-
สาระน่ารู้
หน้าแรก
สาระน่ารู้
พบข้อมูลจำนวน 121 รายการ แสดงผลอยู่ที่ 9/11 หน้า
จัดซื้อจัดจ้าง
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2568 งวดที่ 1 เดือนตุลาคม - ธันวาคม 2567
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2567 งวดที่ 2 เดือนเมษายน - มิถุนายน 2567
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2567 งวดที่ 3 เดือนกรกฏาคม - กันยายน 2567
-
ประกาศเผยแพร่แผนการจัดซื้อจัดจ้าง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 โครงการก่อสร้างอาคารเรียนระดับประถมศึกษาพร้อมปรับภูมิทัศน์ ภายใน
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2566 งวดที่ 1 เดือนตุลาคม 2565 - มีนาคม 2566
ค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์
ปฎิทินกิจกรรม
ท่านคิดว่า อบจ.ระยอง ควรเน้นหนักแก้ไขปัญหาในเรื่องใดเป็นอันดับแรก
- ปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค โหวต
- แก้ไขปัญหายาเสพติด โหวต
- แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โหวต
- แก้ไขปัญหาน้ำท่วม โหวต
- ราคาผลผลิตภาคการเกษตร โหวต
สถิติผู้เข้าชมเว็บไซต์
- กำลังใช้งาน 104 คน
- ผู้เข้าชมวันนี้ 2,333 คน
- ผู้เข้าชมทั้งหมด 20,402,908 คน
แปลภาษา

วิธีเซ็นสำเนาบัตรประชาชนให้ปลอดภัย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.kapook.com
สาระน่ารู้เรื่องผลไม้
มะเขือเทศ มีวิตามินเอและซี ที่มีสรรพคุณช่วยต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และช่วยเสริมสร้างความสดใสให้แก่ผิวพรรณ และยังช่วยให้ระบบการหมุนเวียนเลือดดีขึ้น เสาวรส ผลเสาวรส มีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิต ลดไขมันในเส้นเลือด เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย คลายร้อน และป้องกันไข้หวัดได้เป็นอย่างดี ลิ้นจี่ มีวิตามินบี1 และบี2 และวิตามินซี มีสรรพคุณช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด ช่วยย่อยอาหาร ช่วยบำรุงม้าม บำรุงอวัยวะภายใน บำรุงระบบประสาท และยังแก้อาการท้องเดินได้อีกด้วย ฝรั่ง มีวิตามินซี ที่มีสรรพคุณชะลอการลุกลามของมะเร็ง ช่วยสร้างและบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพันทำให้แผลหายเร็ว ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ช่วยลดสารพิษในร่างกาย หากรับประทานเป็นประจำจะทำให้ผิวพรรณสดใส บ๊วย มีสรรพคุณช่วยคลายร้อน เพิ่มกำลัง บรรเทาอาการเหนื่อยอ่อนเพลีย และช่วยเสริมระบบการย่อยอาหาร ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย หากดื่มน้ำบ้วยเป็นประจำ ยังจะช่วยป้องกันโรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารได้อีกด้วย เห็ดหลินจือ มีสรรพคุณช่วยสร้างภูมิต้านทานโรคมะเร็ง บำรุงตับ บำรุงสมองและระบบประสาท ทำให้ระบบการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้นเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องหลอด เลือดแข็งตัว เส้นเลือดอุดตัน น้ำตาลในเลือด คอเลสเตอรอลและความดันโลหิตสูง น้ำผึ้ง เป็นยาอายุวัฒนะและชะลอความแก่ เป็นอาหารเสริมบำรุงร่างกายให้แข็งแรง สดชื่นอยู่เสมอ ช่วยเสริมสร้างวิตามิน และแร่ธาตุที่ร่างกายขาดไป ช่วยให้ระบบการย่อยและขับถ่ายดีขึ้น ตะไคร้ มีสรรพคุณ ช่วยบำรุงสายตา มีแคลเซียมและฟอสฟอรัส ที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ลดพิษของสารแปลกปลอมในร่างกายและยังช่วยลดความดันโลหิตสูงได้อีกด้วย ขิง มีสรรพคุณช่วยให้เจริญอาหาร และทำให้ร่างกายอบอุ่น รักษาไข้หวัด รักษาอาการไอ ขับเสมหะ และยังช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้ออีกด้วย รักษาอาการปวดประจำเดือนในช่วงก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน ใบเตย มีสรรพคุณช่วยลดอาการกระหายน้ำ ทำให้ชุ่มคอ รู้สึกสดชื่น และยังเป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ในผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ ถั่วเหลือง มีสรรพคุณในการช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ ช่วยลดและป้องกันโรคมะเร็งเต้านม ช่วยป้องกันและแก้ไขโรคหัวใจ ช่วยป้องกันโรคระบบทางเดินอาหาร เนื่องจากเป็นอาหารที่ไม่มีโคเลสเตอรอล และมีใยอาหารสูง ลำไย เป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณช่วยในการบำรุงหัวใจ ระบบประสาท และระบบย่อยอาหาร นอกจากนี้ยังช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และใช้บำรุงร่างกายของสตรีภายหลังจากการคลอดบุตร มะเม่า อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารที่มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้าน อนุมูลอิสระ ป้องกันการแก่ชราของเซลล์ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และยังช่วยขับปัสสาวะ บำรุงไต แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย มังคุด สาร Xanthone ในเปลือกมังคุด ซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีผลต่อการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งต่าง ๆ นอกจากนี้ในเปลือกมังคุดยังมีสาร แทนนิน ที่มีคุณสมบัติช่วยในการสมานแผล และยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้อีกด้วย มะม่วง ช่วยละลายเสมหะ แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน และยังช่วยให้เลือดลมและประจำเดือนของสตรีเป็นปกติ หากรับประทานมะม่วงสดเป็นประจำแล้วก็จะช่วยทำให้อาการไอ หอบ มีเสมหะ หรือมีเลือดออกตามไรฟันบรรเทาลงไปได้ มะละกอ มีสรรพคุณในการต่อต้านการเกิดของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือด ขาวได้เป็นอย่างดี และยังช่วยบำรุงอวัยวะภายในต่าง ๆ ของมนุษย์ เช่น ม้าม และกระเพาะอาหาร ช่วยในการย่อยอาหาร และยังช่วยทำให้ผิวพรรณดี อีกด้วย สตรอเบอร์รี่ มีวิตามิน ซี อยู่เป็นจำนวนมาก มีสรรพคุณที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดอุดตัน โรคหวัดและโรคภูมิแพ้ ช่วยทำให้ระบบการดูดซึมอาหารของร่างกายดียิ่งขึ้น ลดอาการท้องผูก ช่วยให้เจริญอาหาร สับปะรด มีปริมาณของวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยไฟเบอร์ที่มีอยู่มากมาย มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหาร เสริมสร้างการดูดซึมอาหารของร่างกาย การลดความร้อนของร่างกายและยังช่วยแก้กระหาย หากรับประทานสับปะรดเป็นประจำแล้ว จะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคไตอักเสบ และโรคความดันโลหิตสูงได้อีกด้วย กระเจี๊ยบ มีสรรพคุณในการช่วยรักษาอาการร้อนในภายในช่องปาก ลดปริมาณของไขมันในเส้นเลือด ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ช่วยลดระดับของความดันโลหิตภายในร่างกายให้กลับเข้าสู่ระดับปกติ และยังช่วยลดอาการอ่อนเพลียได้อีกด้วย มัลเบอร์รี่ หรือ หม่อน มีสรรพคุณที่สามารถต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง ผู้ที่รับประทานเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งได้ และยังช่วยบำรุงไตให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข่วยบำรุงโลหิต บำรุงประสาทตา ทำให้สายตาแจ่มใส ร่างกายก็สุขสบาย ลูกพลับ มีโพแทสเซียมสูง และมีวิตามินซีสูง มีสรรพคุณช่วยให้หายอ่อนเพลีย บรรเทาอาการร้อนใน เจ็บคอ คอแห้ง เป็นแผลในปาก ละลายเสมหะ และบำรุงปอด นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการท้องเดินได้อีกด้วย กล้วยหอม มีวิตามินบีสูง มีสรรพคุณช่วยลดความเครียด ความอ่อนล้า ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใส ในกล้วยหอมจะมีเส้นใยอาหารช่วยทำให้ระบบขับถ่ายในร่างกาย ทำงานได้ดี และยังช่วยให้การย่อยอาหารของลำไส้เล็กดีขึ้นได้ แก้วมังกร มีสารอาหารหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แคลเซียม แมกนีเซียม วิตามินซี และมีเส้นใย มีสรรพคุณช่วยลดโคเลสเตอรอล ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ ลดความดันโลหิต ควบคุมน้ำหนัก แก้ท้องผูก ป้องกันมะเร็งสำไส้ใหญ่และช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น
รักษาแผลและแก้รองเท้ากัด
รองเท้ากัดเป็นปัญหาที่พบบ่อยและเป็นความทุกข์ใจเพราะ ส่วนมาก เพราะมักจะเป็นรองเท้าคู่ใหม่ที่เราชอบหรือว่าพึ่งซื้อมานั้นกลับทำให้เท้า เราเจ็บ ในบางครั้งการที่รองเท้ากัดนั้นจะทำให้เกิดเป็นแผลที่มีขนาดใหญ่หากมีเชื้อ โรคเข้าไปก็จะทำให้ติดเชื้อและอักเสบตามมาได้และเมื่อเป็นแผลก็ไม่สามารถใส่ รองเท้าอื่นได้ ปัญหานี้เจอกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเพราะว่าผู้หญิงนั้นมักเปลี่ยนรองเท้า บ่อยและยังเป็นรองเท้าส้นสูงอีกด้วย แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วแผลที่เป็นจะหายช้าเราจึงมีวิธีในการรักษาด้วยธรรมชาติ ทำให้แผลที่เป็นนั้นหายเร็วได้ 1.น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะพร้าวที่ขายตามท้องตลาดช่วยลดอาการรองเท้ากัดได้ด้วย น้ำมันในมะพร้าวจะรักษาผิวของเรา และจะช่วยลดอาการอักเสบของแผลทำให้ลดอาการปวดแสบปวดร้อนของแผลรองเท้ากัด ได้ โดยการนำน้ำมันมะพร้าวผสมกับการบูรใช้ทาที่บริเวณรองเท้ากัดวันละ 2 ครั้ง จะทำให้อาการเจ็บปวดลดลงได้ 2.น้ำผึ้ง น้ำผึ้งมีประสิทธิภาพในการรักษาแผลที่เกิดจากร้องเท้ากัดได้สามารถสมานแผล ที่ซ้ำหรือว่าลอกได้ดี ลดอาการเจ็บและแสบได้ควรใช้น้ำผึ้งที่ได้จากธรรมชาติจะดีที่สุด ใช้น้ำผึ้งผสมกับน้ำมันงาอย่างละส่วนให้เท่ากันใช้ทาบริเวณที่รองเท้ากัดจาก นั้นก็ล้างด้วยน้ำอุ่น ทำวันละสองครั้งจนกว่าจะหาย หรือใช้น้ำผึ้งอย่างเดียวทาวันละ 3 ครั้ง 3.แป้งข้าวจ้าว แป้งข้าวจ้าวสามารถที่จะขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่าย ซึ่งทำความสะอาดและเป็นการผลัดเซลล์ที่แผลได้ดี ผสมน้ำกับแป้งข้าวจ้าวให้พอกบริเวณที่รองเท้ากัดโดยการพอกเป็นเวลา 15 นาทีหรือว่าจนกว่าแผลจะแห้ง แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นทำซ้ำวันละ 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์จนกว่าแผลจะหาย 4.ว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติบรรเทาอาการอักแสบและการปวดแสบปวดร้อนได้เป็นอย่างดี สามารถรักษาแผลที่เกิดจากรองเท้ากัดได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นยังช่วยไม่ให้เกิดอาการติดเชื้ออีกด้วย ใช้เจลว่านหางจระเข้ทางบริเวณที่รองเท้ากัดหรือว่าใช้ว่านหางจระเข้ที่สดๆทา ไว้จนกว่าจะเหนี่ยวแล้วรอให้แห้ง ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำซ้ำวันละ 3 – 4 ครั้ง 5.น้ำแข็ง น้ำแข็งรักษาอาการปวดแสบปวดร้อนได้ดี นำน้ำแข็งมางานไว้บริเวณที่ถูกรองเท้ากัดโดยทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที สามารถที่จะทำได้วันละหลายครั้งตามต้องการ 6.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์สามารถที่จะฆ่าเชื้อโรคได้และลดอาการระคายเคืองลด อาการติดเชื้อได้อีกด้วย ใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หยดลงไปที่สำลีในปริมาณที่เล็กน้อย ถูบนบริเวณที่รองเท้ากัดให้ทาบ่อยๆต่อวัน 7.ยาสีฟัน ยาสีฟันสามารถที่จะทำให้แผลที่โดนรองเท้ากัดนั้นแห้งได้ง่าย เพราะยาสีฟันมีส่วนผสมของสารที่ใช้ลดอาการปวดแสบปวดร้อนได้และทำให้แผลแห้ง ใช้เพียงเล็กน้อยทาที่บาดแผลทิ้งไว้ 2 ชั่วโมง ทำความสะอาดด้วยการเช็ดออกใช้วาสลีนทาอีกครั้ง ทำทุกวันจนกว่าแผลจะหาย 8.มะนาว มะนาวที่มีรสเปรี้ยวตามธรรมชาติมียาฆ่าเชื้อโรคและลดอาการคัน รักษาในเรื่องของแผลเป็นได้ ใช้สำลีโดยการบีบมะนาวลงไปในสำลีก่อนแล้วจึงค่อยนำไปเช็ดที่แผล รอให้แห้งแล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่นใช้วิธีการนี้วันละ 2 – 3 ครั้ง เคล็ดลับในการป้องกันรองเท้ากัด 1.เลือกรองเท้าคู่ใหม่ให้เลือกรองเท้าที่มีคุณภาพไม่ว่าจะเป็นวัสดุหรือว่าน้ำหนักให้พอดี สวมใส่สบาย 2.ควรเลือกรองเท้าที่ใส่แล้วพอดีไม่คับหรือว่าหลวมไป 3.ก่อนที่จะแน่ใจการเลือกรองเท้าควรเลือกแล้วทดลองเดินไปรอบๆ เพื่อดูความพอดีในการส่วนใส่ให้เหมาะสม 4.ใช้น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันมะพร้าวในบริเวณที่เกิดรองเท้ากัด โดยทาที่รองเท้า 3 วันติดต่อกันก่อนที่เราจะน้ำมาใส่ 5.หาแผลที่รองเท้ากัดที่มีขนาดใหญ่หรือว่าหายช้าควรไปพบแพทย์เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ตำรายาจีนโบราณ
ในตำรายาจีนโบราณได้ใช้รากของหน่อไม้ฝรั่งใช้รักษา เกี่ยวกับข้ออักเสบ แลอาการของคนที่มีบุตรยากโดยทางการแพทย์แล้วในหน่อยไม่ฝรั่ง ไกลโดไซด์เตียรอยด์ที่อยู่ในรากของหน่อไม้ฝรั่งจะช่วยลดอาการอักเสบ นอกจากนั้นในหน่อยไม้ฝรั่งมีสารอาหารที่สำคัญ เช่น กรดโฟลิก วิตามินซี โพแทสเซียม เบต้าแคโรทีน ไกรโฟลิก ซึ่งสารเหล่านี้ช่วยในการป้องกันมะเร็งในที่ต่างๆ อย่างเช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ และโรคเกี่ยวกับหัวใจได้ด้วย ช่วยรักษาความดันให้ปกติ ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ต้านไวรัสบางชนิดในการทดลองพบว่าเป้ฯยาขับปัสสาวะและเป็นพืชทางเศรษฐกิจที่ สำคัญด้วย เราสามารถนำมาปรุงอาหารได้หลายชนิด ทั้ง ผัด ต้น แต่การที่จะเก็บและการเลือกหน่อไม้ฝรั่งมีเทคนิคต่างๆคือ การเลือกหน่อยไม้ฝรั่ง ควรเลือกในฤดูกาลของหน่อไม้ฝรั่งเพราะจะได้ราคาถูกและยังสดอีกด้วย ไม่ว่าคุณจะชอบที่อ่อนหรือว่ามีแก่บ้างเล็กน้อยแล้วแต่คนชอบแต่ควรเลือดสดๆ เก็บใหม่ๆ เพราะยิ่งไว้นานจะทำให้สูญเสียรสชาติและสารอาหารได้ ดูจากข้อของก้านจะพบว่าอายุของมันมากน้อยเท่าไหร่ หากแห้งเหี่ยวแสดงว่าเก็บไว้นานแล้ว ก้านที่ควรจะเลือกต้องมีความสม่ำเสมอกัน การเก็บหน่อไม้ฝรั่ง หน่อไม้ฝรั่งสามารถที่จะเก็บไว้ได้นาน 2 – 3 วันโดยการใส่ถุงและปิดปากถุงให้สนิทไม่ให้อากาศเข้านำไปแช่ที่ตู้เย็นแต่ควร ให้ก้านตรงโดยวางแนวนอนไม่ควรวางตั้งขึ้น หากต้องการเก็บไว้ได้นานกว่าให้ทำการแช่แข็งจะเก็บไว้นานขึ้น 5 – 6 วัน หากต้องการเก็บรักษาไว้นานสามารถใช้วิธีอื่นอย่างเช่นการดอง การต้มหรือว่าการลวก แต่จะทำให้รสชาติเสียไป และหากจาลวกหรือนึ่งเสร็จจะต้องเก็บไว้ในถึงแช่เย็นเช่นกัน การลวก การที่จะลวกให้ได้รสชาติคงเดิมให้มากที่สุดสามารถทำด้วยการต้มน้ำให้เดือด แล้วนำหน่อไม้ฝรั่งลวกลงไป 2 – 5 นาทีแล้วแต่ก้านแก่หรืออ่อนหรือจะให้ซีดพอประมาณ เมื่อได้ที่แล้วให้นำไปแช่ในน้ำเย็น เมื่อเย็นแล้วไปสะเด็ดน้ำให้แห้ง สามารถนำมารับประทานกับน้ำพริกหรือว่าไปแช่เย็นจะได้เก็บไว้ได้นาน การนึ่ง ให้ใช้ซึ้ง หรือว่าอย่างอื่นสำหรับนึ่งให้รอน้ำเดือดพอประมาณแล้วให้นำหน่อไม้ฝั่งใส่ ที่ไอน้ำปิดฝารอประมาณ 3 – 6 นาที หลังจากนั้นก็นำมาแช่น้ำเย็นปล่อยให้เย็นแล้วนำไปสะเด็ดน้ำออก การลวกการนึ่งสามารถเก็บไว้ได้นานแต่จะสูญเสียคุณภาพได้ หน่อไม้ฝรั่งควรปลอกเปลือกหรือไม่ หลายคนมักจะปลอกเปลือกตามจริงแล้วควรจะคงสภาพไว้ไม่ปลอกจะดีที่สุด แต่ในบางครั้งมันแก่ก็ปลอกได้เพราะว่าจะเคี่ยวได้ง่ายแต่หากต้องการปลอกจริง ควรปลอกเฉพาะโคลนของก้านหรือว่าเลือกก้านอ่อนจะได้ไม้ต้องปลอก ทำไมหน่อไม้ฝรั่งปลายเป็นสีเขียวโคลนเป็นสีขาว ในสายพันธุ์จะเป็นสีขาวทั้งก้านส่วนบ้านเรามักจะเป็นสีเขียวโคลนสีขาว ที่สีเขียวเพราะว่ามีโคลโลฟิลที่ใช้ในการสังเคราะห์แสงเพื่อสร้างอาหารให้ กับต้นมันเองและทำการสะสมไว้ที่โคลนก้าน โคลนก้านเลยเป็นสีขาวเพราะไว้สำหรับสะสมอาหารอย่างเดียวไม่จำเป็นที่จะ สังเคราะห์แสง ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.krabork.com
เล็บบอกโรคอย่างไร
รคเกือบทุกโรคมักเกิดจากความผิดปกติของร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งละไปกระทบ อีกส่วนหนึ่งได้ แล้วยังมีอวัยวะบางส่วนที่ส่งผลกระทบถึงกันได้ด้วย แต่ก็มีหลายโรคที่เชื่อมต่อด้วยกันอย่างเช่นเล็บที่สามารถบอกถึงความผิดปกติ ของร่างกายได้บางอย่าง อย่างเช่นโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ และยังมีโรคอีกมากที่เล็บสามารถบอกความผิดปกติเกราะมีความเชื่อมโยงกัน การขาดสารอาหารบางอย่างมีผลกระทบกับเล็กได้อย่างเช่นแร่ธาตุและวิตามิน ดังนั้นแล้วการที่เล็บของเรามีความผิดปกติก็บ่งบอกจึงอาการของโรคที่จะตามมา ได้เราควรที่จะดูแลเล็บของตัวเองบ่อยๆ ความผิดปกติของต่อมไทยรอยด์ เช่นไฮเปอร์ไทรอยดิลิซึม หรือไฮไทยนอยลิซึม มีการเชื่อมโยงกับเล็บและต่อมไทรอยด์ มักจะเกิดขึ้นกับเล็บมือจะเป็นนิ้วกลางและนิ้วก้อย เล็บจะมีลักษณะโกรงตัวขึ้นออกจากนิ้วมือ ซึ่งส่งผลทำให้สิ่งสกปรกและแบคทีเรียเข้าไปในเล็บได้ง่ายด้วย หัวใจและหลอดเลือด ปัญหาทั้งหลายเกี่ยวกับหัวใจเช่น ความดันผิดปกติ มีคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โดยเล็บสามารถบอกถึงความผิดปกติ จะเป็นเส้นเลือดสีแดงอยู่ในเล็บหรือจะเป็นเศษเลือดภายในเล็บ หรือเล็บนุ่มไม่แข็งแรงเหมือนเก่า ความเครียด มีการพบว่าคนจำนวนไม่น้อยเครียดแล้วจะกัดแทะเล็บตัวเอง ซึ่งจะทำให้เล็บฉีกอาจเหมือนจะไม่ร้ายแรงแต่สามารถนำเชื้อโรคเข้าไปในเล็บ ได้ง่ายขึ้น ทำให้เล็บติดเชื้อต่างๆตามาได้หากพบว่าคนใกล้ตัวเรากัดเล็บควรที่จะนำไปพบ แพทย์เพื่อตรวจสอบสภาพจิตใจว่ามีความเครียดสูงหรือให้ผ่อนคลายบ้าง โรคเบาหวาน เล็บจะเห็นสีเหลืองมีแนวโน้มที่จะเกี่ยวข้องกับการเป็นเบาหวาน โดยจะเหลืองทั้งเล็บและนิ้วมือ แต่จะเห็นได้ชัดเจนที่เล็บ เนื่องจากระดับน้ำตาลมีส่วนเกี่ยวกับกับโปรตีนในเล็บ หากพบว่ามีเล็บที่เหลืองมากกว่าผิดปกติหรือว่าเป็นบากแผลแล้วหายช้า กระหายน้ำบ่อยควรไปพบแพทย์ โรคข้ออักเสบ โรคเกี่ยวกับข้ออักเสบ มักเกี่ยวข้องกับเล็บด้วยเพราะว่าการขาดแคลเซียมและโปรตีนมีผลต่อทั้งเล็บ และกระดูก ทำให้เล็บหักง่าย ฉีกง่าย เปราะบาง โรคสะเก็ดเงิน เล็บจะเหลืองและมีผิวที่ไม่สม่ำเสมอจะเป็นหลุมลงไป โภชนาการบกพร่อง เล็บสามารถบอกได้ว่าร่างกายของเราขาดสารได้บางตัว หากต้องการเล็บสวยต้องรับประทานอาหารที่มีโอเมก้า 3 ไขมัน โปรตีน และเหล็ก หากเล็บซีดและสีขาว มักพบกับคนที่ขาดธาตุเหล็กเป็นโลหิตจาง และได้รับโปรตีนที่น้อยนอกจากนั้นยังพบว่าโรคขาดสารอาหารบางอย่างเหล่านี้จะ ทำให้เล็บมีรูปร่างที่ผิดปกติด้วย การติดเชื้อ เล็บเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ปลายนิ้วจะทำให้สัมผัสเชื้อโรคได้ง่าย โดยจะมีลักษณะสีแดงมีอาการคันที่รอบเล็บ เล็บเท้ามีความเสี่ยงในการติดเชื้อมากส่วนมากจะเป็นเชื้อรา แบคทีเรีย ถึงแม้จะเป็นแค่ที่เล็บแค่ยังบ่งบอกจึงภูมิคุ้มกันอ่อนแอด้วย เชื้อแบคทีเรียทำให้เล็บไม่น่าดูและหลุดออกมาง่ายหากมีรักษาอาจจะเปลี่ยนรูป ไปตลอด เพิ่มเติม ป้องกันเล็บติดเชื้อ สวมถุงมือเมื่อต้องนำมือไปสัมผัสสิ่งของสกปรก อย่างเช่นทำความสะอาด ทำสวน ทำการตัดเล็บให้สั้นพอไม่มากไม่น้อยอย่างสม่ำเสมอ อย่างทำการฉีกเล็บหากพบว่าเล็บฉีกให้ตัดออก เมื่อเล็บแห้งใช้ครีมหรือน้ำมันทาเล็บเพื่อให้เล็บชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีที่รุนแรง ให้ล้างมือด้วยสบู่ที่อ่อนไม่ควรใช้สบู่ที่รุนแรง
ประโยชน์ของผักแต่ละสี
ผัก 5 สีมีดีอะไร ผักเป็นอาหารมากคุณค่า อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระนานาชนิดอย่างไร ผักเป็นอาหารมากคุณค่า อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระนานาชนิด ช่วยปกป้องเราจากโรคร้ายต่างๆ ผักที่เรากินทุกวันนี้แบ่งได้ 5 กลุ่มใหญ่ๆ ตามเม็ดสี ซึ่งให้คุณประโยชน์แตกต่างกันไป เราจึงควรกินผักให้ได้หลากหลายสีในแต่ละวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับคุณค่าสารอาหารเต็มที่ ผักสีแดง เช่น พริกแดง มะเขือเทศ เกิดจากเม็ดสีในกลุ่ม ไลโคฟีน ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างการ ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมอง ผักสีส้ม + สีเหลือง มาจากเม็ดสีกลุ่ม แคโรทีนอยด์ วิตามินเอ วิตามินซี ช่วยบำรุงสายตาทำให้มองเห็นได้มีในตอนกลางคืน ป้องกันโรคต้อกระจก บำรุงหัวใจและหลอดเลือด ผักสีส้มและสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอท ผักสีเขียว เช่น ผักใบเขียวต่างๆ มาจากกลุ่มเม็ดสีที่ชื่อว่า คลอโรฟิลล์ และสารประเภทอื่นๆ ซึ่งช่วยปกป้องดีเอ็มเอไม่ให้ถูกทำลายจนกลายเป็นเนื้อร้าย รักษาหลอดเลือดให้แข็งแรง ช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานของร่างกายและช่วยทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อ ผลเสียต่อสุขภาพบำรุงสมองและความจำ และบำรุงสุขภาพผู้สูงอายุ ผักสีขาว สีน้ำตาลอ่อน มาจากเม็ดสีกลุ่ม แอนโทแซนทิน ผักในกลุ่มนี้เช่น กระเทียม หอมหัวใหญ่ เห็น เซเลอรี มีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิต ลดคอเลสเตอรอล ต่อต้านการเกิดเนื้องอก ป้องกันมะเร็ง โรคหัวใจ ต้านการติดเชื้อ ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดและเสริมภูมิคุ้มกัน ที่มา : www.108health.com
วิธีป้องกันอาการปวดหัว
อาการปวดหัว เป็นความเจ็บไข้ไม่สบายที่พบได้บ่อย แม้จะเรียกว่าปวดหัวเหมือนกัน แต่บริเวณที่ปวดแตกต่างกันไป ซึ่งแบ่งได้เป็น 4 แบบ คือ 1.ปวดไซนัสหรือโพรงรอบจมูก จะปวดที่เหนือตา ปวดดั้งจมูก ปวดใต้ตา 2.ปวดที่ลูกตาหรือรอบๆลูกตา เจ็บรุนแรงคล้ายมีอะไรมาแทงตา 3.ปวดตื่อๆมึนๆที่หน้าผาก หรือปวดที่ท้ายทอยร้าวไปที่คอหรือไหล่ 4.ปวดไมเกรน คือปวดตุ้บๆตรงกับจังหวะชีพจรหรือจังหวะการเต้นของหัวใจ ส่วนใหญ่ปวดข้างเดียวและอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน หรือตาพร่ามัวร่วมด้วย วิธีป้องกันอาการปวดหัวคือ 1.ลดน้ำตาล ลดแป้งขาวที่จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นเร็ว ลดเร็ว 2.หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่เย็นจัด ร้อนจัด3.ดื่มน้ำให้เพียงพแ ภาวะขาดน้ำจะทำให้อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย และปวดหัวได้ 4.ไม่นั่งนาน หรืออยู่นิ่งๆนานๆเพราะจะทำให้กล้ามเนื้อบางมัดเกร็งค้างนาน เลือดไหลเวียนได้น้อยลง อาจส่งสัญญานเป็นอาการปวดหัวได้ 5.ไม่นอนดึก การนอนไม่พอกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวได้ 6.ออกกำลังกาย ฝึกสมาธิ สร้างความผ่อนคลายให้ร่างกายและจิตใจอยู่เสมอ ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.ความรู้รอบตัว.com
วิธีการดูแลสุขภาพ...เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย
คำแนะนำเหล่านี้เป็นคำแนะนำจากนายแพทย์ สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย ที่ได้แนะนำประชาชนถึงการดูแลสุขภาพตนเองในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงว่า 1. นอนหลับให้เพียงพอ มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าการนอนหลับไม่เพียงพอทำให้จำนวนเซลล์ในร่างกายที่ทำหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรคต่าง ๆ ลดลง จึงควรนอนหลับสนิททุก ๆ วัน 2. ออกกำลังกาย ชอบออกกำลังกายแบบไหนเลือกได้ตามความชอบและความถนัด แล้วทำอย่างต่อเนื่องวันละครึ่งชั่วโมงช่วยเพิ่มเซลล์ที่ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้มากมาย การออกกำลังกายนี้อาจเป็นการออกกำลังกายง่ายๆ เช่น การเดินเร็วๆ การวิ่งเหยาะ การขี่จักรยาน การเล่นกีฬาที่มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง 3. ล้างมือด้วยสบู่ โดยใส่ใจการล้างมือเป็นพิเศษก่อนรับประทานอาหารหลังกลับนอกบ้าน หลังจากใช้ห้องน้ำสาธารณะ สัมผัสกับสัตว์และหลังการไอจาม 4. ซักผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดมือต้องสะอาดเสมอแนะนำให้ซักในน้ำร้อนทุก 3-4 วัน โดยเฉพาะในช่วงที่เป็นหวัดกันมาก 5. ดื่มน้ำให้เพียงพอ ช่วยป้องกันอาการป่วยได้ เนื่องจากน้ำทำให้เนื้อเยื่อต่าง ๆ ในระบบทางเดินหายใจชุ่มชื้นซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคฝังตัวและทำให้ระบบภูมิชีวิตทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ 6. เปิดหน้าต่าง เพื่อให้มีอากาศถ่ายเทซึ่งทำให้ร่างกายได้รับสารจากธรรมชาติในอากาศไปพร้อม ๆ กับไล่เชื้อโรคที่มีอยู่ด้วย ทำให้ระบบภูมิชีวิตแข็งแรงขึ้น 7. ผ่อนคลาย การทำสมาธิ หลับตา หายใจลึก ๆ คิดถึงความสุข ช่วยลดความเครียดทำให้ร่างกายไม่ป่วยง่าย 8. วิตามินซีจากธรรมชาติ แครอท กีวี ลูกเกด ถั่วเขียว ส้ม สตรอว์เบอร์รี่ บร็อคโคลี่ ดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลีมีสารพฤกษเคมีอย่างวิตามินซีและแคโรทีนอยด์ ที่ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตได้ ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.sanook.com
10 โรคป่วยหน้าหนาว วัยรุ่นระวังให้ดีนะ!
อากาศเย็นๆ สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง เพื่อนๆ ก็อย่าเลืมดูแลสุขภาพของตัวเองนะคะ เพราะช่วงหน้าหนาวนี้เนี่ยกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาบอกว่า เพื่อนๆก็สามารถเป็นโรคต่างๆได้ง่าย โดยเชื้อโรคต่างๆจะแฝงมากับลมหนาว วันนี้นำมาให้เพื่อนๆได้รู้กันไว้ก่อน จะได้ดูแลสุขภาพให้แข็งแรงกันมากขึ้น 10 โรคป่วยหน้าหนาว วัยรุ่นระวังให้ดีนะ! 1. โรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำมูก น้ำลาย สามารถติดต่อกันได้ทางการหายใจ ไอหรือ จามรดกัน เชื้อมักแพร่กระจายในสถานที่แออัดไม่มีอากาศถ่ายเท เช่น โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า ตลาดสด โดยอาการจะเริ่มต้นจากการมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย น้ำมูกไหล ไอ จาม เจ็บหรือแสบคอ บางคนอาจหนาวสั่น แต่ถ้าเป็นการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ ก็มักจะมีอาการรุนแรงกว่าการติดหวัดธรรมดา คือ ไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะมาก ปวดตามกล้ามเนื้อ ตามกระดูก คลื่นไส้ กินได้น้อยลง ร่วมกับอาจมีภาวะขาดน้ำหากมีอาการอาเจียนร่วมด้วย และควรระวังโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นตามมา เช่น ปอดบวม หลอดลมอักเสบ คออักเสบ ในเด็กเล็กและผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงมากกว่าช่วงวัยอื่น ๆ 2. โรคหลอดลมอักเสบ เป็น โรคที่อาจเกิดตามหลังไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส จะมีอาการไอและไอมากตอนกลางคืน โดยระยะแรกจะไอแห้ง ๆ มีเสียงแหบและเจ็บหน้าอกมาก เสมหะมีสีเหลืองหรือเขียว มีไข้ อ่อนเพลีย ในเด็กอาจไอมากจนอาเจียน บางรายมีอาการคล้ายหอบหืดจากภาวะหลอดลมหดเกร็งตัว โดยปกติโรคนี้สามารถหายได้เองภายใน 1-3 สัปดาห์ แต่บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ก็อาจลุกลามถึงขั้นปอดอักเสบได้ การรักษาเบื้องต้น คือการพักผ่อนให้มาก ควรดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ เพื่อช่วยให้เสมหะระบายออกได้ง่ายขึ้น หลีกเลี่ยงดื่มน้ำเย็น งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงอยู่ในที่ ที่มีอากาศเสียหรือฝุ่นละอองมาก ๆ 3. โรคปอดบวมหรือปอดอักเสบ เป็น โรคที่อาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อนของโรคไข้หวัดหรือติดจากเชื้อโดยตรงได้ ปอดบวมมักพบในเด็ก สามารถติดต่อได้ทางการหายใจ น้ำมูก น้ำลาย และใช้ของร่วมกัน มีระยะฟักตัวของโรค 1-3 วัน และอาจนานถึง 1 สัปดาห์ในบางราย โรคปอดบวมเป็นโรคที่ควรระวังเป็นอย่างมาก เพราะในปีที่ผ่านมาพบว่าโรคนี้เป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของกลุ่มโรคติด เชื้อในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กแรกเกิดถึงขวบปีแรก อาการจะเกิดตามหลังโรคหวัดประมาณ 2-3 วัน ดังนั้นหากพบว่าสงสัยหรือไม่แน่ใจเกี่ยวกับอาการโดยเฉพาะในเด็กเล็กให้ควรนำ มาปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ 4. โรคหัด พบ มากในเด็กอายุตั้งแต่ 1-6 ขวบ ติดต่อได้จากการไอ จามรดกัน หรือได้รับละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย เข้าไป โรคหัดมักเกิดในช่วงฤดูหนาวยาวต่อช่วงฤดูร้อน ปัจจุบันมีวัคซีนสำหรับฉีดป้องกัน อาการของโรคหัดจะเริ่มจากมีไข้ น้ำมูก ไหล ไอ ตาแดง อาการจะรุนแรงมากขึ้น จนมีอาการปวดเมื่อยตัว ถ่ายเหลว ผื่นของไวรัสหัดจะขึ้นราววันที่ 4 หลังรับเชื้อ หลังจากนั้นไข้จะค่อย ๆ ลด เมื่อผื่นกระจายทั่วตัว ระหว่างนั้นต้องระวังการเสียชีวิตจากภาวะโรคแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ อุจจาระร่วง สมองอักเสบ และภาวะทุพ โภชนาการ 5. โรคหัดเยอรมัน เชื้อ ไวรัสหัดเยอรมัน ทำให้มีไข้ต่ำจนถึงไข้สูง มีผื่นแดงคล้ายหัด แต่ลักษณะผื่นจะใหญ่และเป็นกลุ่ม ๆ กระจายตัวห่างกว่า ในเด็กเล็กจะมีอาการไม่รุนแรงเท่าในผู้ใหญ่ โดยเฉลี่ยจะมีอาการประมาณ 1-5 วัน มีไข้ ผื่นแดงตามตัว อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร สิ่งสำคัญคือ ต้องระมัดระวังไม่ให้ติดเชื้อในระหว่างการตั้งครรภ์ 6. โรคอีสุกอีใส พบ ว่ามักเกิดในเด็ก แต่พบได้น้อยในผู้ใหญ่ อาการแรกเริ่มจะมีไข้ต่ำ ๆ เหมือนไข้หวัด หลังจากนั้นจะมีผื่นแดง ตุ่มนูนขึ้น และจะเปลี่ยนเป็นตุ่มพองใสประมาณ 2-3 วันนับตั้งแต่เริ่มมีไข้ หลังจากนั้นตุ่มพองใสก็จะกลายเป็นตุ่มหนอง แล้วค่อย ๆ เริ่มแห้งตกสะเก็ด ทั้งนี้ ผื่นอาจขึ้นได้ในคอ ตา และปาก ทำให้กินอาหารได้น้อย เกิดอาการขาดน้ำ โดยทั่วไปหากได้รับการดูแลที่เหมาะสม โรคจะสามารถหายได้โดยตัวเองโดยไม่เกิดโรคแทรกซ้อน 7. โรคอุจจาระร่วง สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัสหลายชนิด และมักพบผู้ป่วยได้มากในหน้าหนาว สามารถติดต่อได้จากการดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารที่มีเชื้อปนเปื้อนเข้าไป นอกจากนี้ยังติดต่อทางน้ำลาย น้ำมูกได้เช่นกัน ลักษณะอาการจะถ่ายเป็นน้ำหรือถ่ายเหลวบ่อยครั้ง แม้อาการไม่รุนแรง แต่อาจมีอาการขาดน้ำรุนแรงได้ในบางราย ภาวการณ์การติดเชื้อมักพบได้ในชุมชน ศูนย์ฝากเลี้ยงเด็ก หรือสถานที่ที่มีเด็กอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากๆ ดังนั้น การออกกำลังกาย เลือกรับประทานอาหารปรุงสุก ดื่มน้ำสะอาด ก็จะเป็นการป้องกันโรคอุจจาระร่วงได้ 8. โรคตาแดงหรือเยื่อบุตาอักเสบ เป็น โรคที่พบได้บ่อยในหน้าหนาวเช่นกัน สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสคนละชนิดกับโรคตาแดงที่เกิดขึ้นในหน้าร้อน การสัมผัสกับเชื้อมักเกิดจากมือที่สกปรก ไปหยิบจับ หรือสัมผัสกับขี้ตา น้ำตาของผู้ที่เป็นโรคแล้วมาป้ายตา ตัวเอง โรคตาแดงหรือเยื่อบุตาอักเสบสามารถระบาดได้ง่ายโดยเฉพาะในเด็กนักเรียน ส่วนการป้องกันให้หมั่นล้างมือให้สะอาด ไม่เอามือขยี้ตา ไม่คลุกคลีกับคนเป็นโรค เมื่อเป็นโรคควรหยุดงานหรือหยุดเรียน เพื่อไม่ไห้ติดต่อไปยังผู้อื่น 9. โรคผิวหนังแห้งอักเสบ เมื่อ ผิวกระทบอากาศเย็น ทำให้มีความชื้นสัมพัทธ์น้อยและแห้ง การสูญเสียน้ำออกจากผิวหนังก็จะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผิวหนังเกิดปัญหาแห้งหยาบ เป็นขุย แตก ปัญหานี้ถือว่าเป็นปัญหาที่ก่อความรำคาญ เพราะเมื่อผิวแห้งมากจะรู้สึกคัน ยิ่งอากาศหนาวมาก ๆ จะยิ่งแสบร้อนและคัน หากดูแลไม่ดีอาจเกิดแผลอักเสบจากการเกาจนเลือดออก และมีสิ่งสกปรกเข้าแผลจนเกิดการติดเชื้ออักเสบขึ้นได้ การป้องกัน คือการรักษาความชุ่มชื้นจากภายในและภายนอกร่วมกัน โดยการดื่มน้ำและผลไม้ให้มากขึ้น เปลี่ยนรูปแบบและวิธีการอาบน้ำ โดยลดอุณหภูมิของน้ำลงไม่ควรอาบน้ำร้อนเกิน 34 องศาเซลเซียส ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์หลังอาบน้ำ หากมีผิวแห้งมาก ๆ แนะนำให้ใช้น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นได้นาน และหากผิวหนังแห้งอักเสบรุนแรงหรือคันมาก ๆ ให้รีบไปพบแพทย์ 10. โรคผิวหนัง เช่น เชื้อรา กลาก เกลื้อน การแพ้ทางผิวหนัง จากเสื้อกันหนาวหรือเครื่องนุ่งห่มมือสอง ผู้ที่นิยมชมชอบเสื้อผ้ามือสองต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะแม้ว่าราคาของเสื้อมือสองจะค่อนข้างถูกกว่า แต่ไม่ทราบแน่ชัดถึงที่มา จึงมั่นใจไม่ได้ว่ามีความสะอาดหรือไม่ ทั้งยังอาจนำพาโรคมาสู่ผิวหนังได้อีกด้วย ดังนั้น จะต้องสืบหาที่มาของเสื้อผ้าเหล่านั้นเสียก่อน หรือต้องทำความสะอาดให้ถูกวิธี เช่น การซักล้าง การต้มฆ่าเชื้อ การตรวจสอบรอยด่างดำ รอยคราบสารคัดหลั่ง รวมไปถึงกลิ่นอับชื้นที่ติดอยู่ เพราะนอกจากเชื้อราแล้ว โรคตับอักเสบหรือไวรัส บางชนิด อาจส่งผลร้ายต่อผิวหนังได้ ดังนั้น ควรมีการต้มให้เดือด ซักล้างให้สะอาด ฆ่าเชื้อก่อนและนำไปตากแดดให้แห้งสนิท ก็จะช่วยสร้างความแน่ใจให้กับผิวหนัง เห็น 10 โรคที่อาจแฝงมากับหน้าหนาวแล้ว เพื่อนๆก็อย่าลืมป้องกันและดูแลรักษาสุขภาพกัยด้วยนะคะ ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่สุกและสะอาด ในสัดส่วนที่เหมาะสม ครบทั้ง 5 หมู่ หลีกเลี่ยงสัมผัสกับผู้ป่วย ที่ไม่สบาย แค่นี้คงไม่ยากเกินไปใช่ป่าว ^^ อ๊ะๆ!! แล้วอย่าลืมหมั่นพบคุณหมอ ตรวจสุขภาพด้วยนะคะ ฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันก็ดีเหมือนกัน .. โรคอีสุกอีใส โรคหัด หัดเยอรมัน คางทูม และไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก www.mthai.com
สิ่งน่ารู้เกี่ยวกับผักและสรรพคุณ
อาหารประเภทผัก ผลไม้ เป็นอาหารธรรมชาติที่มีสารสำคัญที่เรียกว่า Phytonutrient (ไฟโตนิวเทรียนท์) มากมายหลายชนิด ไฟโตนิวเทรียนท์ เป็นสารธรรมชาติ ในผักผลไม้ที่เป็นสารสำคัญที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายหลายประการ ทั้งนี้ด้วยกลไกที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant )จากธรรมชาติ อนุมูลอิสระคือ โมเลกุลที่มีธาตุที่ไม่มั่นคงเนื่องจากขาดอิเลกตรอนไป 1ตัว อนุมูลอิสระถือเป็นสารพิษที่สำคัญต่อเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย ถ้ามีมากในเซลล์ก็เป็นอันตรายได้ โดยจะทำลาย ดีเอนเอ เยื่อหุ้มเซลล์ และองค์ประกอบอื่นๆของเซลล์ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า อนุมูลอิสระเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นการก่อให้เกิดการอักเสบ ซึ่งเป็นการทำลายเนื้อเยื่อในระยะสั้น หรือมีผลในระยะยาวโดยเป็นสาเหตุของ ความเสื่อมหรือการแก่ของเซลล์ และอาจเป็นสารการก่อมะเร็ง โรคหัวใจ ต้อกระจก โรคทางภูมิคุ้มกันและโรคเรื้อรังอีกหลายชนิด ไฟโตนิวเทรียนท์จากผักและผลไม้ถือเป็นแหล่งสำคัญของสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก ปัจจุบันจึงมีการสนับสนุนให้ทานผักและผลไม้มากขึ้น ในผู้ที่ไม่สามารถจะทานผักและผลไม้ได้ หรือทานได้น้อย ปัจจุบันก็มีอาหารสุขภาพที่สกัดสารสำคัญจากผักและผลไม้ ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภค บล็อคโคลี่ (Broccoli) - มีสารไฟโตนิวเทรียนท์ที่เรียกว่า ซัลฟอร์ราเพน สูง บล็อคโคลี่สามารถช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันภายร่างกาย ช่วยป้องกันโรคมะเร็งบางชนิดและช่วยขับสารพิษออกจากไต ชาเขียว (Green Tea) - มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระประเภทฟีนอล สูง ซึ่งเรียกว่า คาเทคชิน ชาเขียวช่วยให้เซลล์ร่างกายแข็งแรงและช่วยป้องกันโรคร้ายและมะเร็ง นอกจากนี้ยังช่วยในกระบวนการลดน้ำหนักโดยการช่วยเผาผลาญไขมันเร็วขึ้น ผักชีฝรั่ง (Parsley) - สมุนไพรที่ใช้ในการประกอบอาหารชนิดนี้ใช้ในการเสริมสร้างระบบย่อยอาหาร ผักชีฝรั่งประกอบไปด้วย คัวซิติน ซึ่งเป็นสารไฟโตนิวเทรียนท์ที่ช่วยรักษาภาวการณ์เกิดแผลในระบบย่อยอาหาร มะเขือเทศ (Tomato) - สารไฟโตนิวเทรียนท์หลักจะพบในมะเขือเทศ เป็นที่รู้กันว่า ไลโคเพนเป็นสารต่อต้านมะเร็งและช่วย battle macular degeneration และช่วยเสริมสร้างหัวใจให้แข็งแรง ตำลึง (Ivy Gourd) – ตำลึงอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์สูง เช่น สารเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง และหัวใจขาดเลือด มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูก และฟัน และยังมีฟอสฟอรัส เหล็ก ไนอาซิน วิตามินซีและอื่น ๆ นอกจากนี้ จากการค้นคว้าของสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ตำลึงมีเส้นใยอาหารที่สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ในกระเพาะอาหาร อีกด้วย สำหรับตำรายาแผนโบราณ ตำลึงถือเป็นยาเย็น ใบช่วยขับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้อาการแพ้ อักเสบ แมลงมีพิษกัดต่อย แก้แสบคัน เจ็บตา ตาแดงและตาแฉะ แก้โรคผิวหนัง และลดน้ำตาลในเลือด หัวหอม (Onion) - นานมาแล้วที่หัวหอมถูกนำมาใช้เพื่อคงไว้ซึ่งความมีสุขภาพดีของกล้ามเนื้อหัวใจ พืชในสปีชี่นี้และส่วนประกอบของมันมีผลต่อการแข็งตัวของเลือดและส่งผลกระทบในด้านบวกในปัจจัยเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ ผักขม (Spinach) - เป็นพืชที่มีธาตุเหล็กสูงผักขมช่วยในการรักษาระดับธาตุเหล็กในเลือดรวมทั้งระดับพลังงานภายในร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ แครอท (Carrot) - มีเบต้า แครอทีน ในปริมาณสูง แครอทช่วยเสริมสร้างการมองเห็นและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงประสิทธิภาพ ผักบีท (Beet) - ผักบีท มีส่วนประกอบที่เรียกว่า บีเทน ซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าบีทช่วยดำรงไว้ซึ่งสุขภาพตับที่ดีโดยการกำจัดไขมัน แตงกว่า (Cucumber) - แก้ท้องเสีย แก้บิด แก้บวมอักเสบ ขับปัสสาวะ แก้หนองใน แก้ไข้ตัวร้อน แก้กระหายน้ำ แก้คอเจ็บ แก้ตาแดง แก้ไฟลวก แก้นิ่ว แก้ผดผื่นคัน แก้ขัดเบา ทำให้ผิวชุ่มชื้น แก้สิว
เคล็ดลับดูแลผิว ให้สวยสมวัย ในฤดูหนาว
ผิวหน้าหนาวจะแห้งกร้านง่ายกว่าหน้าไหน ๆ ไม่ใช้เพราะขาดน้ำมัน แต่ขาดน้ำต่างหาก มารู้จักดูแลรักษาผิวหน้าหนาวกันตั้งแต่วันนี้ดีกว่า 1. ไนท์ครีม เลือกปรนนิบัติผิวก่อน 4 ทุ่ม เพราะช่วงเวลาระหว่าง 3 ถึง 4 ทุ่ม เซลผิวจะทำงานซ่อมแซมตัวมันเอง แถมยังเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ทาครีมแก้สิวในตอนกลางคืน เพราะอุณหภูมิในตัวคุณจะสูงขึ้นราว 1-2 องศา ซึ่งจะทำให้รูขุมขนเปิดกว้างขึ้น และทำให้เนื้อครีมที่คุณลูบไล้ลงบนผิวก่อนนอนซึมซาบได้ดีขึ้น เพื่อช่วยให้เนื้อครีมซึมซาบได้ดีขึ้น ให้ใช้น้ำอุ่นปะพรมบนใบหน้าก่อน หรือทำให้ครีมบำรุงอุ่นขึ้นด้วยการถูฝามือหลังป้ายเนื้อครีมแล้ว จากนั้นจึงค่อยลูบไล้ให้ทั่วผิวหน้า 2. ขัดหน้าต้องทำบ่อยแค่ไหน? แนะนำว่าถ้าต้องการขัดผิวหน้า ก็ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้งและขัดผิวกาย เดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าสาวไหนที่มีเซลลูไลท์ แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนที่เป็น อาจจะทำทุกวันเลยก็ได้ วิธี : ใช้ฟองน้ำสำหรับขัดหน้าหรือเจลสำหรับขัดผิวหน้าสูตรอ่อนโยนพิเศษ ล้างหน้าให้เปียก แล้วขัดให้ทั่วใบหน้า 1-2 นาที อย่างเบามือ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด (ปรึกษาพนักงานเคาน์เตอร์เพื่อให้ได้เจลขัดผิวหน้าที่เหมาะกับสภาพผิวของคุณในหน้าหนาว) 3. สูตรหน้านิ่ม สำหรับสาว ๆ ที่ชอบทำมาสก์เองด้วยผลิตผลจากธรรมชาติ หน้าหนาวอย่างนี้แนะนำให้ใช้ นมสด 1/2 ช้อนชา, น้ำผึ้งแท้ 1/2 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน นำมาทาใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 8-10 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด 4. ชโลมครีมบำรุงผิว หลังจากอาบน้าเสร็จ เช็ดตัวแบบลวก ๆ พอ เอาให้ผิวเปียกหมาด ๆ ไม่แห้งสนิท แล้วทาครีมเลย วิธีนี้จะทำให้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ช่วยเก็บกักน้ำให้ผิวได้อีกเท่าตัว 5. เคล็ดลับดูแลผิวหน้าหนาว ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นดีกว่าน้ำอุ่น เพราะยิ่งใช้น้ำอุ่นหน้าก็จะยิ่งแห้งมากขึ้น cละคันมากขึ้นค่ะ 6. ใช้สบู่อ่อนๆ โยนสบู่ที่มีสารเคมีรุนแรง อย่างพวกที่ให้ฟองเยอะๆ ทิ้งลงขยะไปเลย หันมาใช้เจลอาบน้ำถนอมผิวที่ผสมมอยส์เจอร์ไรเซอร์แทนจะดีกว่าเลือกพวกที่มีส่วนประกอบสำคัญ อย่าง คาร์โมมายล์ยูคาลิปตัส 7. กันแดด หน้าหนาว แดดจะแรงขึ้นอีก ก่อนออกจากบ้านอย่าลืมทาครีมกันแดดด้วย เลือกครีมกันแดดSPF 15-20 พร้อมมอยส์เจอร์ไรเซอร์เข้มข้นจะดีมากอย่าง ว่านหางจระเข้ สมุนไพรต่าง ๆ จะช่วยป้องกันผิวเป็น 2 เท่า 8. ดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาว จะช่วยทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า ช่วยให้ร่างกายฟอกเลือดได้เร็วขึ้น กำจัดของเสียภายในร่างกายไปในตัว ซึ่งจะทำให้ผิวสดใสน่ามอง 9. ขัดผิวแบบนิ่มนวล ช่วงอากาศหนาว ๆ อย่าใช้ผ้าเปียก, ฟองน้ำเนื้อหยาบ หรือเจลที่มีเนื้อทรายมาขัดผิวเด็ดขาด 10. ถนอมเรียวมือ พกครีมทามือติดตัวไว้ด้วย จะได้เอามาทาหลังจากทุกครั้งที่ฟอกสบู่ล้างมือ ยิ่งเรียนหนังสือต้องจับหนังสือ กระดาษสมุดจด จะยิ่งทำให้มือแห้งขึ้นกว่าเดิม ฉะนั้นเก็บโลชั่นไว้ใต้โต๊ะในห้องเรียน จะดีมาก ๆ 11. ทานให้ผิวสวย ทานผลอโวคาโดอาทิตย์ละครั้ง กรดไขมันของผลอโวคาโดจะช่วยให้ผิวสวย 12. ปากชุ่มชื้น พกลิปมันติดตัว เลือกที่มีส่วนผสมที่มี SPF 15 ด้วยคนที่ริมฝีปากแห้งแตกมาก ๆ ให้เลือกใช้ลิปมันที่มีส่วนผสมของน้ำมันทีทรี Tip : สำหรับลิปมันที่มาในรูปกระปุก ให้ใช้แปรงทาปากจุ่มเนื้อลิปขึ้นมา อย่าใช้นิ้วมือที่จะไปทำให้เกิดการสะสมของเชื้อโรค 13. แปรงเท้า ใช่แล้ว... แปรงเท้า ซึ่งก็เหมือนกับเอาแปรงมาแปรงตัวยังไงยังงั้นเลย แปรงตอนที่ผิวยังแห้งอยู่ จะช่วยขจัดขี้ไคล ผสมน้ำมันทีทรีเข้าไป ช่วยขจัดแบคทีเรียได้อีกด้วย 14. กันผมไฟฟ้าสถิตย์ ผมบินได้เหรอ แล้วดึงแปร๊บ ๆ อีกด้วย ไม่ยากเลย แค่สะกิดมอยร์เจอร์ไรเซอร์ที่ทาตัวของเรานี่แหละ ถูกับฝ่ามือ ไปตามปลายผม ถ้าเป็นมาก ก็ ลูบช่วงกลาง เส้นผมด้วย 15. ทาครีม หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว ให้เน้นทาครีมตรงบริเวณช่วงขาทั้งหมด เพราะเป็นส่วนที่ผิวแห้งได้ง่ายมาก เผื่อสวมใส่กระโปรงหรือกางเกงสั้น ๆ ที่กำลังฮิต ๆ ตอนนี้ จะได้ไม่เห็นหนังงูอันน่าเกลียดน่ากลัว ผิวในหน้าหนาว ดูแลให้เป็น!! ระยะนี้อากาศเปลี่ยนเข้าสู่ฤดูหนาว จึงพบปัญหาผิวหนังบางอย่างได้บ่อยในคนไทย มีผิวแตก แห้ง และคัน เกิดจากความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศที่น้อยลง และคนเมืองส่วนใหญ่อยู่แต่ในห้องปรับอากาศ ซึ่งมีแต่ความเย็น แต่ไม่มีการปรับความชื้นให้เหมาะสม ทำให้ผิวหนังแห้งได้ง่าย คนที่เสี่ยงต่อผิวแห้งได้ง่าย มีผู้สูงอายุ ผู้ที่เป็นโรคเกล็ดปลา (โรคผิวหนังที่เป็นขุยๆ ตามหน้าแข้ง) ผู้เป็นโรคภูมิแพ้ตามผิวหนัง หรือ ผู้ที่มักมีผิวแห้งเป็นประจำ มีอาการคัน ปัญหาใหญ่ของผิวแห้งคือ ความเข้าใจผิด เมื่อคันก็นึกว่าเป็นเพราะความสกปรก ทำให้นำสบู่มาฟอกหรือซื้อสบู่ยาแรงๆ มาใช้ หรืออาจคิดว่าเกิดจากเชื้อรา จึงซื้อยาแก้เชื้อรามาใช้ หรือแม้แต่แป้งน้ำที่นำมาทาแก้คันส่วนใหญ่ผสมแอลกอฮอล์ ทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้ผิวแห้งลงมากกว่าเดิม เกิดเป็นวงจรเลวร้าย แห้ง-คัน-ทายา-ยิ่งแห้ง-ยิ่งคัน-ยิ่งทายา.....ไม่สิ้นสุด ข้อแนะนำในการดูแลผิวที่แห้งนั้น ควรต้องลดการฟอกสบู่และอาบน้ำลง เช่น อาบน้ำเพียงวันละครั้ง หรือไม่ต้องฟอกสบู่ทั้งตัว แต่ให้ฟอกบริเวณที่มีความอับชื้นแทน เช่น ตามหน้าอก หรือ ข้อพับ นอกจากนี้ ควรทาครีมบำรุงผิวให้มีความชุ่มชื้นควบคู่ไปด้วย หลักง่ายๆ ในการเลือกครีมคือ ควรเลือกครีมที่ใช้แล้วไม่แพ้ และไม่ต้องใส่น้ำหอมลงไปมาก เลือกครีมที่มีคุณภาพดี ราคายุติธรรม ระวังครีมให้ความชุ่มขึ้นที่มีราคาแพงไม่สมเหตุสมผลและโฆษณาสรรพคุณเกินจริง เช่น อ้างเป็นครีมแก้ริ้วรอยเ***่ยวแก่ ครีมทำให้ผิวเต่งตึง ครีมยกหน้า ทำให้หน้าเป็นเด็ก ครีมที่มีลักษณะเป็นซีรุ่ม ครีมที่มีถ้อยคำโน้มน้าวเลิศหรูต่างๆ เป็นที่น่าสังเกตว่า ครีมบำรุงผิวที่แพงเกินไป นอกจากโฆษณาเกินจริงแล้ว มักมีการผสมน้ำหอมมากเกินไป ซึ่งทำให้ผิวแพ้ระคายเคืองง่าย มีการผสมสารธรรมชาติ เช่น พืช ผัก ผลไม้ทำให้ผิวแพ้ได้ และมีการผสมสีสันต่างๆ เพื่อดึงดูดให้ดูน่าใช้ทั้งๆ ที่สีมีอันตรายต่อผิวหนัง ควรทาครีมให้ความชุ่มชื้นหลังอาบน้ำเสร็จ เช็ดตัวหมาดๆ เพราะจะช่วยให้ผิวหนังดูดซึมได้ดี ครีมบำรุงเหล่านี้ใช้แก้ไขปัญหาผิวแห้ง ทำให้ผิวหนังดูนุ่มเนียนขึ้นได้ แต่ไม่อาจแก้ไขริ้วรอยเอวัยวะเพศหญิง่ยวแก่ที่เกิดจากแสงแดดหรือการสูบบุหรี่ได้ ผิวแห้งยังพบการกำเริบของโรคผิวหนังบางอย่างในหน้าหนาว เช่น โรคเซ็บเดิม และ โรคภูมิแพ้ผิวหนัง โรคเซ็บเดิม (Seborrheic dermatitis ) เป็นโรคในกลุ่มเดียวกับรังแค และ โรคสะเก็ดเงิน แสดงอาการเป็นผื่นแดงตามหน้าผาก ข้างแก้ม คิ้ว แนวไรผม ปัจจัยที่ทำให้โรคเซ็บเดิมกำเริบได้แก่ ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ ผิวหน้าแห้ง ล้างหน้าฟอกสบู่บ่อยครั้งเกินไป การโดนแสงแดดจัด ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มที่ร้อนจัด เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว คนไทยไม่ค่อยเป็นโรคนี้ ขณะที่ฝรั่งตะวันตกเป็นกันมาก ปัจจุบันพบคนไทยเป็นโรคนี้มากอาจเพราะวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เช่น นั่งทำงานหรือนอนแต่ในห้องแอร์ทั้งวัน รวมถึงความเครียดที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากโรคเหล่านี้แล้วยังมีปัญหาผิวในหน้าหนาวที่พบบ่อยอีกอย่างคือ เรื่องของรังแคที่หนังศีรษะ ควรต้องลดการสระผมลงหรืออาจต้องใช้แชมพูยาขจัดรังแค ในช่วงหน้าหนาว หลายคนไปเที่ยวตามต่างจังหวัดที่มีอากาศหนาวเย็น ก็ควรต้องสวมหมวกป้องกันเอาไว้ เพราะไม่เพียงแค่ช่วยป้องกันโรคไข้หวัดหรือโรคติดเชื้อเท่านั้น แต่ยังลดการเกิดรังแคได้ด้วย
อาหารที่ทำให้ขาใหญ่โดยไม่รู้ตัว
[gallery ids="5821,5820,5819"] คุณรู้หรือไม่ว่า ยำ ส้มตำ และเมนูอาหารรสเผ็ดจัดจ้านจานอื่น ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของคุณผู้หญิงทั้งหลายนั้น ล้วนเป็นเมนูที่จะทำให้คุณผู้หญิงต้องกลับมานั่งกลุ้มใจกับปัญหาขาใหญ่อย่างไม่ทันตั้งตัว เนื่องจากอาหารรสเผ็ดมีทั้งรสเผ็ด เปรี้ยว หวานซึ่งช่วยกันกลบรสเค็มไว้ ทำให้ความเค็มที่มาจากโซเดียมซึ่งมีคุณสมบัติอุ้มน้ำไว้ในเนื้อเยื่อไหลลงสู่ที่ต่ำ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สาว ๆ ที่ชอบกินอาหารรสเผ็ดต้องนั่งกลุ้มกุมขมับกับปัญหาขาใหญ่อย่างไม่รู้สาเหตุ ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาก็คือ ไม่ควรกินอาหารรสเค็มและเผ็ดบ่อยจนเกินไป แต่ควรเลือกกินอาหารที่มีผักและผลไม้ ทั้งยังต้องหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรูปร่างที่สวยงามและสุขภาพที่แข็งแรง นอกจากนี้อาจแก้ปัญหาขาใหญ่ได้ด้วยการนวดกดจุด โดยการนวดเอาน้ำที่บวมคั่งในกล้ามเนื้อขาออกไปทางระบบน้ำเหลือง ซึ่งจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ แล้วขาของคุณผู้หญิงก็จะค่อย ๆ เล็กลง กลับมาเรียวสวยเหมือนเดิม [gallery columns="2" size="medium" ids="5822,5825"]