-more-careful
เคล็ดลับน่ารู้ ดื่มกาแฟอย่างไร ไม่ให้ฟันเหลือง
กาแฟทำฟันเหลือง! เปิดเคล็ดลับดื่มอย่างไร ไม่ให้ทิ้งคราบสิ่งหนึ่งที่คนทำงานส่วนใหญ่มักขาดไม่ได้ในทุก ๆ เช้า คือ “กาแฟ” แต่ดื่มทีไรคราบกาแฟก็ตามมาด้วยทุกที จนหลายคนมักตั้งคำถามเสมอว่าแล้วจะมีวิธีที่จะช่วยรักษารอยยิ้มของเราให้ขาว ไม่เป็นคราบเหลืองได้หรือไม่ โชคดีที่ปัญหานี้ มีเคล็ดลับมากมายที่จะช่วยรักษาฟันของเราให้กลับมาขาวได้ดังนี้ ตัวการร้ายทำฟันเหลือง ความจริงแล้วสาเหตุที่มักทำให้ฟันของเราเป็นคราบ คือ พฤติกรรมการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิต เพราะเศษอาหารและเครื่องดื่มที่ทำให้เกิดสีต่าง ๆ เช่น กาแฟ ชา ไวน์ ซอส และของหวาน มีฤทธิ์เป็นกรด จะเกาะติดและเคลือบชั้นนอกสุดของฟันเอาไว้ เป็นสาเหตุที่ทำให้สีฟันของเราเปลี่ยนไปนั่นเอง นอกจากนี้คราบบนฟัน ก็อาจเป็นผลพวงมาจากอายุได้เหมือนกัน เพราะสารเคลือบฟันของเราจะบางลง ไปพร้อม ๆ กับเนื้อฟันที่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองไปตามธรรมชาติเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งการที่สารเคลือบฟันของเราบางลงนี้ ยิ่งทำให้เนื้อฟันที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองนั้น แสดงออกมาให้เห็นเด่นชัดมากยิ่งขึ้น กาแฟ" สาเหตุของฟันเป็นคราบที่พบบ่อย “กาแฟ” เป็นต้นเหตุที่พบได้บ่อยว่าทำให้ฟันเป็นคราบเหลือง แต่ไวน์แดง โซดา ชา น้ำผลไม้ และเครื่องดื่มชูกำลังเองก็ทิ้งคะแนนห่างจากกาแฟไม่ไกล นอกจากนี้บุหรี่ ขนมหวาน ลูกกวาด และซอสมีสีต่าง ๆ เช่น ซีอิ๊ว เองก็เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ฟันเปลี่ยนสี " การกินอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ทำให้สารเคลือบฟันกร่อน เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดฟันผุ และฟันเหลืองได้ในที่สุด " หลอด-การแปรงฟันหลังอาหาร ช่วยปกป้องฟัน มีการตั้งคำถามว่าการดื่มโดยใช้หลอดจะช่วยปกป้องฟันของเราได้หรือไม่ คำตอบคือ ใช่ เพราะการดื่มโดยใช้หลอดช่วยลดปริมาณการสัมผัสระหว่างเครื่องดื่มและพื้นผิวด้านนอกของฟัน ซึ่งจะลดการเกิดคราบสีเหลืองบนฟันที่อาจเกิดขึ้นได้ แนะนำว่าลองพกหลอกแบบใช้ซ้ำ ก็เป็นอีกทางแก้ที่ดีไม่น้อย หรือหากใครไม่อยากพกหลอด ก็สามารถจิบน้ำเปล่าระหว่างหรือหลังการดื่มเครื่องดื่มต่าง ๆ ได้ น้ำจะช่วยชะล้างคราบหรือกรดที่อยู่บนฟันออก ส่วนการแปรงฟันหลังอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มนั้น คำตอบของทันตแพทย์แตกต่างกันเล็กน้อย บางคนแนะนำว่าการรอแปรงฟันหลังอาหาร 1-2 ชั่วโมงจะไม่ได้ผลดีเท่าการแปรงฟันในทันที ขณะที่อีกเสียงแนะนำว่า ควรรอแปรงฟันหลังอาหารอย่างน้อย 30 นาที หรือนานกว่านั้น เพราะจะสามารถแปรงคราบที่ฝังลึกเข้าไปในโครงสร้างฟันได้ แต่วิธีนี้ต้องจิบน้ำหรือบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าหลังอาหารทันทีด้วย อย่างไรก็ตามทันตแพทย์ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า คราบต่างๆ จะลดลงได้ดีที่สุด โดยการแปรงฟัน การใช้ไหมขัดฟัน การจิบน้ำหรือบ้วนปากด้วยน้ำเปล่า และการไปพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอปีละ 2 ครั้ง ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์-เบกกิ้งซา ทำให้ฟันขาว? ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide) และเบกกิ้งโซดา (Baking Soda) สามารถช่วยฟอกสีฟันได้ก็จริง แต่ไม่แนะนำให้ใช้แทนยาสีฟัน เพราะทั้งสองอย่างนั้นเข้มข้นมาก และมีฤทธิ์กัดกร่อน อาจส่งผลให้สารเคลือบฟันยิ่งบางลงได้ ดังนั้นแนะนำว่าให้นำไปเจือจางด้วยน้ำเปล่าก่อนจะใช้ และควรใช้เพียง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์เท่านั้น หมดปัญหาฟันเหลืองแบบเร่งด่วน ด้วยการฟอกฟันขาวแบบ Zoom วิธีการฟอกสีฟันที่ดีและรวดเร็วที่สุด คือการให้ทันตแพทย์ฟอกสีฟันให้ ซึ่งจะใช้เวลาทำประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ก็เห็นผลทันที โดยสามารถทำได้ทุก ๆ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิต หลายคนอาจกลัวเกี่ยวกับอาการปวดฟันหลังฟอกสีฟัน ทันแพทย์บอกว่า ปัจจุบันมีการฟอกสีฟันขาว ที่เรียกว่า “Zoom Advanced Power” เป็นการฟอกสีฟันโดยการยิงเลเซอร์เข้าที่เจลฟอกสีฟันที่เคลือบฟันไว้ เจลฟอกสีฟันนี้มีฤทธิ์อ่อนโยนช่วยขจัดสีฟันทำให้ผิวฟันที่เป็นคราบเหลือง ๆ จางลง และยังมีการจัดวาง Light Guide นำแสงเข้าช่องปากของผู้รับการฟอกอย่างสะดวกสบาย ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นอาจทำให้เสียวฟัน แต่ไม่เกิน 1 วันก็หาย และยืนยันว่าปลอดภัย ไม่มีอันตรายต่อฟัน แถมยังทำให้ฟันขาวยาวนานอย่างเป็นธรรมชาติ วิธีดูแลฟันหลังฟอกสี ไม่ให้กลับมาเหลือง อย่างไรก็ตามฟอกฟันแล้ว หากยังไม่ปรับพฤติกรรม สิ่งเดิมๆเหล่านี้อาจกลับมาทำร้ายฟันของเราได้ใหม่ ดังนั้นควรดูแลฟัน ดังนี้ ทำความสะอาดช่องปากอย่างถูกวิธี โดยการแปรงฟัน ใช้ไหมขัดฟัน บ้วนปากเป็นประจำ หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่ทำให้เกิดสี มีฤทธิ์เป็นกรด ที่จะทำให้เกิดคราบบนฟัน เช่น ชา กาแฟ ไวน์ ซอส ของหวาน และหากจำเป็นต้องดื่มเครื่องดื่มดังกล่าว ควรใช้หลอดดูดแทนการดื่มจากแก้ว งดการสูบบุหรี่ หมั่นตรวจสุขภาพฟันกับทันตแพทย์เป็นประจำ ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก https://www.pptvhd36.com/health/food/2108
7 วิธี ฉลองปีใหม่อย่างปลอดภัยมากขึ้นระหว่างไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ระบาด
การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ทำให้การฉลองเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ในหลายประเทศเปลี่ยนไป ประเทศไทยก็หนีไม่พ้นหลังเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดขึ้นอีกระลอกที่ จ.สมุทรสาคร และอีกหลายจังหวัด สำหรับหลายคน วิธีที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าเราจะไม่ทำให้คนที่เรารักล้มป่วยคือการไม่ไปฉลองปีใหม่ด้วยกันในปีนี้ และองค์การอนามัยโลกก็ออกมาแนะนำให้คนหันมาพึ่งเทคโนโลยีในการติดต่อกันทางไกลแทน แต่สำหรับบางคนตัดสินใจจะเดินทางไปหาคนในครอบครัวที่พวกเขาไม่ได้อาศัยอยู่ด้วย นี่คือ 7 วิธี ที่จะช่วยลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ 1.น้อยและสั้นลง หากจัดงานปีใหม่ พยายามลดจำนวนแขก และจำนวนครอบครัวที่จะมาพบปะกันให้ได้น้อยที่สุด และยิ่งใช้เวลาอยู่ด้วยกันน้อยลงเท่าไร โอกาสที่เชื้อจะแพร่ระบาดก็จะน้อยลงเท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าคนสูงอายุ และคนที่มีโรคประจำตัวเช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และอาการเกี่ยวกับปอด ไม่ควรจะไปร่วมงานพบปะที่มีคนเยอะ 2.อากาศถ่ายเท แม้แต่ลมที่พัดเบา ๆ ก็สามารถช่วยระบายละอองฝอยที่มีเชื้อไวรัสอยู่ได้ ดังนั้นในสวน ชานบ้าน หรือระเบียง จึงเป็นที่ที่เหมาะที่สุดสำหรับจัดงาน ถ้ารวมตัวกันในอะพาร์ทเมนต์ ก็ควรเปิดหน้าต่างให้โปร่ง วิธีหนึ่งที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐฯ แนะนำคือ นำพัดลมไปวางหันออกนอกหน้าต่างให้ทำหน้าที่คอยระบายอากาศในห้องออกไปข้างนอก 3.หน้ากากและระยะห่าง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา ยกเว้นตอนกินอาหารและดื่มน้ำ เนื่องจากโควิด-19 แพร่ระบาดด้วยละอองฝอยเวลาเราไอ หัวเราะ หรือพูด และควรจะลดระดับเสียงเพลงด้วย คนจะได้ไม่ต้องตะโกนเวลาคุยกัน นอกจากนี้ สำหรับคนที่ไม่ได้อาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกัน ต้องไม่ลืมที่จะรักษาระยะห่างตลอดเวลา 4.ผลัดกันกิน ตอนทานอาหารเป็นช่วงเสี่ยงเพราะทุกคนจะมานั่งใกล้กันและถอดหน้ากากอนามัยออก ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผลัดกันกินทีละครัวเรือนไป และหากมีโต๊ะที่สามารถจัดให้นั่งแยกกันได้ ก็ควรจะนำออกมาใช้ในโอกาสนี้ เราควรคิดซะว่าคนที่ไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัยอาจเป็นคนที่ติดเชื้อและสามารถแพร่กระจายเชื้อได้ 5.เลี่ยงเดินทาง ผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกันว่าการเลี่ยงเดินทางเป็นหนทางป้องกันที่ดีที่สุด แต่หากจำเป็น การเดินทางโดยรถยนต์เป็นทางเลือกที่ดีกว่าการใช้รถขนส่งสาธารณะที่คุณต้องเจอกับคนเยอะ ๆ 6.อยู่บ้าน ถ้ามีอาการ หากคุณไม่ได้กักตัวก่อนจะไปร่วมงานปีใหม่ อาจจะไปลองตรวจหาเชื้อไม่กี่วันก่อนที่จะไปงานเลี้ยง ลองสังเกตตัวเองดี ๆ ว่าคุณมีอาการของโรคโควิด-19 หรือไม่ แม้แต่การไอหรือน้ำมูกไหลนิดหน่อยก็อาจจะเป็นสัญญาณว่าคุณติดเชื้อได้ 7.การ์ดอย่าตก หลังจากไม่ได้เจอกันมาหลายเดือน เป็นธรรมดาที่คนเราก็อยากจะผ่อนคลาย มีความสุข อยู่ใกล้ชิดกันเมื่อได้เจอกัน แต่ไม่ควรประมาท การ์ดต้องไม่ตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเราดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปด้วย ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.bbc.com/thai/international-55398744
6 วิธีเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่ฤดูหนาว
“กรมอุตุนิยมวิทยา” ประกาศประเทศไทยเข้าสู่หน้าหนาวอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.2565เป็นต้นไป เนชั่นออนไลน์มี 6 วิธีเตรียมรับการเข้าสู่ฤดูหนาวมาฝาก 1. สวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสมกับสภาพอากาศ ควรเลือกสวมเสื้อผ้าที่ไม่บางเกินไป สามารถถ่ายเทอากาศได้ดี และสามารถป้องกันความเย็นได้ 2. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และเน้นอาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น เนื้อสัตว์ เต้าหู้ ไข่ และธัญพืชเพราะธาตุเหล็กจะช่วยป้องกันโรคหวัดและเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายได้ 3.บำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ การทาโลชั่นหรือครีมบำรุงผิว จะช่วยป้องกันผิวไม่ให้แห้ง แตก ลอก ในฤดูหนาวได้เป็นอย่างดี และควรทาลิปบาล์มที่ริมฝีปากด้วย จะช่วยทำให้ปากชุ่มชื้น ไม่แตกได้ 4.การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม ควรดื่มน้ำที่อุณหภูมิห้อง หรือน้ำอุ่น จะช่วยให้ผิวพรรณมีความชุ่มฉ่ำไม่แห้งตามสภาพอากาศแล้ว ยังช่วยเรื่องระบบขับถ่ายต่างๆ อีกด้วย 5. รับประทานวิตามินเสริม สำหรับผู้ที่มีร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเมื่อเจอกับอากาศหนาว อาจจะทำให้ร่างกายเจ็บป่วยได้ จึงควรป้องกันด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์พร้อมๆ ไปกับการรับประทานวิตามิน เพื่อเป็นการเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย เช่น วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินอี เพราะวิตามินเหล่านี้สามารถช่วยให้ห่างไกลจากการเป็นหวัดได้ 6.พักผ่อนให้เพียงพอ ควรนอนหลับให้ได้อย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง ซึ่งการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอนั้นมีผลต่อสุขภาพร่างกายเป็นอย่างมาก เพราะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายได้พักและซ่อมแซมส่วนต่างๆ ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก https://www.nationtv.tv/news/378849291
การดูแลรถหลังลุยน้ำท่วม ต้องทำอย่างไรบ้าง ?
คงไม่มีใครอยากประสบพบเจอกับเหตุการณ์ที่รถยนต์ต้องลุยน้ำท่วมขังสูง ตลอดจนเจอกับเหตุการณ์น้ำ ท่วม รถ เมื่อเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นจะต้องมีวิธีการดูแลรถที่พิเศษกว่าปกติ ทั้งหมดก็เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะตามมาเมื่อเวลารถต้องลุยน้ำท่วมนั้นเอง ก่อนที่คุณจะขับรถยนต์เพื่อลุยน้ำที่ท่วมขังนั้น ให้ประเมินความสูงของน้ำที่ท่วมขังให้ดีเสียก่อน ว่าน้ำที่ท่วมอยู่ในระดับที่รถยนต์ของคุณสามารถขับผ่านไปได้รึไม่ สุ่มเสี่ยงที่จะมีปัญหารึเปล่า หากขับรถยนต์ลุยผ่านไป ระดับน้ำที่ท่วมขังอยู่ต่ำกว่าครึ่งล้อรถยนต์แล้ว แทบไม่ต้องสนใจดูแลอะไรเลยก็ว่าได้ เนื่องจากระดับนั้นไม่ได้สูงที่เพียงพอโดยชิ้นส่วนต่าง ๆ ของรถยนต์นั้นเอง แต่ถ้าน้ำท่วมขังที่ต้องลุยผ่านไปสูงเกินกว่าครึ่งล้อรถยนต์แล้วล่ะ อาจต้องมีการดูแลรถหลังน้ำท่วม การดูแลรถหลังลุยน้ำท่วม ไม่ใช่ว่าหลังขับลุยเสร็จต้องดูแลเลย อย่างแรกต้องเข้าใจเสียก่อนว่าอุปกรณ์ชิ้นส่วนของรถยนต์มันไม่ได้เปราะบางขนาดที่ต้องเสียหายหรือเสื่อมสภาพหลังจากการลุยน้ำแต่อย่างใด เท่ากับว่าคุณสามารถขับขี่ใช้งานไปจนหมดฤดูฝนก็ได้ หลังจากหมดฤดูฝนค่อยไปร้านช่วงล่างเพื่อดูแลชิ้นส่วนต่าง ๆ นั้นเอง หากน้ำท่วมขังที่ลุยมีความสูงแค่ถึงใต้ท้องรถยนต์ วิธีดูดูแลรถหลังจากการลุยน้ำในระดับนี้จะเป็นส่วนช่วงล่างทั้งหมด โดยจะเป็นจุดที่สามารถเคลื่อนไหวได้นั้นเอง เนื่องจากตรงบริเวณที่เคลื่อนไหวได้จะมีการใช้จาระบีเป็นตัวเคลือบไว้อยู่แล้ว ซึ่งคุณต้องไปอัดจาระบีใหม่ตามจุดต่าง ๆ เพียงเท่านั้นเอง สำหรับการลุยน้ำในระดับใต้ท้องรถยนต์ แต่หากเป็นการลุยน้ำท่วมที่สูงกว่าใต้ท้องรถยนต์ขึ้นไปแล้วล่ะก็ อาจต้องมีการดูแลรถยนต์ที่มากกว่าปกติอยู่พอสมควรก็ว่าได้ เนื่องจากระดับน้ำที่ท่วมสูงนั้นเอง 1. เช็กน้ำมันเครื่องยนต์ 2. ระบบไฟส่องสว่างต่าง ๆ ของรถยนต์ อาจต้องมีการตรวจสอบว่ายังใช้ได้อยู่ปกติรึไม่ เนื่องจากน้ำที่ท่วมขังสูงมีโอกาสที่น้ำจะเข้าไปนั้นเอง ซึ่งการที่ระบบไฟส่องสว่างไม่ติด คุณสามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเองแบบง่าย ๆ ด้วยการหาซื้อสเปรย์ไล่ความชื้นรถยนต์มาฉีดตรงขั้วต่อต่าง ๆ ตามสายไฟเท่านั้นเอง 3. หากน้ำเข้ามาในห้องโดยสาร น่าจะเป็นเรื่องที่วุ่นวายสำหรับคุณไม่น้อยก็ว่าได้ เมื่อห้องโดยสารมีน้ำเข้ามาได้ อย่างแรกต้องหาจุดที่น้ำเข้ามาให้เจอว่ามาจากไหน เพื่อจะได้ทำการแก้ไขตรงจุดนั้น ยกตัวอย่างเช่น ยางขอบประตูที่เสื่อมสภาพจนน้ำไหลเข้ามาได้ การแก้ไขก็คือ ต้องเปลี่ยนยางขอบประตูใหม่นั้นเอง 4. เมื่อน้ำ เข้า รถ พรม เปียก ถือว่าไม่ส่งผลใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ก็ว่าได้ แต่จะเป็นเรื่องกลิ่นอับที่เกิดขึ้นจากพรมที่เปียกเสียมากกว่า ที่จะส่งให้รถยนต์ไม่น่าใช้งาน ตลอดจนหากปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดสนิมที่พื้นห้องโดยสารรถยนต์ก็ว่าได้ การที่น้ำ เข้า รถ พรม เปียกก็เกี่ยวข้องกับห้องโดยสารมีจุดที่น้ำไหลเข้ามานั้นเอง ซึ่งต้องแก้ไขที่ต้นเหตุ 5. เมื่อพรมรถยนต์เปียก ต้องทำยังไง ? เชื่อว่าไม่มีใครปล่อยไว้แน่ ๆ หากพรมรถยนต์ของคุณเปียกแบบทั่วคันแล้วล่ะก็ ขอแนะนำให้ไปร้านคาร์แคร์เพื่อจบปัญหานี้ซะ เนื่องจากเป็นงานที่ใหญ่พอสมควร จำเป็นต้องรื้อพรมออกมาซักทำความสะอาด และติดตั้งกลับไปใหม่ก็ว่าได้ แต่ถ้าพรมรถยนต์เปียกเล็ก ๆ น้อย ๆ สามารถนำรถยนต์ไปจอดตากแดดก็ช่วยทำให้พรมแห้งได้เหมือนกัน ส่วนกลิ่นที่อับชื้นก็จะลดลงไปด้วย และสามารถหาน้ำหอมรถยนต์มาช่วยดับกลิ่นเพิ่มเติม แต่ถ้าน้ำ ท่วม รถยนต์แบบทั้งคัน ต้องประเมินระยะเวลาการที่รถยนต์ถูกแช่น้ำไว้นานแค่ไหน หากเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก็สามารถนำกลับไปซ่อมให้ใช้ได้แบบไม่มีปัญหา แต่ถ้ารถยนต์คันนั้นน้ำท่วมมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ขอแนะนำว่าให้ตัดใจขายซากไปดีกว่า ไม่มีความคุ้มค่าในการซ่อมแซมเพื่อใช้งานใหม่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ที่ต้องเปลี่ยนใหม่ ตลอดจนตัวถัง ช่วงล่าง และโครงสร้างแชสชี จะผุเป็นสนิมจากการแช่น้ำนั้นเอง ข้อมูลดีๆจาก https://khaotoyota.com/
เกร็ดความรู้เรื่อง 5 โรคภัยอันตรายที่มาพร้อมหน้าฝน
ในช่วงที่สภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้โรคติดต่อสามารถ แพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งในช่วงหน้าฝน ยิ่งต้องระมัดระวังกันเป็นพิเศษ ดังนั้นอย่าลืมดูแลสุขภาพของตนเองด้วยการตรวจสุขภาพหรือเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ พร้อมทั้งออกกำลังกาย และเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพียงเท่านี้คุณก็จะมีสุขภาพดีได้ง่าย ๆ
5 วิธี เตรียมตัวเที่ยวช่วงวันหยุดยาวอย่างปลอดภัย ห่างไกลจากโควิด-19
ใกล้จะถึงเทศกาลวันหยุดยาวทีไร หลายคน จองตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรมและที่พักไว้ล่วงหน้า เพื่อจะเดินทางท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนกับครอบครัวและคนรักกันแล้ว แถมเป็นการช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชน ให้เศรษฐกิจประเทศไทยขับเคลื่อนต่อไปได้ จากโครงการที่ภาครัฐสนับสนุนไม่ว่าจะเป็นโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เราชนะ เรารักกัน ฯลฯ แต่ท่ามกลางสถานการณ์การควบคุมโรคระบาดโควิด-19 พวกเราก็ไม่ควรประมาท วันนี้เรามี 5 ทริคดีๆ ให้คุณได้เตรียมตัวก่อนเดินทางไปเที่ยวช่วงวันหยุดยาวนี้กัน 1.ปฏิบัติตัวตามมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด สิ่งสำคัญที่จะให้ทุกคนลดความกังวล เที่ยวได้อย่างสบายใจ และสามารถช่วยกันลดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ คือ การให้ความร่วมมือและปฏิบัติตัวตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็น การรักษาระยะห่างระหว่างกัน 1- 2 เมตร การสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง หมั่นล้างมือด้วยสบู่ล้างมือหรือ หรือเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ หลีกเลี่ยงการนำมือสัมผัสใบหน้า และหลีกเลี่ยงใช้สิ่งของส่วนตัว หรือ ภาชนะต่าง ๆ ร่วมกัน เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของตัวเองและคนในครอบครัว 2. หากเป็นไปได้ให้เดินทางด้วยรถส่วนตัว เที่ยวช่วงเทศกาลแน่นอนว่าตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆจำนวนคนจะค่อนข้างเยอะกว่าปรกติ แนะนำให้เลือกเดินทางด้วยรถส่วนตัวในช่วงเทศกาลจะดีกว่า เพราะนอกจากสะดวกสบายสามารถแวะเที่ยวได้ตามต้องการ ยังช่วยลดความเสี่ยงการแพร่กระจายของโควิด-19 ได้อีกด้วย หรือหากใครที่จองตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว เมื่อไปถึงจุดหมายอาจเลือกให้บริการรถเช่า หรือ เหมารถบริการในพื้นที่แทนก็ได้ หรือมีความจำเป็นต้องเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะควรจะสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่เดินทาง 3. มองหาสถานที่เที่ยวที่ใหม่ ๆ เพื่อลดความแออัด สำหรับใครที่กำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี แนะนำให้ลองหาที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ เพราะในประเทศไทย ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายที่รอให้นักท่องเที่ยวไทยได้ไปสัมผัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยวเชิงสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม การสัมผัสการใช้ชีวิตแบบคนท้องถิ่นในชุมชนนั้นก็เป็นที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะนอกจากได้เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ และยังเป็นการหลีกเลี่ยงความแออัดหนาแน่นของผู้คนในสถานที่ท่องเที่ยวหลัก ๆ อีกด้วย 4. เข้าใช้บริการสถานที่ใด อย่าลืมใช้ไทยชนะ เช็กอิน เช็กเอาท์ นอกเหนือจากการสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาแล้ว สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือไม่ว่าเราจะแวะเที่ยวสถานที่ใด ก็อย่าลืม ลงชื่อ หรือสแกนเช็กอิน-เช็กเอาท์ ผ่านแอปพลิเคชั่น “ไทยชนะ” ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญช่วยในการสอบสวนโรคได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วในกรณีที่ตรวจสอบไทม์ไลน์ย้อนหลังของผู้ติดเชื้อ เพื่อช่วยกันติดตามและควบคุมผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงสูงในการสัมผัสเชื้ออีกด้วย นอกจากนี้อย่าลืมติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างใกล้ชิด เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังสถานที่ดังกล่าว หรือหากมีความจำเป็นต้องผ่านทางจะได้เตรียมตัวรับมือได้อย่างถูกต้อง 5. เพิ่มความอุ่นใจ ซื้อประกันเดินทางในประเทศติดตัวไปด้วย นอกจากจะต้องระวังการแพร่ระบาดของโควิด-19 กันแล้ว ควรเพิ่มความอุ่นใจให้กับทริปพิเศษนี้ ด้วยการซื้อประกันภัยการเดินทางในประเทศ ที่มีความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยระหว่างเดินทาง ที่สำคัญประกันเดินทางบางแผนให้ความคุ้มครองการค่ารักษาพยาบาลกรณีติดเชื้อโควิด -19 อีกด้วย* ซึ่งก่อนการซื้อประกันเดินทาง ต้องทำความเข้าใจในเงื่อนไขความคุ้มครองก่อนทุกครั้ง และมองหาบริษัทประกันภัยที่มีความน่าเชื่อถือ และมีบริการช่วยเหลือเหลือที่ครอบคลุมเพื่อให้เราได้อุ่นใจตลอดทริปการเดินทางด้วย ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.msig-thai.com/th/lifestyle/5-%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%94-19
6 วิธีดูแลตัวเองในช่วงอากาศแปรปรวน
6 วิธีดูแลตัวเองในช่วงอากาศแปรปรวน อาการแปรปรวนอย่างรวดเร็วส่งผลให้ร่างกายเจ็บป่วย การดูแลสุขภาพในสภาพอากาศเช่นนี้ทำได้อย่างไร 1. การควบคุมอาหาร ต้องกินให้ครบ 5 หมู่ รับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ ปรุงสุกให้เรียบร้อย น้ำดื่มต้องเป็นน้ำสะอาดหรือน้ำอุ่น 2. หมั่นล้างมือให้สะอาด 3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อสร้างภูมิต้านทาน 4. ควรพักผ่อนอย่างเพียงพอ อยู่ในที่ปลอดโปร่ง อากาศถ่ายเทสะดวก 5. งดของมึนเมา งดสารเสพติด งดบุหรี่ 6. ผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรจะศึกษาข้อมูลหรือสอบถามแพทย์ผู้ดูแล เกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงในช่วงนี้ ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/gallery/6-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2/
กาแฟ
กศน.ตำบลลาดแคนำเสนอสาระน่ารู้ในหัวข้อ ดื่มกาแฟอย่างไรไม่ให้กระดูกเสื่อมดื่มกาแฟตอนเช้า บางท่านเรียกว่าขาดไม่ได้เลย ถ้าไม่ดื่มสมองจะไม่สั่งการ ทำงานไม่ได้ คิดอะไรไม่ออก . นอกจากกาแฟจะส่งผลต่อสมอง โดยมีฤทธิ์กระตุ้นให้สมองตื่นตัวแล้ว กาแฟยังทำให้นอนไม่หลับใจสั่น ปัสสาวะบ่อย ที่สำคัญ กาแฟยังส่งผลต่อกระดูกของเราด้วย . การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผลของการดื่มกาแฟที่มีต่อกระดูกมีมานานกว่า 20 ปีแล้ว โดยพบว่า “กาเฟอีน” ในกาแฟคือสาระสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อกระดูก โดยมีข้อมูลดังนี้ . 1. กาเฟอีน ทำให้เกิดการขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะและอุจจาระมากขึ้น และทำให้การดูดซึมแคลเซียมที่ลำไส้ลดลง ซึ่งภาวะดังกล่าวส่งผลให้สมดุลของแคลเซียมในร่างกายติดลบ ร่างกายจึงต้องพยายามหาแคลเซียมมาชดเชย และเนื่องจากแคลเซียมมีความสำคัญในกระบวนการทำงานของร่างกาย ไม่เพียงเฉพาะในกระบวนการสร้างกระดูกแต่ยังช่วยให้การทำงานของระบบประสาทเป็นปกติ . 2. กาเฟอีน ส่งผลโดยตรงต่อกระดูก โดยมีข้อมูลว่ากาเฟอีนจะทำให้เซลล์ที่มีหน้าที่สร้างกระดูกสลายและตายไปในที่สุด ร่างกายจึงไม่สามารถสร้างกระดูกเพิ่มได้ ประกอบกับการสลายกระดูกเพื่อรักษาสมดุลแคลเซียมเพิ่มมากขึ้นทำให้ผลรวมของกระดูกหรือมวลกระดูกลดลง . 3. กาแฟ ทำให้เกิดการหกล้มมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มกาแฟในปริมาณมากจะมีอาการใจสั่น มือสั่น กระวนกระวายเดินมาก ทำงานมาก ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเสี่ยงต่อการหกล้มและทำให้กระดูกหัก . องค์การความปลอดภัยของอาหารแห่งยุโรปให้คำแนะนำในการบริโภค กาแฟว่า ไม่ควรรับกาเฟอีนเกินวันละ 400 มิลลิกรัม และไม่ควรกินเกินครั้งละ 200 มิลลิกรัม เพราะอาจทำให้นอนหลับยาก นอนหลับไม่ลึก โดยกาแฟ 1 แก้วมีกาเฟอีนปริมาณ 60 -150 มิลลิกรัม . ดังนั้นคุณผู้หญิงทั้งหลาย หากต้องการดื่มกาแฟให้ปลอดภัยและไม่ส่งผลเสียต่อกระดูกควรดื่มไม่เกินวันละ2 แก้ว ดื่มให้น้อยที่สุด หรือดื่มเท่าที่จำเป็น เพื่อให้ตื่นหรือทำงานได้เป็นปกติ . นอกจากนี้ควรดื่มกาแฟร่วมกับการดื่มนมหรือกินอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมเพียงพอ ส่วนคุณผู้ชายแม้ไม่พบข้อมูลเกี่ยวกับผลเสียของกาแฟต่อกระดูกที่ชัดเจน แต่ก็ไม่ควรละเลยคำแนะนำเหล่านี้นะคะ . #ชีวจิต #preventionandhealing #ดื่มกาแฟ #กระดูกเสื่อม ขอบคุณข้อมูลจาก : http://oniepr.com/news_show.php?nid=241602
เคล็ด(ไม่)ลับ ดูแลสุขภาพในช่วงหน้าร้อน
ดื่มน้ำเปล่าเพื่อดับกระหาย ในช่วงอากาศที่ร้อนระอุสิ่งที่สามารถดับกระหายได้ดีที่สุดคือ น้ำเปล่า ซึ่งหาดื่มได้ง่ายและเป็นสิ่งที่ร่างกายต้องการ สำหรับการดื่มน้ำในช่วงหน้าร้อนนั้น ไม่ควรดื่มน้ำทีละมากๆ แต่ให้จิบไปเรื่อยๆ ระหว่างวัน ซึ่งปริมาณที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับกิจกรรมในวันนั้นๆ และไม่ควรกินน้ำแข็งหรือดื่มน้ำเย็นจัด เพราะน้ำเย็นปริมาณมากจะไปเจือจางน้ำย่อย ส่งผลให้เลือดที่มาหล่อเลี้ยงกระเพาะอาหารทำการย่อยได้น้อยลง และก่อให้เกิดโรคกระเพาะลำไส้อักเสบได้ง่าย นอกจากนั้นน้ำแข็งที่ไม่สะอาด ก็มีส่วนทำให้เกิดท้องร่วงท้องเสียอีกด้วย หาผลไม้กินแก้ร้อน กินผลไม้ที่มีคุณสมบัติเย็น ขับร้อน และเพิ่มน้ำในร่างกาย เช่น แตงโม ส้ม สับปะรด เป็นต้น เพราะผลไม้เหล่านี้ช่วยดับกระหายและทำให้สดชื่นได้ แถมยังมีส่วนช่วยต้านอนุมูลอิสระ แต่แนะนำว่าผลไม้ไม่ควรแช่เย็นจัด หรือกินในตอนกลางคืน รวมถึงกินในขณะที่ท้องว่างและเวลาหิวจัด หลีกเลี่ยงการออกแดดจัด และทาครีมกันแดดป้องกันผิว อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องระวังในช่วงฤดูร้อนก็คือรังสียูวี เพราะความเข้มข้นของรังสียูวีในประเทศไทย ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม นับว่าร้อนมาก ฉะนั้นควรงดทำงานหนักกลางแจ้ง และเลี่ยงที่ต้องเจอกับแดดจัด เพราะอากาศร้อนจะทำให้อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น อาจมีผลทำให้เป็นลมแดดและถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว นอกจากนี้ก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง ควรทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากรังสียูวีด้วย หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่เสี่ยง ทำให้เกิดอาการท้องร่วงท้องเสีย หน้าร้อนอาหารจะบูดเสียง่าย เนื่องจากเชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดีในอากาศร้อนชื้น ดังนั้นจึงควรจะระมัดระวังเรื่องการกิน เช่น กินอาหารที่ทำสุกใหม่ๆ ไม่กินอาหารที่ค้างคืน หลีกเลี่ยงอาหารประเภทกะทิ ยำ ส้มตำ และของหมักดอง เพราะเสี่ยงทำให้เกิดอาการท้องเสียท้องร่วงได้ เลือกใส่เสื้อผ้าที่ดูดซับเหงื่อและระบายความร้อนได้ดี แน่นอนว่าในช่วงหน้าร้อนจะต้องใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสมตามสภาพอากาศ ดังนั้นควรเลือกเสื้อผ้าที่สามารถดูดซับเหงื่อและระบายความร้อนได้ดีมาใส่ แต่ในผู้หญิงตั้งครรภ์การสวมใส่เสื้อผ้าจะต้องมิดชิด และเพื่อป้องกันการกระทบความเย็น จึงควรหลีกเลี่ยงการเปิดพัดลมใส่โดยตรง ขณะเดียวกันต้องป้องกันความร้อนอบอ้าวด้วย การระบายอากาศในห้องจึงต้องดี อย่าลืมพักผ่อนให้เพียงพอ โดยธรรมชาติของฤดูร้อน กลางวันจะยาวกลางคืนจะสั้น (คนทั่วไปที่ไม่ได้นอนในห้องปรับอากาศ กว่าอากาศจะเย็นแล้วนอนหลับได้ก็มักจะดึก) จึงเป็นสาเหตุทำให้ได้นอนน้อยกว่าปกติ ดังนั้นการได้พักผ่อนนอนหลับในช่วงกลางวันบ้าง ก็ถือเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอยู่ไม่น้อย แต่สำหรับผู้ที่ทำงานในที่ทำงาน คงจะนอนหลับกลางวันไม่สะดวก อาจใช้วิธีนั่งพิงพนักตัวตรง หลับตา สงบนิ่งๆ ในช่วงกลางวันก็ได้ ขอขอบคุณภาพ :iStock ขอบคุณข้อมูลจาก: https://www.sanook.com/health/15057/
ไม่อยากให้ลูกติดโควิด พ่อแม่ต้องเพิ่มความระวังอะไรบ้าง
ไม่อยากให้ลูกติดโควิด พ่อแม่ต้องเพิ่มความระวังอะไรบ้าง 1. รีบอาบน้ำทันทีเมื่อกลับถึงบ้าน เวลาคุณพ่อคุณแม่ออกไปทำงาน มีความเป็นไปได้ที่เชื้อโรคต่างๆ อาจติดมาตามเสื้อผ้า และร่างกาย ดังนั้นเมื่อกลับถึงบ้านคุณพ่อคุณแม่ควรรีบไปล้างมือ ล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า หรือทางที่ดีควรอาบน้ำก่อนไปสัมผัสใกล้ชิดลูก เพื่อป้องกันการนำเชื้อโรคไปติดลูก 2. ไม่เป่าอาหารให้ลูก เนื่องจากเชื้อโควิด-19 สามารถแพร่เชื้อผ่านละอองฝอยของน้ำมูก น้ำลาย ดังนั้นเวลาที่พ่อแม่เป่าอาหารให้ลูก จึงมีความเสี่ยงที่เชื้อโรคต่างๆ จะปนเปื้อนในอาหารของลูก ทางที่ดีควรรอให้อาหารร้อนน้อยลง ก่อนที่จะป้อนให้ลูก 3.ใช้ช้อนกลางเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ เวลากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นช่วงเวลาสุขสันต์ของครอบครัว บางครั้งคุณพ่อ คุณแม่อาจเผลอใช้ช้อนส้อมตักอาหารให้กัน ซึ่งการทำเช่นนี้เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคต่างๆ ให้กัน ดังนั้นควรใช้ช้อนกลาง นอกจากเพื่อสุขอนามัย ยังเป็นการสอนนิสัยที่ดีให้แก่ลูกอีกด้วย 4.หมั่นทำความสะอาดของเล่นลูกอย่างสม่ำเสมอ เด็กๆ มักไม่ค่อยระวังตัวเอง หยิบจับสิ่งต่างๆ มาเล่นแล้วมักใช้มือมาสัมผัสใบหน้า ซึ่งเป็นพฤติกรรมเสี่ยงต่อการรับเชื้อ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นทำความสะอาดของเล่นให้ลูก ที่มา: www.thairath.co.th ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.student.co.th/index.php/knowledge/25198
10 เรื่องที่ควรจะรู้เกี่ยวกับวันวาเลนไทน์
1. วันวาเลนไทน์เกิดขึ้นระลึกถึงนักบุญเซนต์วาเลนไทน์ (Saint Valentine) ผู้รับโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 เพราะในยุคนั้นมีกฏหมายห้ามไม่ให้มีแต่งงานของพวกคริสเตียน แต่เซนต์วาเลนไทน์ยังแอบจัดงานแต่งงานให้กับคู่รักคริสเตียนจนถูกจับขังและรับโทษ โดยในขณะที่ถูกคุมขังนั้น เขาก็พบรักกับสาวตาบอดซึ่งเป็นลูกสาวของผู้คุม ด้วยความรักและคำอธิษฐานของเขา พระเจ้าได้ทรงโปรดให้ตาของสาวคนรักหายเป็นปกติ แต่เมื่อความนี้ล่วงรู้ถึงหูกษัตริย์ เซนต์วาเลนไทน์จึงถูกประหารชีวิตด้วยการตัดศรีษะ ต่อมาเมื่อคนทั่วไปทราบเรื่องราวจึงเกิดความประทับใจและยึดถือเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น วันแห่งความรัก นั่นเอง 2. คนที่ฟ้าส่งมาให้รักเรามากที่สุดคือ พ่อแม่ เป็นรักไม่มีวันหมดอายุ ไม่มีเงื่อนไข เพราะต่อให้เราอ้วน น่าเกลียด พิการ ทำตัวงี่เง่ายังไง พ่อแม่ก็ยังรักและพร้อมจะเสียสละเพื่อเราเสมอ ดังนั้นในวันวาเลนไทน์ จึงอยากใหคุณๆ ทำดีต่อคุณพ่อคุณแม่ให้มากๆ นะคะ 3. คนที่ไม่มีแฟนไม่ใช่คนอาภัพน่าสงสารในวันวาเลนไทน์ เพราะคนโสดก็มีความรักได้ และคนที่น่าสงสารที่สุดก็คือคนที่ไม่มีความรักในหัวใจต่างหากล่ะ อีกอย่าง…คนที่มีแฟน แต่แฟนห่วยแตก ชีวิตเหมือนถูกขังให้ทรมานไปวันๆ น่าสงสารกว่าคนโสดเป็นไหนๆ 4. จากการสำรวจพบว่าในวัยเรียน เด็กคอซอง ..คนที่ให้ของขวัญบอกรักกันมากที่สุดในวันวาเลนไทน์ ไม่ใช่ คู่รัก แต่เป็น เพื่อน ดังนั้นอย่าเครียดไปเลยที่แม้ว่าจะยังไม่มีแฟนมาควงแขนอวดใครในวันวาเลนไทน์ เพราะถึงยังไง เราก็ยังมีเพื่อนมากมายที่มอบความรักต่อกันได้อยู่นะ 5. กุหลาบราคาแพงไม่ได้แสดงว่าเค้ารักเรามากจริงๆ ดังนั้นอย่าไปเชื่อคำพูดของใครว่า รักเรามาก เพียงเพราะเค้าให้ดอกกุหลาบราคาแพงหูฉี่ เรื่องแบบนี้อยู่ที่ใจล้วนๆ 6. ครูที่ปรึกษาหลายท่านร้องไห้ด้วยความทราบซึ้ง เมื่อลูกศิษย์ประจำห้องมอบดอกกุหลาบวันวาเลนไทน์ให้ท่านคนละดอก ลองวางแผนเซอร์ไพร้ส์ครูดูไหมล่ะ ให้เพื่อนๆ เอาดอกไม้ไปไหว้ครูพร้อมๆ กัน ได้เห็นครูน้ำตาร่วงเพราะซึ้งใจชัวร์ดิ 7. เมื่อเธอมองรอบตัว จะพบสิ่งมีชีวิตเป็นผู้ให้ความรักแก่พวกเขา มีเมตตาแก่พวกเขาดู แล้วเธอจะเต็มอิ่มไปด้วยรักในหัวใจ 8. คนที่ได้ดอกกุหลาบมากที่สุด ไม่ได้หมายความว่าคนๆ นั้นจะมีความรักที่น่าอิจฉาที่สุด ตรงกันข้าม คนที่ไม่ได้ของขวัญวาเลนไทน์ซักชิ้น อาจจะมีรักที่น่าอิจฉาที่สุดเลยก็เป็นได้ 9. ของขวัญวาเลนไทน์ที่มีค่าที่สุด อาจลงทุนน้อยที่สุด เช่น การ์ดที่ตั้งใจทำกับมือ ดาวกระดาษที่พับมาเป็นเดือนๆ หรือของราคาถูกแต่ตั้งใจหาซื้อมาด้วยใจ เพราะฉะนั้น อย่าตีค่าความรักของใครด้วยราคาของขวัญที่เค้าให้ เราดูที่การกระทำดีกว่านะ ก็มีค่ายิ่งใหญ่สุดๆ แล้ว 10. เดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นเดือนแห่งความรัก กลับเป็นเดือนที่มีวันน้อยที่สุดของปี บอกให้เรารู้ว่า ความรักจะสั้นหรือยาวไม่ได้อยู่ที่วันเวลาที่คบกันมา แต่อยู่ที่การทำทุกนาทีให้มีค่าร่วมกันนะจ๊ะ ที่มา: https://teen.mthai.com/love/67512.html ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.student.co.th/index.php/knowledge/28138