-
สาระน่ารู้
หน้าแรก
สาระน่ารู้
พบข้อมูลจำนวน 121 รายการ แสดงผลอยู่ที่ 10/11 หน้า
จัดซื้อจัดจ้าง
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2568 งวดที่ 1 เดือนตุลาคม - ธันวาคม 2567
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2567 งวดที่ 2 เดือนเมษายน - มิถุนายน 2567
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2567 งวดที่ 3 เดือนกรกฏาคม - กันยายน 2567
-
ประกาศเผยแพร่แผนการจัดซื้อจัดจ้าง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 โครงการก่อสร้างอาคารเรียนระดับประถมศึกษาพร้อมปรับภูมิทัศน์ ภายใน
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2566 งวดที่ 1 เดือนตุลาคม 2565 - มีนาคม 2566
ค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์
ปฎิทินกิจกรรม
ท่านคิดว่า อบจ.ระยอง ควรเน้นหนักแก้ไขปัญหาในเรื่องใดเป็นอันดับแรก
- ปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค โหวต
- แก้ไขปัญหายาเสพติด โหวต
- แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โหวต
- แก้ไขปัญหาน้ำท่วม โหวต
- ราคาผลผลิตภาคการเกษตร โหวต
สถิติผู้เข้าชมเว็บไซต์
- กำลังใช้งาน 104 คน
- ผู้เข้าชมวันนี้ 2,333 คน
- ผู้เข้าชมทั้งหมด 20,402,908 คน
แปลภาษา

เคล็ดไม่ลับ ประจำบ้าน
เคล็ดไม่ลับสำหรับการดูแลทำความสะอาดบ้าน ที่คุณอาจมองข้ามว่ามันใช้ได้ด้วยนะ การรักษาเครื่องซักผ้า เวลาที่ไม่ใช้เครื่องซักผ้า ให้เปิดฝาทิ้งไว้เสมอ ช่วยรักษาแผ่นยางที่อยู่ตรงประตูเครื่อง และช่วยให้เครื่องไม่มีกลิ่นด้วยจ้ะ ล้างห้องน้ำด้วยโค้ก การทำความสะอาดชักโครกให้ปราศจากคราบและดูเหมือนใหม่เสมอ คือ ให้ชักโครกกินโค้กซะบ้าง เทโค้กใส่ลงในชักโครก ปล่อยให้ชักโครกดื่มโค้กอย่างสบายใจ สักสองสามชั่วโมงคราบสกปรกจะหลุดออกหมด น้ำตาเทียนหยดใส่พื้น ไม่ว่าจะเป็นพื้นพรม พื้นไม้ หรือโต๊ะ ตู้ ถ้ามีน้ำตาเทียนหยดใส่ อย่ามัวแต่นั่งแกะให้เสียเวลาให้เอากระดาษทิชชู่หนา ๆ วางบนคราบน้ำตาเทียนนั้น แล้วเอาเตารีดไฟปานกลางมารีด ๆ น้ำตาเทียนจะหลุดติดกับทิชชู่ ระวังอย่าให้ไฟแรงมากนะ เดี๋ยวไหม้ ทำให้บ้านหอม ไม่ต้องพึ่งสเปรย์หอมกันแล้วให้เอาส้มเช้งมาปักไว้ด้วยกานพลูหล าย ๆ ดอกวางทิ้งไว้ตามจุดต่าง ๆ ในบ้าน ใส่แก้วสวย ๆ ก็จะดูดี ดูเหมือนของตกแต่ง ทีนี้กลิ่นในบ้านจะหอมหวน ตลอดเวลา ข้อควรระวังต้องหมั่นเปลี่ยนส้มซักหน่อย อย่าทิ้งไว้จนเน่า ไม่งั้นคงได้กลิ่นตรงกันข้าม มโครเวฟหอมชื่นใจ เอาชามใส่น้ำอุ่นบีบมะนาว วางไว้ตรงกลางไมโครเวฟ เปิดเครื่องร้อนสุดห้านาที ความร้อนจากน้ำจะทำให้คราบสกปรกหลุดโดยง่ายและมะนาวจะช่วยให้กลิ่นหอมสดชื่น กระจกใส น้ำยาเช็ดกระจก นอกจากจะมีสารเคมีแล้วยังเสียเงินแพงอีกด้วยใช้วิธีนี้จะดีกว่า ให้เอาน้ำอุ่นใส่ถัง เอาหอมใหญ่มาปอกเปลือกแล้วผ่าสี่ ใส่หอมลงไปในถัง แค่นี้แหละ เช็ดกระจกได้ใสแจ่มแจ๋วเหมือนใหม่ :roll: :roll: :roll: :roll: :roll: :roll:
ไข้เลือดออกโรคร้ายที่มียุ่งลายเป็นพาหะ
ไข้เลือดออก โรคที่เกิดจากยุงลายเป็นพาหะนำโรค โรคที่เป็นปัญหาของประเทศในเขตร้อนชื้น และนำพามาซึ่งความกังวนต่อประชากรในแต่ละประเทศมาช้านาน และถือเป็นโรคประจำท้องถิ่นมากกว่า 100 ประเทศ ทั้งในเขต แอฟริกา อเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสาเหตุเกิดจากยุงลายตัวเมีย กัดคนและแพร่เชื้อไวรัสเด็งกี่ (Dengue Virus) จะอยู่ในร่างกายคนเป็นเวลา 3-7 วัน ช่วงเวลานี้จะมีไข้ และจะแพร่ไปยังผู้อื่นเมื่อยุงลายมากัดคนในช่วงนี้ โดยเป้าหมายที่น่าเป็นห่วงส่วนใหญ่จะเป็นเด็กยังไม่สามารถป้องกันตัวจาก ไข้เลือดออก ได้อย่างเต็มที่ โรคไข้เลือดออกมีกี่ระยะ 1. ไข้เลือดออกระยะไข้ขึ้นสูง : เป็นระยะที่ผู้ป่วยมีไข้ขึ้นสูงลอย 38-40 องศา แม้จะรับประทานยาลดไข้ก็ไม่เป็นผล อาการจะทรงอยู่ 2-7 วัน แล้วอต่รายไปปวดท้อง อาเจียนเป็นสีน้ำตาลปน ปวดศรีษะรุนแรง ร่างกายและใบหน้าออกสีแดงผิดธรรมชาติ มีผื่นและจุดจ้ำเลือดขึ้นตามร่างกาย บางรายอาจรุนแรงถึงขั้นเยื่อบุตาอังเสบ 2.ไข้เลือดออกระยะวิกฤติ : เป็นระยะที่ไข้เริ่มลดลงและลดลงอย่างรวดเร็ว เข้าสู่ภาวะช๊อค ผู้ป่วจะมีอาการกระสับกระส่าย เนื้อตัวมือเท้าอุณหภูมิต่ำ มีอาการรั่วของพลาสม่า (Plasma) หรือน้ำเหลืองออกนอกเส้นเลือด ชีพจรเต้นเร็ว เบื่ออาหาร ยังคงมีอาการปวดท้อง อาเจียน ความดันเลือดต่ำ ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 24-48 ชั่วโมง ในรายที่มีอาการรุนแรงหากไม่สามารถให้สารน้ำ เพื่อทดแทนน้ำเหลืองที่รั่วไหนได้ทัน ผู้ป่วยอาจช๊อคจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ 3. ไข้เลือดออกระยะพักฟื้น : เมื่อสามารถผ่านพ้นวิกฤติจากระยะวิกฤติมาได้ ร่างกายจะเริ่มเข้าสู่ ภาวะปกติ มีการดูดกลับของพลาสม่าเข้าสู่กระแสเลือด ความดันเลือดและชีพจรเป็นปกติเริ่มกลับมาเจริญอาหาร มีผื่นแดงขึ้นตามมือ เท้า ปัสสาวะถี่ขึ้น และเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปก การป้องกันโรคไข้เลือดออก 1.ควรจัดสภาพแวดล้อมให้ปลอดแหล่งเพาะพันธ์เจ้ายุงลายพาหะตัวร้าย โดยการขจัดแหล่งน้ำขังที่อาจจะมีอยู่ในบริเวณบ้าน เช่น แจกันดอกไม้ บ่อเลี้ยงปลา และยุงลายมักออกหากินในเวลากลางวัน 2.หากในบ้านมีพื้นที่น้ำขัง หรือมีการใช้สอยส่วนใดที่จำเป็นต้องมีน้ำ เช่น บ่อน้ำเล็กๆ ในสวน ควรใส่ผงยากำจัดยุงลายลงในน้ำเพื่อกำจัดยุงลายตั้งแต่เป็นลูกน้ำ 3.ฉีดพ้นยากันยุงหากสังเกตว่ามียุงมากผิดปกติ โดยเฉพาะฤดูฝนและฤดูหนาว 4.ควรติดตั้งมุ้งลวดที่ประตูหน้าต่าง และควรปิดประตูหน้าต่างทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงเข้าบ้าน 5.นอนในมุ้งเพื่อป้องกันยุงกัด 6.เมื่อต้องอยู่อยู่คาดว่าจะไปในสถานที่ที่มียุง ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่มีแขนขายาวและมีความหนาพอสมควรเพื่อป้องกันยุง หรือทายากันยุงป้องกัน ด้วยวิธีง่ายๆ เหล่านี้ เราก็สามารถป้องกันโรคไข้เลือดออกได้แล้ว และหากสงสัยว่าลูกมีอาการไข้เลือดออก ควรไปพบแพทย์ทันทีค่ะ
วิธีป้องกัน เมิร์ส (MERS)
ไวรัสเมอร์ส (MERS) โคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่กระทรวงสาธารณสุขออกโรงประกาศเตือนให้เฝ้าระวัง แม้จะยังไม่เข้ามาในประเทศไทย แต่การที่มีข่าวพบผู้ป่วยในประเทศจีนและเกาหลีใต้ ก็ทำให้เราต้องรู้จักโรคนี้กันไว้บ้าง เชื้อโรคและไวรัสเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดใหม่ได้เสมอ ๆ แถมมาใหม่แต่ละครั้งก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างล่าสุดไวรัสเมอร์ส (MERS) โคโรน่าไวรัสสายพันธุ์กลุ่มอาการโรคทางเดินหายใจก็โผล่มาระบาดและคร่าชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วน ที่สำคัญเจ้าไวรัสตัวนี้ยังแพร่ระบาดได้รวดเร็ว โดยจุดต้นกำเนิดอยู่ที่ตะวันออกกลาง แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็มีข่าวว่าเกาหลีใต้และจีนพบผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสตัวนี้แล้ว ดังนั้นกระปุกดอทคอมจึงต้องนำข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสเมอร์สมาให้ศึกษากันก่อน จะได้รู้วิธีป้องกันระวังตัวจากเชื้อไวรัสเมอร์สกันค่ะ ไวรัสเมอร์ส คืออะไรกันแน่ ? ไวรัสเมอร์ส (MERS) ย่อมาจาก Middle East Respiratory Syndrome มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า โคโรน่าไวรัสสายพันธุ์กลุ่มอาการโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือบ้างก็ขนานนามโรคนี้ว่า เมอร์สคอฟ (MERS-CoV) เนื่องจากเป็นโรคจากการติดเชื้อในกลุ่มโคโรน่าไวรัส (Coronavirus: CoV) ซึ่งจัดเป็นไวรัสตระกูลใหญ่ที่เคยส่งโรคไข้หวัดใหญ่และโรคซาร์ส (SARS) มาระบาดไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน ต้นกำเนิดไวรัสเมอร์ส ไวรัสเมอร์สเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2012 โดยพบผู้เสียชีวิตด้วยไวรัสตัวนี้ที่ประเทศซาอุดีอาระเบียเป็นที่แรก ซึ่งคาดว่าพาหะมาจากอูฐ และความรุนแรงของไวรัสเมอร์สก็คร่าชีวิตผู้คนกว่า 100 ราย อีกทั้งยังกระจายการแพร่ระบาดไปยังประเทศจอร์แดน, กาตาร์, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, ตูนีเซีย, อียิปต์, อังกฤษ, สหรัฐอเมริกา และล่าสุด (มิถุนายน 2558) ก็พบเชื้อไวรัสตัวนี้ที่เกาหลีใต้และประเทศจีนแล้วด้วย การระบาดของไวรัสเมอร์ส อย่างที่บอกว่าไวรัสเมอร์สเป็นไวรัสสายพันธุ์กลุ่มอาการโรคทางเดินหายใจ การแพร่ระบาดของเชื้อชนิดนี้จึงอาศัยละอองเสมหะเมื่อเกิดอาการไอหรือจามของมนุษย์เป็นแหล่งซ่อนตัวและเกาะไปตามเชื้อ เมื่อคนที่ยังไม่ป่วยสัมผัสกับละอองเชื้อโรคเหล่านี้ ไวรัสเมอร์สก็สบโอกาสที่จะมีแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อไวรัสใหม่ การแพร่ระบาดจึงกระจายจากคนสู่คนได้ ทว่า ณ ขณะนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพในประเทศอังกฤษก็ยังคงยืนยันว่า ไวรัสเมอร์สยังไม่ใช่โรคระบาดที่ร้ายแรง แต่ทั้งนี้ก็เตือนให้ประชาชนรักษาสุขอนามัยของตัวเองให้ดีเพื่อป้องกันการติดเชื้อเบื้องต้นไว้ก่อน อาการโรคไวรัสเมอร์ส อาการที่สังเกตได้ว่าติดเชื้อไวรัสเมอร์สมักพบตั้งแต่ไม่มีอาการแสดงออกจนกระทั่งมีอาการรุนแรงแล้ว โดยเริ่มแรกอาจมีอาการไอ มีไข้ หายใจลำบาก หรือบางคนที่มีภูมิต้านทานค่อนข้างแข็งแรงอาจมีอาการคล้ายคนเป็นไข้หวัดธรรมดาและจะหายเป็นปกติในเวลาไม่นาน ทว่าสำหรับคนที่ร่างกายอ่อนแอหรือมีโรคประจำตัวแทรกซ้อนอยู่อาการก็จะรุนแรง โดยอาจมีไข้สูงและมีอาการเกี่ยวกับทางเดินอาหารร่วมด้วย เช่น ท้องเสีย ปวดมวนท้อง คลื่นไส้อาเจียน และในผู้ป่วยที่อาการรุนแรงมาก ๆ อาจมีภาวะปอดบวมหรือไตวายร่วมด้วย ทั้งนี้อัตราการเสียชีวิตจากไวรัสเมอร์สอยู่ที่ 30% โดยจะมีผลรุนแรงต่อคนที่มีภาวะภูมิต้านทานต่ำและเหล่าคนที่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน มะเร็ง โรคหัวใจ โรคปอด หรือโรคไต เป็นต้น การเฝ้าระวัง เชื้อไวรัสเมอร์สมีระยะเวลาฟักตัวอยู่ที่ 2-14 วัน ดังนั้นหากผู้ป่วยมีอาการไข้ ไอ หายใจเร็ว และหอบ ภายในระยะเวลา 14 วันหลังจากเพิ่งเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงของเชื้อไวรัสเมอร์ส หรือมีอาการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจที่รุนแรงแต่ไม่สามารถหาเชื้อที่เป็นสาเหตุการเกิดโรคได้ควรเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัสเมอร์สโดยด่วน การรักษาโรคเมอร์ส ณ ปัจจุบันทางการแพทย์ยังไม่มีข้อจำกัดในการใช้ยาต้านไวรัสเมอร์ส เนื่องจากเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาใหม่ จึงทำได้เพียงรักษาตามอาการและประคับประคองชีวิตคนไข้ไปจนกว่าอาการอักเสบในระบบทางเดินหายใจจะหายเป็นปกติดี แต่สำหรับผู้ป่วยขั้นรุนแรงอาจต้องรักษาด้วยยาต้านไวรัส Oseltamivir ในขนาดที่ใช้รักษาอาการไข้หวัดใหญ่ไปก่อน การป้องกันไวรัสเมอร์ส 1. กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ 2. เลือกกินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ หลีกเลี่ยงอาหารค้างคืน 3. รักษาสุขอนามัยของตนเอง หากไอหรือจามควรใช้ทิชชูปิดปากและจมูกทุกครั้ง 4. หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสตา จมูก ปาก และใบหน้า โดยเฉพาะหากยังไม่ได้ล้างมือให้สะอาด 5. สวมหน้ากากอนามัยหากต้องอยู่ในที่แออัด 6. พยายามหลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด เช่น จูบ กับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงโรคเมอร์ส 7. หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง เช่น ประเทศซาอุดีอาระเบีย ประเทศใกล้เคียง และประเทศเกาหลีใต้ รวมถึงประเทศจีนในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสอยู่ 8. รักษาสุขภาพให้แข็งแรง รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ จากมูลข้างต้นจะเห็นว่า ไวรัสเมอร์สถือเป็นไวรัสที่มีอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างน่ากังวลพอสมควรนะคะ ดังนั้นช่วงเวลานี้เราจึงต้องดูแลสุขอนามัยของตัวเองเป็นอย่างดี อย่างน้อยก็น่าจะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากไวรัสเมอร์สได้บ้าง
10 วิธีคืนความสมดุลให้กับร่างกายรับหน้าฝน
ความสมดุลในร่างกาย คือ การที่ระบบอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายทำงานอย่างสัมพันธ์กัน โดยความสมดุลของร่างกายอยู่ที่ประมาณ 37 องศา ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าอุณหภูมิภายนอกจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นร้อน เย็น หรือชื้น ร่างกายก็จะปรับอุณหภูมิภายในให้อยู่สภาวะคงที่ 37 องศา แต่อากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยในช่วงหน้าฝน บางครั้งก็ร้อนอบอ้าว บางครั้งก็ร้อนชื้น ปริมาณความชื้นในอากาศที่เพิ่มขึ้น ทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทันและเกิดความไม่สมดุล จึงแสดงอาการต่าง ๆ ออกมา เช่น เจ็บคอ เป็นหวัด น้ำมูกไหลตลอดเวลา ผื่นแพ้ผิวหนัง ฯลฯ แต่ในทางกลับกันอุณหภูมิ และสภาพอากาศเช่นนี้เป็นที่ชื่นชอบเหมาะในการเจริญเติบโตและแพร่กระจายของเชื้อไวรัสได้เป็นอย่างดี คนที่มีปัญหาเรื่องภูมิแพ้อากาศจึงมีโอกาสเป็นได้บ่อยและมากกว่าปกติ ดังนั้นเราจึงควรหาวิธีดูแลและเตรียมตัวรับมือกับอากาศที่แปรปรวนในช่วงหน้าฝน เพื่อคืนความสมดุลให้กับร่างกายเสียแต่เนิ่น ๆ 1. ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 1.5 ลิตร เพื่อให้สมดุลของอุณหภูมิในร่างกายคงที่ จะช่วยทำให้โอกาสการติดเชื้อลดลง 2.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ถ้านอนหลับยาก ลองรับประทานกล้วยหอมก่อนนอน ซึ่งกล้วยหอมจะมีสารทริปโตเฟน ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและหลับได้ง่ายขึ้น 3. หน้าฝนมักจะไม่ค่อยเสียเหงื่อ เพราะอากาศชื้น ควรออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายได้ขับของเสีย อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายวิธีหนึ่งด้วย 4. อาหารที่ควรรับประทานอาหาร ได้แก่ ขิง ข่า ตะไคร้ ใบกะเพรา กระชาย เป็นต้น เพราะเป็นอาหารที่มีความเผ็ดร้อน เป็นการเพิ่มอุณหภูมิให้แก่ร่างกาย 5. อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงรับประทาน คือ อาหารที่มีฤทธิ์เย็น รสขม เพราะจะทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดต่ำลงมากกว่าเดิม ส่งผลให้ระบบการย่อยทำงานหนัก ย่อยยาก 6. ไม่ควรอยู่ในที่อึดอัด เพราะจะทำให้ติดเชื้อได้ง่าย ควรอยู่ที่อากาศแห้งและถ่ายเทสะดวก เปิดประตูหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ และทำตัวเป็นมนุษย์สะอาด ล้างมือทุกครั้งหลังทำกิจกรรมเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค 7. หน้าฝนอากาศไม่ปลอดโปร่ง ทำให้คนมีจิตใจหดหู่ ควรหาเวลาไปพักผ่อนเพื่อเพิ่มออกซิเจนบริสุทธิ์ให้กับร่างกาย 8. อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้ร่างกายเสียสมดุลได้ง่าย เสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายด้วยการรับประทานวิตามินซีเสริมวันละ 500-1,000 มิลลิกรัม 9. ควรใส่เสื้อผ้าสีสดใส เพื่อเติมพลังงานให้กับจิตใจ ใครจะคิดบ้างว่าแค่การปรับเปลี่ยนสีเสื้อผ้าก็ทำให้อารมณ์คุณเปลี่ยนแล้ว 10. นอกจากเตรียมความพร้อมของร่างกายแล้ว ควรเตรียมความพร้อมด้านจิตใจ ทำจิตใจให้สงบนิ่ง ด้วยการนั่งสมาธิ เพื่อรับมือกับทุกสภาวะ :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
8วิธีดูแลสุขภาพหน้าร้อน
ในหน้าร้อน ยามกระหายน้ำ ทุกคนมักนึกถึงน้ำเย็น น้ำแข็ง น้ำ อัดลม หรือไอศกรีม หรือหากอากาศร้อนมากๆ ถ้าอยู่บ้านมักใช้วิธีเปิดพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศจ่อถึงเนื้อถึงตัวทั้ง วันทั้งคืน หรือบางคนนิยมไปหลบความร้อนตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ความเคยชินหลายอย่างอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพได้มากโดยที่เราคาดไม่ถึง แพทย์แผนจีนมีการบันทึกเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพหน้าร้อนไว้อย่างน่าสนใจ แนวความคิดพื้นฐานที่สำคัญประการหนึ่งของแพทย์แผนจีน คือ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมนุษย์และธรรมชาติรอบตัวที่มีความเกี่ยวพันและผล กระทบต่อกันอย่างแยกไม่ออก การเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติรอบตัวที่เด่นชัด คือ การเปลี่ยนแปลงของอากาศ ฤดูกาล ซึ่งได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ (มีลมแรง) ฤดูร้อน (มีแดดร้อน) ปลายฤดูร้อน(มีความชื้น) ฤดูใบไม้ร่วง (มีอากาศแห้ง) และฤดูหนาว (มีอากาศเย็น) จะมีผลต่อการปรับตัวของร่างกายและการเกิดโรค สาเหตุแห่งโรคที่มากระทบร่างกายจากการเปลี่ยนแปลงของอากาศและฤดูกาลมี ๖ ปัจจัยด้วยกัน คือ ลม แดดร้อน ความชื้น ความแห้ง ความเย็น และไฟ (ความร้อนที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย) ซึ่งแต่ละปัจจัยมีผลกระทบต่อการปรับตัวของร่างกายแตกต่างกัน ถ้าหากร่างกายไม่สามารถปรับตัวจากการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว หรือเพราะภาวะของร่างกายอ่อนแอจะทำให้เกิดโรคได้ ดังนั้น การเข้าใจถึงลักษณะธรรมชาติของปัจจัยก่อโรคและของร่างกาย รวมถึงประสบการณ์การดูแลตนเองอย่างเหมาะสมของคนจีนสมัยก่อนที่เรียนรู้จาก ชีวิตจริง ซึ่งหากนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตของคนสมัยใหม่ (ที่ห่างไกลธรรมชาติมากขึ้นทุกที) ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ผู้เขียนขอสรุปสั้นๆ ไว้ ๘ ข้อเพื่อดูแลสุขภาพในหน้าร้อน ดังนี้ :lol: ไม่ควรกินน้ำแข็งหรือดื่มน้ำเย็นจัด ฤดูร้อน อากาศร้อน ต้องหาทางช่วยดับความร้อน เพื่อป้องกันความร้อนกระทบร่างกายมากเกินไป เป็นหลักการที่ถูกต้อง แต่วิธีการให้ความเย็นแทนที่มากเกินไป เช่น กินน้ำแข็ง อยู่ในที่ที่มีความเย็น กินแต่อาหารที่มีความเย็น ฯลฯ นับว่าไม่เหมาะสม โดยทั่วไป เรามักดื่มน้ำเย็นๆ น้ำใส่น้ำแข็ง น้ำชาแช่เย็นหรือใส่น้ำแข็ง น้ำอัดลม ผลไม้แช่เย็น เช่นแตงโม สับปะรด ฯลฯ ของเย็นๆ เหล่านี้จะมีผลกระทบต่อระบบการย่อยอาหาร น้ำเย็นปริมาณมากจะไปเจือจางน้ำย่อย และมีผลให้เลือดที่มาหล่อเลี้ยงกระเพาะอาหาร เพื่อทำการย่อยลดน้อยลง ทำให้สมรรถภาพการย่อยอาหารลดลง ก่อให้เกิดโรคกระเพาะลำไส้อักเสบได้ง่าย คนที่เป็นโรคกระเพาะและเป็นแผลอักเสบอยู่แล้วก็จะกำเริบได้ง่าย หรือคนที่เป็นโรคหลอดลมอักเสบ หากดื่มน้ำเย็นก็จะยิ่งทำให้มีอาการไอและหอบมากขึ้น นอกจากนั้น น้ำแข็งที่ไม่สะอาดก็มีส่วนทำให้เกิดท้องร่วงท้องเสียอีกด้วย :roll: เครื่องดื่มที่เหมาะสมในหน้าร้อน ในฤดูร้อนที่เรามีการสูญเสียน้ำทางเหงื่อมาก การทดแทนน้ำในร่างกายที่เสียไปที่ดี คือ การดื่มน้ำเปล่า (ที่สุกแล้ว) หรือถ้าจะเสริมปรุงแต่งด้วยน้ำตาล เกลือ หรือสมุนไพรอื่นๆ ก็สามารถเลือกได้ตามความชอบและความเหมาะสม เช่น การดื่มชาร้อน น้ำเก๊กฮวยน้ำดอกสายน้ำผึ้ง น้ำใบไผ่ น้ำบ๊วย น้ำถั่ว จะช่วยลดความร้อนของหัว ใจ (การไหลเวียนเลือด) ทำให้ตาสว่าง เพิ่มน้ำในร่างกาย บำรุงตับ บำรุงไต เจริญอาหาร ช่วยระบบย่อยและดูดซึมอาหาร ขับปัสสาวะเสริมพลังร่างกาย การเติมน้ำตาลและเกลือ(ในปริมาณที่พอเหมาะ) ในเครื่องดื่มต่างๆ จะช่วยเสริมพลังและป้องกันการสูญเสียเกลือโซเดียมของร่างกายได้ โดยเฉพาะคนที่ทำงานกลางแจ้งหรือใช้แรงงานมาก ตัวอย่าง เครื่องดื่มสมุนไพรเพื่อสุขภาพหน้าร้อน ดอกเก๊กฮวย ๑๐ กรัม ชาใบเขียว ๑๐ กรัม ต้มใส่น้ำ ๕๐๐ ซีซี กินแทนน้ำ ช่วยขับร้อน ทำให้ตาสว่าง เสริมสร้างน้ำในร่างกาย ดับกระหาย ลดอักเสบ ขับพิษร้อน ใบบัวสด (บัวหลวง) ๒๐กรัม น้ำ ๑,๐๐๐ ซีซี นำมาต้ม เวลาดื่มเติมน้ำตาลเล็กน้อย จะช่วยขับร้อน ทำให้เย็น สร้างน้ำในร่างกาย ดับกระหาย ขับความชื้น ลดไขมันในเลือด ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำอย่างละ ๕๐ กรัม ต้มใส่น้ำตาลกินทั้งเปลือก มีสรรพคุณขับร้อน ทำให้เย็น ขับความชื้น บำรุงไต เพิ่มพลัง บ๊วยดำ ๑๐๐ กรัม น้ำ ๑,๐๐๐ ซีซี ต้มใส่น้ำตาลพอประมาณ ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นแล้วดื่ม มีสรรพคุณสร้างน้ำในร่างกาย ดับกระหาย หยุดไอ แก้ท้องเสีย การดื่มน้ำชาหรืออาหารสมุนไพรที่ร้อน มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการขับเหงื่อ กระจายความร้อน สังเกตได้ว่าหลังจากกินอาหารดังกล่าวจะทำให้รู้สึกสบาย สรรพคุณของสมุนไพรก็เพื่อทำให้ภายในร่างกายไม่ร้อนเกินไป และสร้างน้ำเพื่อไม่ให้เสียเหงื่อมาก แต่ไม่ควรดื่มน้ำชาใส่น้ำแข็ง เพราะมีผลเสียมากกว่าผลดี :lol: ไม่ควรนอนให้ลมหรือ ความเย็นโกรก ความร้อนจากลมแดดทำให้เสียเหงื่อ เสียพลัง เมื่อนอนหลับ ตากลมในขณะเหงื่อออก จะทำให้อุณหภูมิผิวของร่างกายลดต่ำลง ถ้าอุณหภูมิภายนอกยังสูงอยู่ แล้วเหงื่อไม่สามารถระบายออกได้ จะมีความร้อนสะสมอยู่ข้างใน ทำให้เวียนหัว รู้สึกหนักหัว ไม่สด ชื่นแจ่มใส หรืออาจทำให้เป็นหวัดได้ การใช้พัดลม หรือเครื่องปรับอากาศไม่ควรให้กระทบโดยตรงกับร่างกายนานๆ โดยเฉพาะที่บริเวณท้อง หากโดนลม นานๆ จะทำให้ท้องอืด ปวดท้อง ท้องเสียได้ หรือคนที่พลังพร่อง เมื่อโดนลมนานๆ จะทำให้เกิดความเย็น โดยเฉพาะที่บริเวณใบหน้า ทำให้การไหลเวียนเลือดน้อยลง คนที่อยู่ในห้องปรับอากาศ เวลาออกจากห้องต้องระวังการปรับตัวกับอากาศที่ร้อนภายนอก เด็กที่ไปเที่ยวตามห้างสรรพสินค้าต้องระวัง เพราะการเปลี่ยนแปลงของอากาศที่รวดเร็วจะทำให้ไม่สบายได้ง่าย ;-) การนอน การพักผ่อน โดยธรรมชาติของฤดูร้อน กลางวันจะยาว กลางคืนจะสั้น (คนทั่วไปที่ไม่ได้นอนในห้องปรับอากาศที่ปรับอุณหภูมิ) กว่าอากาศจะเย็นสบายให้นอนหลับได้ก็มักจะดึก แล้วตอนเช้าตรู่ท้องฟ้าก็สว่างเร็ว ทำให้ต้องตื่นเช้ากว่าที่เคยเป็น หน้าร้อนเราจะนอนได้น้อยกว่าปกติ ขณะเดียวกันอุณหภูมิในตอนกลางวันจะทำให้เสียเหงื่อ เสียพลัง เหนื่อยง่าย (เพราะมีเลือดไหลเวียนมาที่ผิวกายมากกว่าปกติ แต่ไปเลี้ยงสมองหรือไป ที่ระบบการย่อยอาหารน้อยกว่าปกติ) ทำให้ไม่ค่อยสดชื่น สมองไม่ปลอดโปร่ง รู้สึกง่วงตลอด ในภาวะเช่นนี้ หลายคนที่อยู่ในห้องปรับอากาศอาจจะไม่ค่อยรู้สึกกับการเปลี่ยนของอากาศมาก นัก แต่สำหรับคนทั่วไป (โดยเฉพาะคนในชนบทหรือคนที่ต้องทำงานในที่กลางแจ้ง) การได้พักผ่อนนอนหลับในช่วงกลางวันบ้าง จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพไม่น้อยเลย ผู้ที่ทำงานในที่ทำงานคงจะนอนหลับกลางวันไม่สะดวก อาจใช้วิธีนั่งพิงพนักตัวตรง หลับตา สงบนิ่งๆ ในช่วงกลางวัน ก็เป็นการพักผ่อนที่ดี แต่สำหรับผู้ที่สถานทีอำนวยที่จะนอนหลับช่วงกลางวันนั้น ท่าที่นอนควรเป็นท่านอนราบหรือนอนตะแคง ห้ามนอนคว่ำ หรือนอนฟุบบนโต๊ะทำงาน เพราะจะกดท้อง กดทรวงอก กระทบการหายใจ ทำให้กล้ามเนื้อไม่คลายตัวจึงผ่อนคลายไม่เต็มที่ :-o อาหาร ในหน้าร้อนระบบการย่อยอาหารจะทำงานน้อยลง ทำให้ไม่ค่อยรู้สึกหิว การปฏิบัติตัวสำหรับการกินอาหารที่เหมาะสมในหน้าร้อนนั้น พอสรุปได้ ดังนี้ ๑. ข้าวต้มมื้อเช้า ตอนตื่นนอน ท้องจะว่างเนื่องจากกระเพาะอาหารพร่อง ควรเริ่มต้นมื้อเช้าด้วยอาหารอ่อนๆ เพราะในหน้าร้อน ร่างกายได้รับการกระตุ้นจากความร้อนทั้งกลางคืนและกลางวัน ทำให้สูญเสียน้ำ การทำงานของระบบย่อยและดูดซึมอาหารลดลง จึงยิ่งต้องถนอมการทำงานของกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นด่านสำคัญที่จะย่อยสารอาหารเพื่อนำไปใช้ประโยชน์แก่ร่างกาย ข้าวต้มอาจผสมถั่วเขียว, เมล็ดบัว หรือรากบัว ซึ่งเป็นอาหารที่ย่อยง่ายและช่วยขับความร้อน เสริมระบบการทำงานของกระเพาะอาหารและม้าม ๒. ควรกินผลไม้ที่แพทย์แผนจีนถือว่ามีคุณสมบัติเย็น ขับร้อน เพิ่มน้ำในร่างกาย ผลไม้ที่มีคุณสมบัติเย็น เช่น แตงกวา, แตงโม, แตงไทย, มังคุด, สับปะรด, สาลี่ เป็นต้น เหมาะสำหรับ กินแก้กระหายและขับร้อนในร่างกาย แต่ไม่ควรแช่เย็นจัด หรือกินในตอนกลางคืน หรือขณะที่ท้องว่างหรือเวลาหิวจัด ๓. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทฤษฎีแพทย์จีนถือว่ามีคุณสมบัติร้อน อาหารทอดๆ มันๆ แห้งๆ ควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกทอดๆ มันๆ เช่น ถั่วทอด, กล้วยแขก, ปาท่องโก๋, ไก่ทอด ฯลฯ หรืออาหารที่มีคุณสมบัติร้อน เช่น น้อยหน่า, ทุเรียน, ลิ้นจี่, ลำไย, ขนุน เป็นต้น โดยเฉพาะในขณะที่มีอาการคอแห้ง, คันคอ, เจ็บคอ หรือเป็นไข้ตัวร้อน ถ้าจะกินก็ควรกินแต่น้อย แล้วดื่มน้ำเกลือ (น้ำเปล่าผสมเกลือป่น) เพื่อดับความร้อน หรือกินอาหารที่มีคุณสมบัติเย็น ช่วยปรับสมดุล สิ่งที่ควรระวังอีกอย่าง คือ หน้าร้อนอาหารจะบูดเสียง่าย เนื่องจากเชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดีในอากาศร้อนชื้น ดังนั้นจึงควรจะระมัดระวังเรื่องการกิน ควรกินอาหารที่ทำสุกใหม่ๆ จะปลอดภัยกว่า :-D การดูแลสุขภาพเด็กเล็ก ในเด็ก การปรับตัวของร่างกายจะยังไม่สมบูรณ์เหมือนผู้ใหญ่ เด็กๆ จึงเจ็บป่วยได้ง่ายโดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่จะต้องให้ความเอาใจใส่ดูแลลูกในเรื่องสำคัญๆ ๔ เรื่องด้วยกัน นั่นคือ เรื่องเสื้อผ้า ควรเป็นประเภทผ้าฝ้ายที่ดูดซับเหงื่อและระบายความร้อนได้ดี เสื้อผ้าของเด็กต้องหลวม ไม่คับ เพราะจะทำให้เด็กรู้สึกอึดอัด และควรระวังเรื่องการอับชื้นจากปัสสาวะ เพราะจะทำให้ผิวหนังเกิดผดผื่นคันได้ เรื่องอาหาร ในหน้าร้อนระบบการย่อยอาหารจะทำงานน้อยลง (ตามที่กล่าวไว้ในข้อ ๕) ร่างกายของเด็กยังอ่อนแอ และติดเชื้อได้ง่าย เพราะฉะนั้น อาหารจึงต้องสุกและสะอาดเสมอ น้ำแข็ง น้ำอัดลม ไอศกรีม ที่เป็นของโปรดของเด็กๆ ทุกคน ขณะเดียวกันความเย็นก็จะทำให้ระบบการย่อย การดูดซึมอาหารผิดปกติ จึงไม่ควรให้เด็กๆ กินบ่อย ที่อยู่อาศัย การระบายความร้อนในห้องนอนมีความสำคัญต่อเด็กมาก ถ้าหากไม่มีเครื่องปรับอากาศ การใช้พัดลมต้องระมัด ระวังไม่ให้พัดลมถูกตัวเด็กโดยตรงไม่ควรให้เด็กนอนในที่เปียกชื้น บนพื้นปูน หรือพื้นที่เย็น ในกรณีที่เด็กมีเหงื่อออกมาก ต้องพลิกตัวเด็กบ่อยๆ เพื่อระบายความร้อนและใช้ผ้าผืนบางๆ เล็กๆ ปิดบริเวณหน้าอกและบริเวณท้อง เพื่อป้อง กันการกระทบความเย็น การเดินทาง ในแสงแดดมีรังสีอินฟราเรดและรังสีอัลตราไวโอเลตซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย ดังนั้น เมื่อต้องเดินทางไปไหน โดยเฉพาะในช่วงปิดเทอม คุณพ่อคุณแม่จึงควรให้ลูกสวมหมวก ใส่เสื้อแขนยาว และกางเกงขายาว เพื่อช่วยป้องกันแสงแดด 8-O หญิงตั้งครรภ์กับการปฏิบัติตัวในหน้าร้อน ขณะตั้งครรภ์ การเผาผลาญพลังงานในร่างกายของผู้หญิงจะสูงกว่าภาวะปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงใกล้คลอด จึงทำให้มีอาการหงุดหงิด มีเหงื่อออก อ่อนเพลีย และเกิดภาวะลมแดดง่ายกว่าคนปกติ อย่างไรก็ตาม ในผู้หญิงตั้งครรภ์ การสวมใส่เสื้อผ้าจะต้องมิดชิด และเพื่อป้องกันการกระทบความเย็น จึงควรหลีกเลี่ยงการเปิดพัดลมกระทบโดยตรง ขณะเดียวกันต้องป้องกันความร้อนอบอ้าวด้วย การระบายอากาศในห้องจึงต้องดี ไม่ควรนอนบนเสื่อที่เย็น และ ควรมีผ้าห่มคลุมกายเสมอ ดื่มน้ำให้เพียงพอ ระวังอย่าให้เป็นหวัด ห้ามอาบน้ำร้อนจัดหรือเย็นจัดเกินไป เสื้อผ้าต้องหลวม ระบายอากาศดี ดูดซับเหงื่อได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย ฯลฯ และผิวกายต้องสะอาดสะอ้าน อาหารที่กินต้องสดสะอาด และมีประโยชน์ เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ปลา นม ถั่ว ฯลฯ ผลไม้พวกแตง (แตงโม แตงกวา) รวมทั้งมะเขือเทศ ซึ่งมีฤทธิ์ขับร้อน หยุดกระหาย ก็มีความเหมาะสม (แต่ไม่ควรแช่เย็น) และควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทอุ่นร้อน อาหารและเครื่องดื่มที่ลดร้อนควรเป็นพวกถั่วเขียวต้ม ชาดอกเก๊กฮวย น้ำดื่มที่มีน้ำหวานและเกลือ (เกลือแร่) นอกจากนี้ หญิงตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของ แอลกอฮอล์หรือ กาเฟอีน เพราะสามารถผ่านเข้าไปในรกได้ง่าย และยังผ่านไปยังเต้านมไปถึงทารกได้ด้วย บุคคล ๓ ประเภทที่ต้องระวังให้มาก คนสูงอายุที่ร่างกายอ่อนแอ (คนสูงอายุมักมีระบบย่อยไม่ดีและความร้อนในร่างกายจะถดถอย เนื่องจากไตเสื่อมตามสภาพ), คนที่มีสภาพของม้ามพร่อง (มีอาการการย่อยอาหารและการดูดซึมไม่ดี ท้องอืดง่าย), คนที่มีสภาพของไตหยางพร่อง (มีอาการขี้หนาว แขนขาเย็น ลิ้นบวม และสีซีดขาว) ผู้ที่มีลักษณะทั้ง ๓ อย่างดังกล่าว เมื่อได้รับความร้อนจากแดดร้อน ถ้าดื่มน้ำเย็นหรือกินอาหารที่มีความเย็นมากเกินไป จะทำให้ระบบการย่อยอาหารและการดูดซึม ผิดปกติได้ และเกิดความชื้นสะสมในร่างกาย อาการที่แสดงออก คือ ท้องเสีย ติดเชื้อง่าย ขี้หนาว ปวดหัว ตัวร้อนแต่ไม่สามารถขับเหงื่อได้ ปวดข้อและปวดตามกล้ามเนื้อ มักตรวจ พบว่า มีฝ้าสีขาวบนลิ้น คิดว่าความรู้ต่างๆ เหล่านี้ คงทำให้ทุกคนผ่านพ้นหน้าร้อนปีนี้และทุกๆ ปีไปอย่างสุขกาย สุขใจ ไร้ปัญหานะครับ ลักษณะธรรมชาติของความร้อน (ร้อนแดด) ๑. มีลักษณะเป็นปัจจัยด้านหยาง (กระตุ้นการทำงานของร่างกาย) ดังนั้น เมื่อกระทบร่างกายจะแสดงออกไปทางด้านที่แกร่ง เช่น หัวใจเต้นแรงเร็ว หน้าแดง ร้อนหงุดหงิด ๒. มีลักษณะกระจายตัวขึ้นส่วนบนของร่างกายทำให้สูญเสียน้ำในร่างกาย เช่น ทำให้รูขุมขนเปิด มีการระบายเหงื่อ (ช่วยระบายความร้อน = แพทย์แผนตะวันตก) จึงทำให้คอแห้ง กระหายน้ำ ปัสสาวะเข้ม ปริมาณน้อย การสูญเสียสารน้ำจะทำให้สูญเสียพลังไปด้วย เพราะฉะนั้น ในคนที่ร่างกายอ่อนแอ (พลังพร่อง) อาจทำให้เป็นลมหมดสติได้ ๓. มีลักษณะอมความชื้น บางครั้งในฤดูร้อนอาจจะมีฝนตกร่วมด้วย (โดยเฉพาะตอนปลายฤดูร้อนเข้าต้นฤดูฝน) ซึ่งความชื้นนี้จะทำให้รู้สึกแน่นอึดอัดบริเวณท้องและทรวงอก เพราะไปกระทบระบบการย่อยและดูดซึมสารอาหารของร่างกาย หนังสือ "เซ่อ เซิง เซียวซิ ลุ่น" สมัยราชวงศ์หยวนได้บันทึกไว้ว่า "ฤดูร้อน ไฟหัวใจจะแกร่ง ไตจะอ่อนแอ ความร้อนภายนอกมีมาก ไม่สมควรกินน้ำแข็ง ข้าวหรือโจ๊กที่เย็นชืด เพราะท้องที่กระทบความเย็นมาก อาจทำให้ท้องเสีย ไม่ควรนอนกลางแจ้ง ท่ามกลางแสงจันทร์และแสงดาว การได้รับลมโกรกแรงและนานจะทำให้ลมเข้าสู่ส่วนลึกของร่างกาย เพราะฉะนั้น คนที่กินของเย็นร่วมกับการสูญเสียเหงื่อมาก เมื่อกระทบลมเย็นจะทำให้กล้ามเนื้อชาง่าย"
เคล็ดลับ การทำความสะอาดและถนอมผ้า
การทำความสะอาดและถนอมผ้า 1.ผ้าเปื้อนหมากฝรั่ง 1.) ใช้ผ้าชุบน้ำมันเบนซิน แล้วเช็คตรงรอยเปื้อน หมากฝรั่งก็จะหลุดจากผ้าออกจนหมดสิ้น 2.) นำผ้าห่อน้ำแข็ง มาประคบบริเวณที่เปื้อนหมากฝรั่งสัก 5 นาที ดูจนหมากฝรั่งเริ่มจับตัวเป็นก้อนแข็ง แล้วจึงแกะหมากฝรั่งออก หมากฝรั่งจะหลุดร่อนออกมาอย่างง่ายดายโดยไม่ทิ้งใยเหนียวๆ ติดเสื้อผ้า เพราะว่าความเย็นจากน้ำแข็ง จะทำให้ ความสามารถในการยืดหยุ่นของหมากฝรั่งจับตัวกัน 3.) ใช้ยาหม่อง ทาถูๆ ยาหม่องบริเวณผ้าที่ติดหมากฝรั่ง ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที หมากฝรั่งจะหลุดล่อนออกมาอย่างง่ายดาย 2.ผ้าเปื้อนหมึกปากกา 1. น้ำส้มสายชูกับบอแรกซ์ ผสมน้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ นมสด 2 ช้อนโต๊ะ ผงบอแรกซ์และน้ำมะนาวอย่างละ 1 ช้อนชา คนส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน แล้วนำไปป้ายลงบนคราบเปื้อน ทิ้งไว้ 10 นาที จากนั้นก็ใช้ฟองน้ำชุบน้ำเย็บค่อย ๆ เช็ดคราบหมึกที่ติดเสื้อผ้าอยู่จนกว่าคราบเปื้อนจะหมดไป 2. สเปรย์แต่งผม ถ้าคุณมีสเปรย์จัดแต่งทรงผมอยู่ในบ้าน จะใช้สเปรย์จัดแต่งทรงผมฉีดลงบนคราบเปื้อนให้ท่วม ปล่อยทิ้งไว้สักครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยใช้ฟองน้ำชุบน้ำเย็นมาซับคราบออกไปจนหมดก็ได้ วิธีนี้อาจจะต้องทำซ้ำกันสัก 2-3 ครั้ง จนกว่าคราบจะหมดนะคะ 3. น้ำยาล้างเล็บ บ้านไหนที่มีน้ำยาล้างเล็บ ชนิดที่ไม่ผสมสี และไม่มีกลิ่น อาจจะลองทดสอบน้ำยาล้างเล็บกับปลายผ้าก่อน ถ้าไม่เกิดความเสียหายกับผ้า จะลองใช้สำลีชุบน้ำยาล้างเล็บ มาจุ่มไว้บนคราบจนชุ่ม ทิ้งไว้สักครึ่งชั่วโมง แล้วก็ใช้ฟองน้ำชุบน้ำเย็นมาเช็ดคราบจนสะอาดก็ได้จ้า 4. ยาสีฟัน ยาสีฟันก็ช่วยกำจัดคราบหมึกบนเสื้อผ้าได้เหมือนกัน แต่มีข้อแม้ว่า ต้องเลือกยาสีฟันที่ไม่มีสี ไม่ใช่เนื้อเจล และไม่มีสารฟอกฟันขาวด้วย เมื่อได้ยาสีฟันครบตามคุณสมบัติที่ต้องการแล้ว ก็นำมาป้ายลงบนคราบเปื้อน ทิ้งไว้ 2-3 นาที แล้วนำไปล้างผ่านน้ำเย็น จะใช้แปรงสีฟันช่วยขจัดคราบด้วยก็ดีค่ะ 5. แอลกอฮอล์ ใครที่อยากจะลองขจัดคราบเปื้อนจากหมึกด้วยแอลกอฮอล์ก็สามารถทำได้ โดยใช้ฟองน้ำหรือสำลีชุบแอลกอฮอล์ให้ชุ่ม จากนั้นก็บีบให้แอลกอฮอล์หยดลงบนคราบจนชุ่ม เสร็จแล้วก็ทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง เสร็จแล้วก็ซับคราบออกด้วยฟองน้ำ ตามด้วยซักเสื้อผ้าด้วยน้ำเย็นอีกที 6. น้ำส้มสายชูกับน้ำยาล้างจาน บางคนอาจจะใช้น้ำส้มสายชูกลั่นในห้องครัวมาราดลงบนคราบเปื้อนโดยตรงเลยก็ได้ ทิ้งไว้สัก 10 นาที แล้วค่อยบีบน้ำยาลงจานลงไปบนคราบเปื้อนสัก 2-3 หยด จากนั้นก็ใช้นิ้วมือค่อย ๆ ขัดคราบเปื้อนเบา ๆ ทิ้งไว้อีกสัก 5 นาที เสร็จแล้วก็นำไปล้างผ่านน้ำเย็น ระหว่างนั้นจะใช้สบู่มาขัดทำความสะอาดคราบเปื้อนร่วมด้วยก็ได้จ้า 7. น้ำมันอเนกประสงค์ WD 40 ดูไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไร ว่าน้ำมันอเนกประสงค์ WD 40 จะสามารถขจัดคราบหมึกบนเสื้อผ้าได้ วิธีการก็ไม่ยากอีกต่างหาก แค่ฉีดน้ำมันเอนกประสงค์ WD 40 ลงไปบนคราบจนชุ่ม ทิ้งไว้ 1-2 นาที แล้วก็นำไปล้างน้ำเท่านี้เอง แต่เขาว่ากันว่า วิธีนี้มันใช้ได้ผลจริง ๆ นะ 8. โฟมโกนหนวด วิธีนี้ต้องพึ่งครีมโกนหนวดชนิดเนื้อโฟม เพราะแค่กดเนื้อโฟมโกนหนวดป้ายลงบนคราบเปื้อนไว้สัก 10 นาที จากนั้นก็นำไปล้างผ่านน้ำเย็น ขัดคราบด้วยนิ้วมืออีกนิดหน่อย แค่นี้คราบหมึกที่ติดอยู่กับเสื้อผ้าก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอยเลยล่ะ 9. น้ำเย็น ถือเป็นอักหนึ่งวิธีที่ไม่ยาก แค่นำผ้าที่เปื้อนไปล้างน้ำเย็น จนผ้าชุ่มน้ำพอสมควร จากนั้นก็นำสบู่ก้อนมาขัดถูคราบสกปรกเบา ๆ เสร็จแล้วก็ทิ้งไว้สัก 5 ชั่วโมง เมื่อครบเวลาแล้วก็บีบน้ำยาล้างจานลงไปสัก 2-3 หยด ใช้นิ้วมือขัดถูคราบเบา ๆ อีกหน่อย แล้วก็นำเสื้อผ้าไปล้างผ่านน้ำเย็นจนสะอาดเท่านี้ก็เรียบร้อย 10. นมเปรี้ยว หลายคนอาจจะต้องทึ่งถ้าบอกว่านมเปรี้ยวก็สามารถขจัดคราบหมึกบนเสื้อผ้าได้เหมือนกัน วิธีก็คือ ให้แช่เสื้อผ้าที่เปื้อนในนมเปรี้ยวประมาณ 24 ชั่วโมง จากนั้นก็นำเสื้อผ้ามาซักด้วยน้ำเย็นไหลผ่าน ขณะที่ซักเสื้อผ้าด้วยน้ำเย็นให้นำสบู่ก้อนมาขัดถูคราบเปื้อนร่วมด้วย เสร็จแล้วก็นำเสื้อผ้าไปซักในน้ำเย็นอีกครั้ง ถ้าคราบเปื้อนยังคงหลงเหลืออยู่ ให้ทำตามขั้นตอนทั้งหมดอีกเรื่อย ๆ จนกว่าคราบหมึกจะหมดไปค่ะ 3.ผ้าเปื้อนโคลน หากเกิดคราบเปื้อนจากโคลนบนเสื้อผ้า ทิ้งคราบไว้ให้แห้งสนิท แล้วใช้แปรงถูเอาคราบออกก่อน จากนั้นป้ายน้ำยากำจัดคราบลงบนรอยเปื้อน แล้วแช่ผ้าในน้ำอุ่นที่ผสมน้ำยาล้างจาน 1 ช้อนชา และน้ำส้มสายชูกลั่น 1 ช้อนโต๊ะ ประมาณ 15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที ค่อยซักตามปกติ แต่ถ้าคราบยังไม่จางหายไป ให้ใช้ฟองน้ำชุบแอลกอฮอล์ (Rubbing Alcohol) แล้วเช็ดไปตามรอยเปื้อน จากนั้นล้างน้ำสะอาดและซักตามปกติ หรือจะใช้วิธีแช่น้ำยาขจัดคราบหรือน้ำยาฟอกผ้าขาว และทิ้งไว้ 30 นาทีก็ได้เช่นกันค่ะ 4.ผ้าเปื้อนเลือด สำหรับคราบเลือดที่ติดอยู่กับเสื้อผ้าตัวโปรดของเรา ก็สามารถกำจัดออกได้ง่าย ๆ ด้วยน้ำเย็นจัดกับสบู่ แต่ที่สำคัญต้องใช้ความรวดเร็วในการกำจัดคราบเลือด ตั้งแต่ที่เสื้อผ้าเปื้อนเลือดใหม่ ๆ ไม่เช่นนั้นหากคราบเลือดแห้งกรังแล้วจะยิ่งกำจัดออกยาก โดยเริ่มแรกให้คุณใช้กระดาษ หรือผ้าแห้งซับเลือดออกให้ได้มากที่สุด จากนั้นก็นำเสื้อไปแช่กับน้ำเย็นจัด เพื่อป้องกันโปรตีนในเลือดจับตัว แล้วก็ใช้สบู่ก้อนถูลงไปบนคราบเลือดให้ทั่ว หรือจะใช้น้ำยาซักผ้าป้ายลงไปบนคราบก็ได้ เสร็จแล้วก็ลงมือขยี้ผ้าเบา ๆ เพื่อกำจัดคราบ ถ้าคราบเลือดดูท่าจะไม่จางไปง่าย ๆ ให้เปลี่ยนจากสบู่และน้ำยาขจัดคราบ มาใช้ไฮโดรเจนเปอร์อ็อกไซด์แทนค่ะ 5.ผ้าขึ้นรา ในช่วงฤดูฝนแบบนี้ ปัญหาความอับชื้นอาจทำให้เสื้อผ้าเกิดราขึ้นมาได้ค่ะ และหากมีราขึ้นย่อมทำให้เสื้อผ้าไม่สะอาด ส่งผลเสียต่อสุขภาพและบุคลิกของผู้สวมใส่ด้วย แต่หากเสื้อผ้าของคุณขึ้นราเป็นจุด ๆ สีดำ ๆ ขึ้นมา ก็ให้ลองเอาเสื้อตัวนั้นไปแช่นมเปรี้ยว โดยแช่เฉพาะจุดที่ขึ้นราไว้ประมาณ 1 คืน และตอนเช้าก็ให้นำไปตากแดดให้แห้ง ก่อนนำไปซัก เพียงเท่านี้รอยดำ ๆ จุด ๆ จากเชื้อราก็จะหายไปเอง หรือหากยังมีรอยอยู่บ้าง ก็ให้ใช้น้ำมะนาวมาหยดบริเวณรอยที่ขึ้นรานั้น คราวนี้ก็จะหมดร่องรอยของราแน่นอนค่ะ :roll: :roll: :roll: :roll: :roll:
7 อาหารแสลงหน้าร้อน
7 อาหารแสลงหน้าร้อน อาหาร 7 อย่างต้องห้ามหน้าร้อน มาดูกันซิว่า อาหารแสลงในช่วงอากาศร้อน ๆ อย่างนี้มีอะไรบ้าง จะได้หนีห่างให้ไกล ๆ เลย ไอร้อนและเปลวแดดที่แผดเผาในช่วงซัมเมอร์นี้ทำให้เรารู้สึกอ่อนเพลียได้มากกว่าปกติจริง ๆ นะคะ เราถึงได้รู้สึกหิวกระหายน้ำอยู่บ่อย ๆ ถึงได้มีคำแนะนำให้จิบน้ำเปล่าเยอะ ๆ หรือทานผลไม้ฉ่ำ ๆ จะได้ช่วยเติมน้ำเติมความสดชื่นให้ร่างกายได้ อ๊ะ ! แต่นอกจากการทานอาหารและเครื่องดื่มที่ช่วยดับร้อนให้ร่างกายแล้ว ก็ต้องระวังอย่าเผลอไปทานอาหารที่จะมาเพิ่มความร้อนให้ร่างกายเด็ดขาดเพราะจะทำให้ร่างกายเรายิ่งร้อน เสี่ยงต่อการอักเสบและเกิดโรค มาดูกันค่ะว่ามีอาหารประเภทไหนบ้าง 1. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เวลาเราดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เราจะรู้สึกร้อนวูบวาบใช่ไหมคะ นี่ล่ะ เพราะแอลกอฮอล์จะไปทำให้เส้นเลือดขยาย หากดื่มในเวลาที่อากาศรอบตัวร้อนจัด มีโอกาสที่คุณจะช็อกได้เลย นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังมีผลเสียกับตับเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะไปเพิ่มความร้อนให้ตับ ทำให้ตับต้องทำงานหนักขึ้นในการล้างพิษเหล้า เลยยิ่งเกิดกระบวนการอักเสบขึ้นในตัวเรา 2. เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อย่างกาแฟ หรือชา เพราะคาเฟอีนมีฤทธิ์ทำให้เราต้องปัสสาวะบ่อยขึ้น เป็นการขับน้ำออกจากร่างกาย เมื่อร่างกายขาดน้ำเราจะรู้สึกเพลียแดดได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ฤทธิ์ของคาเฟอีนยังไปกระตุ้นถึงแต่ละอณูของสมอง ทำให้เกิดอาการกระวนกระวาย ใจสั่น ดังนั้น จึงควรงดดื่มกาแฟในวันที่ต้องออกไปทำงานกล้างแจ้ง หรือถ้าติดกาแฟจริง ๆ ไม่ดื่มไม่ได้ ก็ขอให้ดื่มน้ำตามเข้าไปช่วยอีกแรง 3. ขนมหวานทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นลูกอม ขนมไทยที่ส่วนใหญ่จะมีรสหวาน ข้าวเหนียวมะม่วง ขนมเค้ก ฯลฯ ก็ทำให้ร่างกายเราร้อนขึ้นได้ เพราะเมื่อร่างกายเราเผาผลาญน้ำตาลจะสร้างความร้อนขึ้นมา และยังปล่อยขยะที่เกิดจากการเผาผลาญออกมาทำร้ายร่างกายอีกด้วย 4. ของทอด ของมัน ของทอดแสนอร่อยที่ชอบทานกันนั้นได้รับความร้อนมาจากน้ำมันที่ใช้ทอด และน้ำมันทอดนี่เองที่ทำให้ร่างกายเราร้อน และเกิดการอักเสบได้ด้วย เช่นเดียวกับของมัน ๆ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นนม เนย วิปครีม ครีมเทียม ถือเป็นทรานส์แฟตที่ทำให้ร่างกายของเราเกิดการอักเสบ และกระทบต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจได้ทีเดียว 5. อาหารรสเค็มจัด ยิ่งกินเค็มเท่าไร ไตก็ทำงานหนักขึ้นเท่านั้น ซึ่งปกติแล้วในหน้าร้อนไตของเราจะทำงานหนักขึ้นอยู่แล้ว เพื่อคอยสงวนน้ำไว้ในร่างกาย จะได้ไปหล่อเลี้ยงอวัยวะและขับเหงื่อดับร้อน แต่ถ้าเรายิ่งทานของเค็ม ๆ ซ้ำเติมลงไปอีก จะยิ่งกดดันให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น ดังนั้นต่อไปถ้าจะทานอาหาร ไม่ควรปรุงรสเค็มจากน้ำปลา ซีอิ๊ว ฯลฯ เพิ่มอีก ปริมาณที่พอดีก็คือ ไม่ควรทานน้ำปลาเกิน 1 ช้อนโต๊ะต่อวัน ส่วนเกลือก็ไม่ควรทานเกิน 1 ช้อนชาต่อวัน 6. ผลไม้รสหวานฉ่ำน้ำตาล ผลไม้หวาน ๆ อย่างเช่น ทุเรียน ละมุด ขนุน ลำไย จริง ๆ ก็สามารถทานได้ แต่ไม่ควรทานมากจนเกินไป เพราะในผลไม้เหล่านี้มีน้ำตาล "ฟรุกโตส" ซึ่งมีส่วนในการสร้างอนุมูลอิสระและไขมันในร่างกาย โดยเฉพาะทุเรียนต้องระวังอย่าทานมากเกินไปค่ะ เพราะในเนื้อทุเรียนมี "กำมะถัน" ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สร้างความร้อนให้ร่างกายมาก ยิ่งมาผสมกับน้ำตาลฟรุกโตสแล้ว ดังนั้นควรทานพอประมาณเท่านั้น ไม่ใช่นั้นได้ร้อนในแน่ ๆ 7. น้ำอัดลม เครื่องดื่มรสหวาน หลายคนอาจคิดในใจว่า ยิ่งอากาศร้อนก็ต้องยิ่งดื่มน้ำหวานน้ำอัดลมจะได้สดชื่นดับกระหายคลายร้อน ซึ่ง นพ.กฤษดา ก็ยอมรับว่า เครื่องดื่มหวานจัดเย็นเจี๊ยบช่วยให้ความสดชื่นได้จริง แต่ถ้าดื่มบ่อยไปก็ยิ่งชวนให้กระหายน้ำมากขึ้นเหมือนกัน เพราะในเครื่องดื่มเหล่านี้มีน้ำตาล อีกทั้งดื่มมากไปจะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลเกินโควต้าต่อวัน และยิ่งมีกรดซ่าหรือคาร์บอนิกที่ทำให้เกิดความซาบซ่า จะไปกัดกร่อนเคลือบฟันได้ อย่างไรก็ตาม นพ.กฤษดา ก็บอกด้วยว่า อาหารทั้ง 7 อย่างนี้อาจส่งผลหรือไม่ส่งผลอันตรายต่อร่างกายก็ได้ขึ้นอยู่กับตัวเองเป็นสำคัญ เพราะถ้าหากทานเยอะ ๆ ทานบ่อย ๆ ก็มีสิทธิ์ป่วยไข้ในหน้าร้อนนี้ได้ เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
10 เคล็ดลับความสวยที่ทั้งเจ๋งและแปลก
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม สาว ๆ หลายคนพอได้ยินเรื่องเคล็ดลับความสวยความงามส่วนมากก็จะหูผึ่งกันทันที ก็แหม สมัยนี้จะมาทำเหนียมอาย ไม่กระตือรือร้นกับเรื่องความสวยก็คงจะไม่ได้ เพราะเผลอแป๊บเดียวเด็กรุ่น ๆ หรือไม่ก็สาวประเภทสองพากันสวยแซงหน้าไปเป็นแถว โอ๊ย พูดแล้วก็เพลียใจ เอาเป็นว่ามาเก็บข้อมูลเคล็ดลับความสวยความงามเพิ่มเติมกันไว้ดีกว่า และรับรองได้เลยว่าเคล็ดลับความสวย 10 ข้อต่อไปนี้จะไม่ใช่เคล็ดลับแบบเดิม ๆ ที่เคยเห็นกันมาแน่ ๆ แถมยังเป็นเคล็ดลับแปลกแต่เจ๋ง ที่ต้องบอกว่า อู้ว มันเริ่ดอ่ะ ! 1. ปัดมาสคาร่าสุดชิลแบบไร้คราบเปื้อน เชื่อว่าหลายคนหงุดหงิดกับคราบเปื้อนของมาสคาร่าบนเปลือกตาทุกครั้งที่ปัด มันแน่ ๆ เพราะต้องเสียเวลามานั่งลบคราบเปื้อนเหล่านี้ออกให้หมด แต่ต่อไปนี้จะปัดมาสคาร่าแบบชิล ๆ กันมากขึ้นแล้วล่ะ เพราะเพียงแค่ใช้ช้อนพลาสติกปิดเปลือกตาเอาไว้ในระหว่างที่ปัดมาสคาร่า เท่านี้ก็จะหมดกังวลกับปัญหาคราบเปื้อนส่วนเกินจากมาสคาร่าแล้วจ้า 2. ตาบวม แก้ง่ายด้วยมันฝรั่งดิบ เช้าวันไหนที่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับตาบวม ๆ ก็อย่าเพิ่งหัวเสียนะจ๊ะ แต่ให้รีบเข้าครัวไปหามันฝรั่งดิบสักหัว แล้วนำมาปอกเปลือก ล้าง และฝานเป็นชิ้นขนาดพอดี ๆ สัก 2 ชิ้น จากนั้นก็นำมาประคบบนตาที่บวมตุ่ยของเราได้เลย แปะทิ้งไว้อย่างนั้นสัก 10 นาที มันฝรั่งจะช่วยสลายน้ำที่เป็นสาเหตุของอาการบวมที่ตาเราได้อยู่หมัดเลยล่ะ 3. ยาแก้ท้องเสียเป็นมาส์กหน้าสุดจี๊ดช่วยลบรอยสิว !? บอกไปคงไม่อยากจะเชื่อกันแน่ ๆ ว่ามาส์กหน้าสูตรที่ช่วยลบรอยแดงจากสิว ลดสิวอักเสบ และรอยจากอาการระคายเคืองต่าง ๆ บนใบหน้าได้อย่างเห็นผลชัดเจน จะเป็นยาแก้ท้องเสีย ยาระบาย หรือยาแก้ท้องอืดดี ๆ นี่เอง ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าในยาแก้ท้องเสียที่มีตัวยาที่ชื่อว่า bismuth subsalicylate ผสมอยู่ เมื่อมาอยู่ในรูปแบบของยาแบบนี้ก็จะกลายเป็น กรดซาลิไซลิค (salicylic acid) ที่มีฤิทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ดีในระดับหนึ่ง แถมยังสามารถลดการเกิดโพรสตาแกลนดิน (prostaglandin) ที่เป็นสารที่ทำให้เกิดอาการอักเสบ จึงสามารถลดรอยแดงจากการอักเสบของผิวได้นั่นเอง วิธีมาส์กก็สุดง่าย เพียงแค่ใช้สำลีจุ่มตัวยา แล้วนำมาทาให้ทั่วหน้า รอจนตัวยาแห้งก็ล้างออกด้วยน้ำสะอาดเท่านี้ก็เรียบร้อย แต่ก่อนจะไปหาซื้อยาแก้ท้องเสียมามาส์กหน้า ยังไงก็อย่าลืมดูส่วนประกอบของยาว่ามีตัวยา bismuth subsalicylate ผสมอยู่หรือเปล่าด้วยนะ 4. กากกาแฟสดช่วยขจัดเซลลูไลท์ ใครที่มีปัญหาเซลลูไลท์คุกคามผิวหนังหลายจุด ก็ลองสครับผิวด้วยกากกาแฟสดดูบ้างก็ได้ เพราะคาเฟอีนในกากกาแฟสดสามารถกระตุ้นเซลล์ผิวให้ทำงาน และช่วยกำจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไปได้ด้วย 5. หมักผมสวยด้วยมายองเนส ถ้าครีมหมักผมที่ใช้กันอยู่ทุกวันไม่ค่อยช่วยให้ผมมีสุขภาพดีขึ้นเท่าไร คราวต่อไปลองหยิบมายองเนสจากตู้เย็นมาหมักผมทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีดูสิ ถ้าจะให้ดีก็เป่าลมอุ่น ๆ ให้ทั่วผมด้วยก็ได้ มายองเนสจะได้ซึมซาบลงไปในเส้นผมอย่างทั่วถึง พอครบเวลาแล้วก็สระผมตามปกติ ทำแบบนี้เพียงสัปดาห์ละครั้ง รับรองเลยว่าผมจะนุ่มสลวยเงางามขึ้นอย่างที่คาดไม่ถึงเลยล่ะ 6. แช่ยาทาเล็บในตู้เย็น จะทำให้เนื้อเนียนขึ้น หากทาเล็บแล้วรู้สึกว่ายาทาเล็บดูฝืด ๆ หนำซ้ำยังมีฟองลมอยู่ในขวดน้ำยา จนทำให้การทาเล็บของคุณไม่ค่อยเรียบเนียนเท่าที่ควร นั่นก็แสดงว่ายาทาเล็บของคุณถูกเก็บอยู่ในที่ที่มีอุณหภูมิสูงจนเกินไป ดังนั้นก็ควรนำยาทาเล็บไปแช่ในตู้เย็น เพื่อให้ยาทาเล็บคลายความร้อน เนื้อยาทาเล็บจะได้เนียนขึ้น นำมาทาเล็บก็จะสวยปิ๊งเหมือนเดิม 7. กินยาแก้แพ้ลดอาการหน้าแดง คนที่มีเส้นเลือดฝอยบนใบหน้ามากกว่าปกติ มักจะเกิดอาการหน้าแดงได้บ่อย ๆ ร้อนนิดก็หน้าแดง หัวเราะก็หน้าแดงได้ง่าย ๆ แล้ว โดยเฉพาะเวลาไปออกกำลังกาย ก็มักจะหน้าแดงยาวนานกว่าใคร ซึ่งถ้าไม่อยากให้อาการหน้าแดงกำเริบบ่อย ๆ จนถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนขี้อายมาก ๆ แบบนี้ แนะนำให้กินยาแก้แพ้กันไว้ก่อนทุกครั้ง เพียงเท่านี้อาการหน้าแดงก็จะลดลงอย่างเห็นได้ชัดเลยล่ะ 8. ทาปิโตรเลียมเจลกันรองเท้ากัด ปิโตรเลียมเจลที่เราใช้ทาปากให้ความชุ่มชื้น สามารถนำมาทากันรองเท้ากัดได้ด้วย โดยทามันลงบนส้นเท้า หรือบริเวณที่รองเท้ามักจะกัดจนเป็นแผล ทาทุกครั้งก่อนจะสวมรองเท้าคู่ใหม่หรือรองเท้าที่ใส่ทีไรก็กัดประจำ ปิโตรเลียมเจลจะช่วยลดการเสียดสีระหว่างเท้าเรากับรองเท้าได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องทนเจ็บแผลเพราะรองเท้ากัดอีกต่อไปแล้วจ้า 9. ล้างเล็บด้วยวิธีหุ้มฟอยล์ สีเล็บธรรมดาอาจจะลบออกไม่ยากเท่าไร แต่ยาทาเล็บชนิดกากเพชรนี่สิที่กำจัดออกยากสุด ๆ เลย แต่ถ้าไม่อยากยุ่งยากกับการล้างเล็บกากเพชรล่ะก็ ลองใช้สำลีจุ่มน้ำยาล้างเล็บให้ชุ่ม จากนั้นก็นำมาวางไว้บนเล็บ แล้วก็นำกระดาษฟอยล์มาห่อเล็บทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที กากเพชรบนเล็บก็จะค่อย ๆ หลุดออกมาจนหมด คราวนี้ก็ล้างเล็บให้สะอาดได้ง่ายขึ้นแล้วล่ะ 10. ทาเล็บให้แห้งแบบทันใจ วันไหนที่ทาเล็บเองที่บ้าน แล้วใจร้อนอยากให้สีทาเล็บแห้งเร็ว ๆ แนะนำให้เตรียมน้ำเย็นจัดใส่กะละมังไว้ แล้วจุ่มเล็บที่ทาเสร็จแล้วลงไปแช่ทิ้งไว้นาน 3 นาที เพียงเท่านี้สีทาเล็บก็จะแห้งเร็วทันใจคุณแล้วจ้า เห็น ไหมล่ะว่าเคล็ดลับทั้ง 10 ข้อที่เรานำมาฝากก็แปลกอย่างที่บอกเอาไว้จริง ๆ แต่ก็เจ๋งและเด็ดไม่น้อยหน้าไปกว่ากันเลยเนอะ เอาเป็นว่าถ้าใครอยากจะพิสูจน์ว่าเริ่ดจริงหรือเปล่า ก็ลองนำไปใช้กันได้ตามสบายเลยค่ะ กระปุกดอทคอมไม่เคยหวงอยู่แล้ว :)
ทริคเด็ด! ให้เครื่องดื่มเย็นทันใจใน 2 นาที แม้ไม่มีตู้เย็น !!
รู้หรือไม่ แค่มีของใกล้ตัว อย่าง กะละมัง, น้ำ, น้ำแข็ง และ เกลือ ก็สามารถทำให้เราเนรมิตเครื่องดื่มในกระป๋องที่มีอุณภูมิปกติ ให้กลายเป็นน้ำดื่มเย็นเจี๊ยบได้ภายในเวลาเพียง 2 นาที แบบไม่ต้องง้อตู้เย็นอีกต่อไป https://www.youtube.com/watch?v=H6ncuv3gewI ที่มาของข้อมูล:http://clip.teenee.com/etc/32252.html
เคล็ดลับทั้ง 10 ที่สามารถช่วยแก้ปัญหาในการเปิดสิ่งของต่างๆในชีวิตประจำวันได้
1.ใส่ยางรัดเปิดขวด คว่ำขวดและใช้วัตถุที่แข็ง ค่อยๆทุบมุมของฝาขวด ถ้ายังเปิดไม่ได้ คุณสามารถใส่ยางบนฝาขวดเพื่อเพิ่มแรงเสียดทานขึ้นเมื่อคุณเปิดฝา 2.ใช้ใบมีดตีตามพื้นผิวมะพร้าว แล้วมันจะเป็นเรื่องง่ายที่จะเปิด 3.ใช้เหรียญเปิดถุง ใช้มุมของเหรียญสองเหรียญบีบให้เสียดสีกัน เมื่อหากรรไกรไม่เจอก็ใช้วิธีการนี้แหละ 4.วิธีการปอกเปลือกส้มอย่างรวดเร็ว ใช้มีดหั่นเป็นวงกลมตามรอบพื้นผิวของส้ม แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือปอกเปลือกได้เลย! 5.วางหอยในตู้เย็นและปล่อยให้พวกเขาอ้าปากเอง ล้างหอยให้สะอาดและวางไวบนแผ่นอบ แล้วใส่ไว้ในตู้เย็นอย่างน้อย 3 ชั่วโมง พวกเขาจะอ้าปากเอง 6.ใช้อุปกรณ์เปิดฝามาเปิดบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่เปิดยาก ใช้อุปกรณ์เปิดฝามาหนีบด้านหนึ่งของบรรจุภัณฑ์แล้วตัดลง 7.ใช้เปลือกของพิสทาชิโอมาเปิดพิสทาชิโอที่เปิดไม่ได้ ใช้เปลือกของพิสทาชิโอเสียบเข้าไปในรอยแตก แล้วไขเหมือนไขควงก็จะเปิดได้ 8. วินาทีในการแกะผิวของกระเทียม แกะกระเทียมเป็นเม็ด แล้วใส่กระเทียมลงไปในหม้อและปิดฝาหม้อ แล้วสั่นหลายครั้งอย่างรุนแรง เปลือกกระเทียมก็จะหลุดได้ทันที 9.ใช้ที่ถอนลวดเปิดพวงกุญแจ ใช้ที่ถอนลวดเปิดพวงกุญแจและวางกุญแจใหม่เข้าไปได้ง่ายๆ ที่มาของข้อมูล: http://variety.teenee.com/foodforbrain
กล้วยสุกงอมจนเปลือกคล้ำ ช่วยต้านมะเร็งได้จริงหรือ?
มาร่วมกันไขข้อสงสัยที่ว่า กล้วยสุกงอมจนเปลือกเป็นสีคล้ำสามารถช่วยต้านมะเร็งได้จริงอย่างที่แชร์กันอยู่บนสังคมออนไลน์หรือเปล่า จาก ที่มีข้อความที่แชร์กันบนสังคมออนไลน์ว่า กล้วยที่สุกงอมมาก ๆ จนเปลือกเปลี่ยนเป็นสีคล้ำนั้นสามารถช่วยต้านมะเร็งได้ ทำให้เกิดความสงสัยกันไปว่า ข้อความเหล่านั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แล้วถ้ามันเป็นเรื่องจริง เจ้ากล้วยสุกงอมนี้สามารถช่วยต้านมะเร็งได้อย่างไร วันนี้เราจะพาไปไขข้องใจกับอาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ นักวิชาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กันค่ะ มาดูกันสิว่าเจ้ากล้วยที่สุกงอมมาก ๆ จนดูเหมือนไม่น่ากินนั้น มันประโยชน์จริงหรือไม่ อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ได้ให้ข้อมูลถึงเรื่องนี้เอาไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว Jessada Denduangboripantว่า ข้อ ความที่แชร์ต่อกันมาเกี่ยวกับประโยชน์ของกล้วยสุกงอมที่ช่วยต้านมะเร็งนั้น ไม่เป็นความจริง เนื่องจากเรื่องนี้เป็นข่าวลือที่มีในต่างประเทศกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 แล้ว โดยอ้างถึงผลงานการวิจัยของนักวิจัยชาวญี่ปุ่น ซึ่งระบุกันในข้อความที่ถูกส่งต่อกันไปว่า "กล้วยที่สุกเต็มที่ จะสร้างสาร TNF (Tumor Necrosis Factor) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยในการต้านมะเร็ง โดยเฉพาะในกล้วยไข่จะมีสารดังกล่าวมากที่สุด และยิ่งถ้าเปลือกมีสีดำคล้ำก็จะยิ่งดีต่อสุขภาพ" แต่ จริง ๆ แล้ว สาร TNF ที่พูดถึงกันนั้นมีอยู่แต่ในระบบภูมิคุ้มกันของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเท่า นั้น ไม่มีทางที่พืชชนิดอื่น ๆ หรือกล้วยจะสามารถสร้างขึ้นมาเองได้ นอกจากนี้ในงานวิจัยก็ไม่ได้ระบุว่าให้คนรับประทานกล้วยสุก แต่แค่เพียงนำสารสกัดจากกล้วยฉีดเข้าไปในท้องของหนูเพื่อศึกษาการตอบสนองของ ระบบภูมิคุ้มกัน โดยอาศัยการวัดระดับของ TNF ในร่างกายหนู เพื่อบ่งบอกการทำงานเม็ดเลือดขาวเท่านั้น ซึ่งผลที่ได้ก็ไม่ได้บ่งบอกว่าเมื่อรับประทานกล้วยสุกงอมแล้วจะทำให้ร่างกาย สร้างสารดังกล่าวมากขึ้นแต่อย่างใด นอกจากนี้อาจารย์เจษฎา ยังได้ชี้แจงเพิ่มเติมอีกว่า จริง ๆ แล้วกล้วยเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์สูง แต่ก็ควรเลือกรับประทานให้ดี เพราะกล้วยที่สุกมาก ๆ นั้นมีน้ำตาลสูง หากรับประทานเข้าไปก็อาจจะทำให้ได้รับน้ำตาลมากเกินไปได้ค่ะ เป็น อย่างไรกันบ้างพอจะหายสงสัยกันแล้วใช่ไหมคะ ฉะนั้นใครที่ชอบรับประทานกล้วยที่สุกงอมมาก ๆ ก็น่าจะเพลา ๆ ลงเนอะ เพราะนอกจากจะไม่ได้ช่วยต้านมะเร็งแล้วยังมีน้ำตาลสูงอีกด้วย ทานเข้าไปเยอะ ๆ ระวังอ้วนไม่รู้ตัวนะจะบอกให้ ที่มาของข้อมูล http://health.kapook.com
5 วิธีการชาร์จ iPhone แบบผิดๆ ที่คนส่วนใหญ่คิดว่าถูก
ต้องยอมรับว่า ไอโฟน เป็นโทรศัพท์เเละเครื่องมือสื่อสารสำคัญที่กล่าวได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในการ เปลี่ยนโลกและเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการสื่อสารของคนบนโลกไปเยอะมาก แน่นอนว่า ผู้อ่านทุกท่านใช้โทรศัพท์ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรแล้ว แบตเตอรี่เอง ก็ต้องหมดลงเป็นธรรมดา และโดยเฉพาะไอโฟนเอง หนึ่งในปัญหาสำคัญที่ทุกคนบ่นกันคือ ทำไมแบตเตอรี่หมดเร็วจัง (ที่จริงไม่เกี่ยวกับยี่ห้อมั้งครับ เกี่ยวกับการใช้ของเรามากกว่า) กลับมาเรื่องที่ว่าถ้าแบตเตอรี่หมด เราก็ต้องชาร์จโทรศัพท์เเน่นอน บังเอิญมีการแชร์กระทู้จากเว็บบอร์ดของ edtguide.com ที่เกี่ยวกับการตั้งข้อสังเกตว่า การชาร์จ มีหลากหลายแบบมากๆ ทั้งชาร์จ ไอโฟน ไอแพด แล้วก็เวลาชาร์จก็จะทำตามสไตล์ของตนเองถนัด แต่จะมีคนสักกี่คนที่รู้ลึก รู้จริง ซึ่งทำให้เกิดการแนะนำที่ผิด ยกตัวอย่างมา 5 ข้อนี้ เป็นวิธีชาร์จ ที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าทำถูกแล้วมาฝาก ลองไปดูพร้อมกัน ผิดที่ 1 ใช้ที่ชาร์จไม่ได้มาตรฐาน (ไม่มี มอก.) ข้อนี้ เป็นความผิดพลาดที่เราอาจละเลย อาทิ เช่น ที่ชาร์จไม่ได้มาตราฐาน เช่น ที่ชาร์จซื้อมาถูกๆ ของปลอม ก็อาจเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตตามที่เป็นข่าวอยู่นั่นแหละ บางคนอาจมองข้ามความสำคัญไป อย่างไรก็ดี ควรมองหาที่ชาร์จ ที่มีเครื่องหมาย มอก. หรือมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม นั่นเอง ผิดที่ 2 ชาร์จพร้อมกับโทร (เสี่ยงต่อการระเบิด) การเสี่ยงจากหัวข้อนี้ ก็คือ ส่วนใหญ่จะมาจากที่ชาร์จที่เป็นของปลอม ไม่มีมาตราฐานเนื่องจาก อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นั้นเค้าก็ห้ามใช้จนร้อนเกินอุณภูมิที่กำหนดของมันอยู่แล้ว เช่น ถ้าความร้อนมากเกินไปจากตัวแบตเตอรี่ก็อาจทำให้ระเบิดได้ ถ้ารู้สึกว่าอุปกรณ์อุ่น หรือร้อนมากเกินไปก็ควรหยุดใช้งานอุปกรณ์ชนิดนั้นครับ เพื่อความปลอดภัย ผิดที่ 3 ชาร์จแบตข้ามวัน ข้ามคืน มีการยืนยันจากผู้ใช้งานที่เมืองนอก ว่าการชาร์จแบตเตอรี่ต่างๆ ข้ามวัน หรือข้ามคืนนั้น ส่งผลกับแบตเตอรี่ของเครื่องจริงๆ แต่ก็ยังไม่ยืนยันอย่างชัดเจนว่าเสียหายมากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ผู้ใช้งานอุปกรณ์ต่างๆเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์ ควรจะเก็บแบตเตอรี่ให้อยู่ในระหว่าง 40-80% จึงจะดีที่สุด ผิดที่ 4 ไม่มีการปิดเครื่องเลย ปกติเชื่อว่าในชีวิตประจำวันเราต้องติดต่อสื่อสารอยู่ตลอดวัน เราจึงปิดเครื่องเพื่อหยุดการติดต่อน้อยมาก ซึ่งก็น้อยกว่าการปิดคอมจากการใช้งานคอมพิวเตอร์ ทาง Apple Genius เปิดเผยว่า การปิดเครื่อง iPhone หรือ Ipad ก็ดี ทำให้แบตเตอรี่นั้นมันฟื้นฟูตัวเอง และอย่างน้อยควรทำ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อการใช้งานที่ถูกต้องและปลอดภัย ผิดที่ 5 จะชาร์จแบตเตอรี่ก็ต่อเมื่อเหลือ 0 เปอร์เซ็นต์ บางคนก็รู้เรื่องนี้แล้ว แต่บางคนก็อาจยังไม่ทราบก็มี โดยมาตรฐานของ Lithium Ion ห้ามแบตเตอรี่หมดจนถึงอยู่ที่ 0% หรือไม่มีแบตเหลือเลยจนเครื่องดับไป เพราะถ้าปล่อยให้แบตหมดไปจนเกลี้ยงจะทำให้แบตเสื่อม และจะต้องใช้ไฟเพื่อไปกระตุ้นแบต ทำให้อายุการใช้งานของแบตเท่าที่ควรจะเป็นนั้นสั้นลง แบตจะเสื่อมง่าย ที่มา iphonesimple.com