-
สาระน่ารู้
หน้าแรก
สาระน่ารู้
พบข้อมูลจำนวน 121 รายการ แสดงผลอยู่ที่ 2/11 หน้า
จัดซื้อจัดจ้าง
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2568 งวดที่ 1 เดือนตุลาคม - ธันวาคม 2567
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2567 งวดที่ 2 เดือนเมษายน - มิถุนายน 2567
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2567 งวดที่ 3 เดือนกรกฏาคม - กันยายน 2567
-
ประกาศเผยแพร่แผนการจัดซื้อจัดจ้าง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 โครงการก่อสร้างอาคารเรียนระดับประถมศึกษาพร้อมปรับภูมิทัศน์ ภายใน
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2566 งวดที่ 1 เดือนตุลาคม 2565 - มีนาคม 2566
ค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์
ปฎิทินกิจกรรม
ท่านคิดว่า อบจ.ระยอง ควรเน้นหนักแก้ไขปัญหาในเรื่องใดเป็นอันดับแรก
- ปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค โหวต
- แก้ไขปัญหายาเสพติด โหวต
- แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โหวต
- แก้ไขปัญหาน้ำท่วม โหวต
- ราคาผลผลิตภาคการเกษตร โหวต
สถิติผู้เข้าชมเว็บไซต์
- กำลังใช้งาน 104 คน
- ผู้เข้าชมวันนี้ 2,333 คน
- ผู้เข้าชมทั้งหมด 20,402,908 คน
แปลภาษา

10 คุณประโยชน์ของน้ำเปล่า
การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ช่วยให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่น้ำเปล่ามีประโยชน์มากกว่าที่คิด ลองมาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง 1. ช่วยลดน้ำหนัก การดื่มน้ำเปล่าช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้สูงขึ้น ทำให้ลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้น การดื่มน้ำเปล่ายังช่วยลดความอยากอาหาร ทำให้ทานอาหารได้น้อยลง ช่วยให้อิ่มเร็วขึ้น 2. ช่วยเพิ่มเมตาบอลิซึม การดื่มน้ำเปล่าในตอนเช้า ประมาณครึ่งลิตรจะช่วยเพิ่มระบบเมตาบอลิซึมในร่างกายได้มากถึง 24 เปอร์เซ็นต์ จึงทำให้ร่างกายสามารถขจัดไขมันได้เพิ่มขึ้น ทำให้ลดน้ำหนักได้เร็วขึ้นนั่นเอง 3. กระตุ้นสมอง การดื่มน้ำเปล่าในตอนเช้าหลังจากตื่นนอน เป็นวิธีการปลุกร่างกายให้ตื่น ทำให้ระบบต่าง ๆ เริ่มทำงาน ช่วยทำให้รู้สึกสดชื่น การดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ จะทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น เพราะสมองมีน้ำเป็นส่วนประกอบประมาณ 75 – 85 เปอร์เซ็นต์ การดื่มน้ำเปล่าจึงทำให้รู้สึกมีสมาธิมากขึ้น 4. ทำให้ทานอาหารได้น้อยลง การดื่มน้ำเปล่าก่อนการทานอาหารประมาณ 30 นาที จะทำให้ทานอาหารได้น้อยลง นอกจากนี้ยังช่วยลดความอยากทานขนมของหวาน การดื่มน้ำเปล่า จึงช่วยทำให้การลดน้ำหนักมีประสิทธิภาพมากขึ้น 5. กระตุ้นระบบการขับถ่าย สำหรับผู้ที่มีปัญหาท้องผูก การดื่มน้ำเปล่าเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นระบบการขับถ่ายให้เป็นปกติ ลองเพิ่มปริมาณการดื่มให้มากขึ้น จะทำให้ขับถ่ายได้คล่อง เพราะการดื่มน้ำเปล่าจะช่วยขับสารพิษและของเสียออกจากร่างกาย ทำให้สุขภาพแข็งแรงไม่ป่วยง่าย 6. ลดความเสี่ยงต่อโรคร้าย การดื่มน้ำในปริมาณที่พอดี จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคร้าย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็งลำไส้ และโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ 7. ทำให้หัวใจทำงานดีขึ้น การดื่มน้ำเปล่าเพียงแค่ 5 แก้วใน 1 วัน ก็ช่วยทำให้การทำงานของหัวใจมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามอย่างน้อยควรดื่มน้ำให้ได้ 8 แก้วต่อวัน 8. เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว การดื่มน้ำน้อยส่งผลเสียต่อผิวหนัง ทำให้ผิวหนังขาดความชุ่มชื่น ดูแห้งกร้าน การดื่มน้ำเปล่าจะทำให้ผิวสดใส ทำให้ผิวหนังมีสุขภาพดี 9. ประหยัดค่าเครื่องดื่ม การดื่มน้ำเปล่านั้นมีประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายและมีราคาถูก เมื่อเทียบกับเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ จึงช่วยให้คุณประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากขึ้น 10. ช่วยลดอาการอ่อนเพลีย หากรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น ให้ลองเพิ่มการดื่มน้ำให้มากขึ้น เพราะสาเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เกิดจากภาวะที่ร่างกายขาดน้ำการดื่มน้ำเปล่านั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากโรคร้าย บำรุงผิวพรรณ และช่วยทำให้ลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้น รู้แบบนี้แล้ว สาวๆ ต้องหันมาดื่มน้ำเปล่าอย่างเพียงพอทุกวันนะคะ ขอบคุณข้อมูลจาก http://wangsammohospital.go.th/article_detail.php?id=20
7 ขั้นตอนล้างมือให้สะอาด ปราศจากเชื้อโรค
การล้างมือแบบเอามือผ่านน้ำใครๆ ก็ทำได้ แต่คุณรู้ไหมว่าการล้างมือให้สะอาดหมดจด จนปราศจากเชื้อโรคได้นั้น ต้องทำตามวิธีที่ถูกต้อง 7 ขั้นตอนต่อไปนี้ 1.ฝ่ามือถูฝ่ามือ เริ่มต้นการล้างมือง่ายๆ ด้วยการถูสบู่ขึ้นมาเล็กน้อยพอขึ้นฟอง ก่อนนำฝ่ามือทั้งสองข้างประกบกันและถูให้ทั่ว จนรู้สึกสะอาด 2.ฝ่ามือถูหลังมือ ปาดฟองสบู่มาที่หลังมือ แล้วล้างมือต่อโดยการใช้ฝ่ามือถูหลังมือและซอกนิ้วให้สะอาด จากนั้นสลับข้าง วิธีนี้จะทำให้ฆ่าเชื้อโรคบริเวณหลังมือที่เรามักลืมกันไป 3.ประกบฝ่ามือถูซอกนิ้ว พลิกมือกลับมาประกบกัน ก่อนจะล้างมือให้สะอาดด้วยการถูซอกนิ้วด้วยสบู่ให้สะอาดหมดจด 4.ฝ่ามือขัดหลังนิ้ว กำกำปั้นข้างหนึ่งขึ้นล้างมือต่อ โดยใช้ฝ่ามืออีกข้างหนึ่งขัดบริเวณหลังนิ้ว สลับข้างทำแบบเดียวกันจนรู้สึกว่ามือสะอาด 5.ถูนิ้วหัวแม่โป้ง กางนิ้วหัวแม่โป้งก่อนใช้ฝ่ามืออีกข้างกำรอบแล้วหมุนวนด้วยฟองสบู่เป็นวงกลม ทำให้สะอาดทั้งสองด้าน 6.ขัดฝ่ามือด้วยปลายนิ้ว แบมือข้างหนึ่ง แล้วใช้ปลายนิ้วมืออีกข้างขัดฟองสบู่ตามแนวขวางจนทั่ว แล้วสลับข้างทำวิธีเดียวกัน 7.ถูรอบข้อมือ กำมือรอบข้อมือข้างหนึ่ง แล้วถูวนไปรอบๆ จากนั้นเปลี่ยนข้าง ทำเช่นเดียวกัน วิธีนี้จะช่วยให้ข้อมือสะอาดเพียงล้างมือให้สะอาดด้วยวิธีง่ายๆ แค่นี้คุณก็สามารถมีมือที่สะอาด ปราศจากเชื้อโรคกวนใจ ลองนำ 7 ขั้นตอนการล้างมืออย่างถูกวิธีนี้ไปใช้กันดูนะคะ แล้วจะพบว่าฟีลลิ่งมือสะอาดนี่มันดีจริงๆ ขอบคุณข้อมูลจาก http://wangsammohospital.go.th/article_detail.php?id=4
ชานมไข่มุก กินอย่างไรให้ห่างไกลโรค
ชานมไข่มุก ของหวานยอดนิยมที่เข้าถึงผู้คนได้ทุกเพศ ทุกวัย เพราะว่า มีรสชาติหวาน อร่อย ราคาถูก และหาซื้อได้ง่าย ทั้งตามท้องตลาด และตามห้างสรรพสินค้า แต่ความหวาน และความอร่อย ของชาไข่มุกนั้น มาพร้อมกับโรคร้าย ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย ได้เช่นกัน ดังนั้นเราจึงมีวิธีกินชาไข่มุกอย่างไร ให้ห่างไกลจากโรคร้ายชานมไข่มุก คืออะไร? ชานมไข่มุก คือ เครื่องดื่มชนิดเย็น รสชาติหวาน มีส่วนประกอบด้วย น้ำชา นม หรือชาผลไม้ ส่วนไข่มุกทำมาจาก เแป้งมันสัมปะหลัง ผสมโกโก้ และน้ำตาลทรายแดง ปั้นเป็นเม็ดเล็กๆ มีจุดกำเนิดจาก ประเทศไต้หวัน ในช่วงทศวรรษที่ 1980 ในปัจจุบันมี การแก้ไขปรับปรุงสูตรให้เข้ากับยุคสมัย เช่น การแต่งกลิ่นของรสชาติชานม ไม่ว่าจะเป็น ชานมกล้วย ชานมช็อกโกแลต หรือชานมข้าวเหนียวมะม่วง การโรยท็อปปิ้งหน้าต่างๆ เช่น นมข้นหวาน ผงโกโก้ วิปครีม และเยลลี่รสชาติต่างๆ ส่วนไข่มุกเอง ก็มีการเติมสีผสมอาหารลงไปให้ดูน่ารับประทานยิ่งขึ้น หรือเปลี่ยนเป็นวุ้นเยลลี่ฟลุ๊ตสลัด จากที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ชานมไข่มุก 1 แก้ว จะให้พลังงาน 240-360 กิโลแคลอรี หากรับประทานมากเกินไป อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในวัยเด็ก ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน และผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคที่เกิดจาก ชานมไข่มุก โรคเบาหวาน : องค์การอนามัยโลกได้กำหนดการบริโภคน้ำตาลในแต่ละวัน ไม่ควรเกิน 6 ช้อนชา ชานมไข่มุกมีส่วนผสมหลักคือ น้ำตาล และแป้ง ในหนึ่งแก้วจะมีน้ำตาล และคาร์โบไฮเดตจากไข่มุก ที่เปลี่ยนเป็นน้ำตาลอีก ทำให้การบริโภคชานมไข่มุกวันล่ะหนึ่งแก้ว มีสิทธิที่จะได้รับน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชา และถ้าบริโภคเป็นประจำ จะทำให้ผู้บริโภคนั้นมีสภาวะน้ำหนักเกิน และเป็นโรคเบาหวานได้ โรคอ้วน : การบริโภคชานมไข่มุกอย่างต่อเนื่อง เป็นพฤติกรรมหนึ่งที่จะก่อให้เกิดโรคอ้วน คือการมีสภาวะน้ำหนักเกิน การอ้วนลงพุง แขน และขามีขนาดใหญ่ขึ้น ทั้งนี้โรคอ้วนอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจหลอดเลือด และโรคไขข้อเสื่อม เป็นต้น โรคหลอดเลือด และหัวใจ : ในส่วนประกอบของชานมไข่มุก เต็มไปด้วยน้ำตาล และไขมันชนิดเลว (LDL) ซึ่งจะเพิ่มไตรกลีเซอร์ไรด์ ถ้ารับประทานมากกเกินไป ทำให้ร่างกายกำจัดไตรกลีเซอร์ไรต์ได้ไม่หมด ส่งผลให้เป็นโรคหลอดเลือด และหัวใจได้ วิธีกินชานมไข่มุกอย่างไร ให้ปลอดโรค 1. เลือกแก้วขนาดที่เล็กที่สุด รับประทานชานมไข่มุกแค่พอประมาณ เพราะ ชาไข่มุกเป็นเครื่องดื่มแคลอรีสูง ไม่ใช่เป็นอาหารหลัก 2. ลดระดับความหวานให้ต่ำที่สุด ชานมไข่มุกรสชาติหวานปกติมักจะมีปริมาณน้ำตาลเยอะอยู่แล้ว ทำให้การบริโภคน้ำตาลในแต่ล่ะวันเกินกว่า 6 ช้อนชาได้ ดังนั้นควรลดระดับน้ำตาลที่ละขั้น จนถึงขั้นไม่หวานเลย จะยิ่งดี 3. ลดอาหาร ในวันที่รับประทานชานมไข่มุก ควรลดปริมาณอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล ในวันที่รับประทานชานมไข่มุก เพื่อไม่ให้ได้รับปริมาณน้ำตาล และไขมันเลว (LDL) จนมากเกินไป ความอร่อยของชาไข่มุก ที่มาพร้อมกับโรคร้าย โดยเฉพาะในวัยเด็ก เพราะนอกจากโรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจ และหลอดเลือดแล้ว เด็กที่บริโภคชานมไข่มุก อาจจะเกิดอุบัติเหตุ เช่น ไข่มุกติดคอได้ อีกทั้งน้ำตาลสามารถทำให้ฟันผุได้อีกเช่นกัน ดังนั้นการบริโภคชานมไข่มุกสามารถรับประทานได้ให้ถูกวิธี และไม่บ่อยครั้ง ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.petcharavejhospital.com/th/Article/article_detail/Pearl-milk-tea-how-to-eat-to-be-far-away-from-disease
อากาศร้อนจัดต้องระวัง ! โรคลมแดด หรือ ภาวะฮีทสโตรก ภัยฉุกเฉินจากฤดูร้อน
อากาศร้อนจัดต้องระวัง ! โรคลมแดด หรือ ภาวะฮีทสโตรก ภัยฉุกเฉินจากฤดูร้อน สภาพอากาศของประเทศไทยช่วงนี้ร้อนมาก ซึ่ง อากาศร้อน มากถึงขนาดนี้ก็สามารถฆ่าคนให้ตายได้ แม้ไม่ค่อยพบในประเทศไทยมากนัก แต่ก็ควรที่ต้องระวังภาวะนี้ ภาวะฮีทสโตรกหรือภาวะลมแดด ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากความร้อนที่สูงและอบอยู่ในร่างกาย จนร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนออกได้ วันนี้รามาแชนแนลจะพาทุกคนมารู้จัก ภาวะฮีทสโตรก และวิธีรับมือภาวะนี้ภาวะฮีทสโตรก คืออะไร ? ภาวะฮีทสโตรกหรือภาวะลมแดด เกิดจากความร้อนที่สูงเกินไป ซึ่งความร้อนที่สูงเกินไปในแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะของสาเหตุ คือ 1. ภาวะที่มีอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นจากการที่ร่างกายของเราและมีการเผาผลาญพลังงาน ที่สูงขึ้นจะทำให้เกิดภาวะไข้หรือว่าการที่มีความผิดปกติทางสมองทำให้ไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิในร่างกายได้ 2. พบบ่อยได้ในภาวะที่มีอุณหภูมิภายนอกสูงได้แก่ในฤดูร้อน ที่มีอุณหภูมิมากกว่า 35 องศาเซลเซียสขึ้นไป 3. สภาพแวดล้อมมีความชื้นสัมพัทธ์สูง การที่มีความชื้นสัมพัทธ์สูงจะทำให้ร่างกายของเราไม่สามารถขับเหงื่อออกมาได้ ก็จะทำให้ไม่มีทางออกของอุณหภูมิส่งผลให้ให้ความร้อนในร่างกายสูงขึ้น อาการที่เกิดขึ้นจากความร้อน แบ่งออกได้หลายระดับ ตั้งแต่ปวดเมื่อยเนื้อตัวธรรมดา รู้สึกอ่อนล้า จนถึงหมดสติไม่รู้สึกตัว เป็นอาการปกติไม่รู้สึกตัวจากความร้อน ซึ่งเป็นอาการที่เด่นชัดที่สุดภาวะฮีทสโตรก ถ้าผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะทำให้มีการเสียชีวิตได้บุคคลกลุ่มไหนที่เสี่ยงต่อภาวะฮีทสโตรก ? 1. กลุ่มคนที่ทำงานกลางแจ้ง สัมผัสกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2. คนสูงอายุหรือเด็กที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเอง เนื่องจากถ้าบุคคลเหล่านี้อยู่ในห้องที่ปิดตาย ไม่มีอากาศที่ไทยไม่มีลมพัดพา อากาศร้อน ไปได้ จะทำให้ต้องอยู่กับอุณหภูมิที่สูงเป็นเวลานานสุดท้ายก็จะทำให้ไม่สามารถขับเหงื่อไปได้แล้วก็จะเกิดเป็นภาวะฮีทสโตรก ซึ่งเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อยในผู้สูงวัย อ่านข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับ “ภาวะขาดน้ำ ผู้สูงอายุต้องระวัง” 3. นักกีฬา เช่น การวิ่งมาราธอนต่าง ๆ ที่จะต้องสัมผัสอากาศที่ร้อนหรือความชื้นที่สูงทำให้ไม่สามารถขับเหงื่อได้ ก็จะทำให้เกิดภาวะที่จะเสี่ยงต่อภาวะฮีทสโตรกมากขึ้นกว่าบุคคลอื่น 4. คนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันเลือด ที่ต้องกินยาขับปัสสาวะ 5. คนที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นตัวปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดภาวะฮีทสโตรกได้มากกว่าคนปกติทั่วไป 6. สตรีมีครรภ์ อาจจะเป็นลมและเป็นอันตรายต่อตัวเองและทารก อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ โรคลมแดด(Heat Stroke) คุณแม่ตั้งครรภ์ควรระวังการดูแลและป้องกัน ภาวะฮีทสโตรก 1. ดื่มน้ำปริมาณมากกว่าปกติ ประมาณ 2-3 ลิตรต่อวัน 2. หลีกเลี่ยงการอยู่บริเวณกลางแจ้งหรือในที่ปิด 3. ถ้าจำเป็นที่จะต้องอยู่บ้านในระยะเวลานาน ๆ ควรที่จะเปิดหน้าต่างหรือแอร์ หากเจอผู้ป่วยที่มีอาการฮีทสโตรกต้องแบ่งได้เป็น 2 กรณี คือ ผู้ป่วยที่หมดสติและไม่หายใจให้ โทร 1669 หน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน เพื่อเข้ารักษาผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว และทำการ CPR ผู้ป่วย ณ บริเวณนั้น แต่ถ้าผู้ป่วยยังสามารถหายใจได้ให้นำผู้ป่วยเข้าที่ร่มและคลายเสื้อผ้าของผู้ป่วยออก ร่วมกับการเช็ดตัวด้วยผ้าเย็น หรือใช้การฉีดสเปรย์เพื่อระบายความร้อน ร่วมกับการเปิดพัดลมได้ ขอบคุณข้อมูลจาก RAMA CHANNEL ขับเคลื่อนสังคมไทยให้สุขภาพดี
เชื้อราจากแมว
ทาสแมว! ต้องระวัง ภัยใกล้ตัว โรคเชื้อราจากสัตว์เลี้ยงสู่คน เป็นอาการติดเชื้อที่ใช้เวลาการรักษาไม่นาน แต่เมื่อเป็นแล้วมักทิ้งร่องรอยจุดด่างดำเอาไว้บนผิวหนัง ซึ่งตรงนี้ถือเป็นการรักษาที่ต้องใช้เวลานานพอสมควร โดยเฉพาะปัญหาการกลับมาเป็นซ้ำ ทำให้ร่องรอยมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่คนเลี้ยงสัตว์ต้องทำความเข้าใจ เชื้อราจากแมว คืออะไร? เชื้อราจากแมวที่พบได้บ่อยคือเชื้อ Microsporum canis เป็นเชื้อราที่อาศัยอยู่ผิวหนังของสัตว์ โดยไม่ก่อให้เกิดโรค แต่สามารถติดต่อมายังคนได้ผ่านทางการสัมผัสโดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องมีบาดแผล ก็ทำให้คนเลี้ยงติดเชื้อราจากแมวได้อย่างง่ายดาย พฤติกรรมที่นำไปสู่การติดเชื้อ เช่น อุ้ม กอด นอนร่วมที่นอนเดียวกัน เป็นต้น อาการของการติดเชื้อราแมว มีผื่นแดงขึ้นตามผิวหนัง ลักษณะเป็นวง มีขุยรอบ ๆ ค่อย ๆ ขยายเป็นวงกว้าง และรู้สึกคันตลอดเวลา หากเกาแล้ว นิ้วที่เกาเผลอไปเกาบริเวณอื่นอาจทำให้บริเวณนั้นติดเชื้อราด้วยได้ วิธีการรักษาอาการติดเชื้อราแมว - หากมีอาการน้อย มีผื่นขึ้นไม่มาก 1-2 จุด ใช้ยาทาฆ่าเชื้อราต่อเนื่องประมาณ 3 สัปดาห์ ผื่นจะค่อย ๆ หายไป - หากมีอาการมาก ผื่นขึ้นทั่วร่างกาย ต้องใช้ทั้งยาทาและยากินร่วมกัน ระยะเวลาในการรักษาตั้งแต่ 3 สัปดาห์ขึ้นไป - ในส่วนนี้เป็นการรักษาอาการติดเชื้อ ซึ่งไม่ใช่การรักษารอยดำที่เกิดจากการติดเชื้อ และถึงแม้ว่าอาการเชื้อราจะหายแล้ว รอยดำจากเชื้อจะยังคงอยู่ โดยจะจางไปเองภายใน 2-3 เดือน และมักไม่มีแผลเป็นเกิดขึ้น ทำไมรอยดำจากเชื้อราแมวบางคนถึงเป็นนาน จากที่กล่าวไปในข้างต้น ว่ารอยดำจากเชื้อราแมวจะหายได้เองภายใน 2-3 เดือน แต่พบว่าบางคนกลับเป็นนานกว่านั้น สาเหตุเพราะมีการกลับมาเป็นซ้ำซึ่งพบได้บ่อยมาก ทำให้เกิดริ้วรอยด่างดำต่อเนื่องไม่รู้จบ รอยเก่ายังไม่ทันหายไป ก็มีรอยใหม่เกิดขึ้น ทำให้ไม่รู้ตัวว่ารอยเดิมได้จางหายไปแล้ว จึงคิดว่าเป็นอยู่นาน แต่ในความจริงเป็นการกลับมาเกิดซ้ำของเชื้อรานั่นเอง การป้องกันเชื้อราแมวและการกลับมาเกิดซ้ำ - ทำความสะอาดมือและอวัยวะต่าง ๆ ทุกครั้ง หลังสัมผัสกับสัตว์เลี้ยง - ทำความสะอาดสัตว์เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ - ทำความสะอาดสิ่งของภายในบ้านที่สัตว์เลี้ยงมีการสัมผัส เช่น โซฟา หมอน พรมปูพื้น เป็นต้น - หากมีการติดเชื้อราแมว หลังรักษาคนแล้ว ควรนำสัตว์เลี้ยงไปรักษาด้วย - ไม่ควรคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยงมากเกินไป เช่น การนอนร่วมที่นอนเดียวกัน สัตว์เลี้ยงชนิดอื่นทำให้คนเลี้ยงติดเชื้อราได้หรือไม่? นอกจากแมวแล้วสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ ก็ทำให้คนเลี้ยงติดเชื้อราได้เช่นกัน หากมีการสัมผัสเกิดขึ้นและสัตว์เลี้ยงนั้นมีเชื้อราอยู่ จึงควรปฏิบัติให้เหมาะสมในเรื่องของความสะอาด ทั้งคนเลี้ยง สัตว์เลี้ยง และของใช้ภายในบ้าน เชื้อราในสัตว์เลี้ยงสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้หรือไม่? เชื้อราในสัตว์เลี้ยงสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ ผ่านการสัมผัสหรือการใช้ของบางอย่างร่วมกัน เช่น การใส่เสื้อผ้าร่วมกัน แต่อาการจะไม่รุนแรงเท่ากับการติดต่อจากสัตว์ ที่เป็นการติดต่อแบบข้ามสายพันธุ์กลุ่มเสี่ยงของการติดเชื้อจากสัตว์เลี้ยง ได้แก่ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง, เด็ก และผู้สูงอายุ สิ่งที่อยู่ในสัตว์เลี้ยงที่ทำให้เกิดโรค - เชื้อรา - ไวรัส - แบคทีเรีย - ปรสิต (เห็บ หมัด ไร) โรคอื่นที่เกิดจากสัตว์เลี้ยง - โรคหิดลักษณะของสัตว์ที่เป็นหิดเหมือนขี้เรื้อน แต่ไม่ใช่โรคเรื้อน มีขนหลุดร่วง สามารถติดต่อสู่คนได้ - โรคภูมิแพ้เกิดจากปรสิต (ไร) ในตัวสัตว์เลี้ยง - พิษสุนัขบ้าเกิดจากเชื้อไวรัส ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.thaihealth.or.th/?p=355210
ปัญหาเรื่องฝุ่น PM2.5
หากพูดถึงปัญหามลพิษทางอากาศ หลายคนต้องนึกถึงปัญหาเรื่องฝุ่น PM2.5 ซึ่งนับว่าเป็นปัญหาที่ต้องเผชิญอยู่บ่อยครั้ง และเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในหลาย ๆ มิติ หนึ่งในนั้น คือ ผลกระทบทางสุขภาพ PM2.5 คือ ฝุ่นละอองที่มีขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือเล็กประมาณ 1 ใน 25 ของเส้นผม มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ลอยอยู่ในอากาศได้นาน อาจมีสารพิษเกาะมาด้วย ทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากขึ้น มาดูกันว่ามีวิธีอะไรบ้างที่จะช่วยให้ห่างไกลจากฝุ่น PM2.5 ได้1. หากอยู่ในพื้นที่บริเวณที่มีรถสัญจรมาก หรือในบริเวณที่มีฝุ่นควันจากโรงงาน ให้เราสวมเเมสก์เพื่อปกคุมระบบทางเดินหายใจให้เรียบร้อย2. หมั่นอัพเดทเเละติดตามสังเกตการาเฝ้าระวังค่าดัชนีคุณภาพสภาพอากาศในพื้นที่ ที่เราอยู่เเละในเขตพื้นที่ ที่ทำกำลังจะเดินทางเพื่อเป็นการเตรียมตัวเเละเตรีมความพร้อมในการปกป้องตัวเองจากมลภาวะ3. ในส่วนของกลุ่มที่ป่วยหรือมีโรคประจำตัว เช่น โรคระบบทางเดินหายใจ โรคปอด โรคหัวใจรวมถึงโรคภูมิเเพ้ทางผิวหนัง หากคุณคือหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านี้ ยิ่งต้องเฝ้าระวังเเละดูเเลป้องกันตัวเองให้มากที่สุด เลี่ยงในการสูดดมฝุ่นผงเเละฝุ่นควันเข้าสู่ร่างกายโดยตรว เพราะอาจส่งผลให้เโรคกำเริบเเละอันตรายกับชีวิตได้4. หากเราต้องอยู่ในภาวะอากาศเป็นพิษเช่นนี้ ความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเราทุกคนควรสวมใส่เเมสก์เเละพกอุปกรณ์ตัวช่วยในการป้องกันฝุ่นให้เป็นกิจจะลักษณะ เเละทำให้รู้สึกตัวอยู่เสมอว่าในชีวิตประจำวันเราควรได้รับการปกป้องจากความเสี่ยงในสภาพอากาศที่เลวร้าย5. ลด ละ เลิก การจุดธูปการกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะควันธูปเป็นหนึ่งในสาเหตุหลัก ที่ทำให้เกิดภาวะฝุ่นควัน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักการเกิดภาวะ PM 2.5 ในปัจจุบัน ขอบคุณสาระน่ารู้ดีๆ จาก https://www.thaihealth.or.th/?p=226363
5 โรคอันตรายถึงชีวิตที่มาพร้อม “ยุง”
1. ไข้เลือดออกพาหะ : ยุงลาย ที่ออกหากินตอนกลางวัน (ปัจจุบันพบยุงลายตอนกลางคืน ช่วงโพล้เพล้อยู่บ้าง)อาการ : หลังถูกยุงลายกัด 5-8 วัน จะมีไข้สูงเฉียบพลัน ปวดเมื่อยตามร่างกาย เบื่ออาหาร หรืออาจอาเจียน มีผื่นแดงๆ ตามร่างกาย อาจเลือดออกง่าย ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ และเสี่ยงต่ออาการแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ช็อก ชัก บวม แน่นหน้าอก ปวดท้อง หรือมีเลือดออกในอวัยวะภายใน 2. มาลาเรียพาหะ : ยุงก้นปล่อง พบได้มากในป่า พื้นที่รกๆ อากาศร้อนชื้น แหล่งน้ำต่างๆ หรือพื้นที่อื่นๆ ทั่วไปอาการ : มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย ชีพจรเต้นเร็ว หนาวสั่น คลื่นไส้อาเจียน หน้าซีดปากซีดจากการที่เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย เริ่มเข้าสู่ภาวะโลหิตจาง ตัวเหลืองเหมือนดีซ่าน และอาจมีปัสสาวะสีเข้มเหมือนสีน้ำปลา 3. เท้าช้างพาหะ : โรคเกิดจากพยาธิตัวกลม โดยมียุงเป็นพาหะอาการ : มีไข้สูงเฉียบพลัน หลอดน้ำเหลือง และต่อมน้ำเหลืองอักเสบ โดยอาจพบได้บริเวณอวัยวะต่างๆ เช่น ขา ช่องท้องด้านหลัง ท่อน้ำเชื้ออสุจิ หรือเต้านม ผิวหนังบริเวณที่อับเสบจะบวมแดง มีน้ำเหลืองคั่ง คลำเป็นก้อนขรุขระ แต่ในบางรายอาจไม่แสดงอาการบวมชัดเจน 4.ไข้ปวดข้อยุงลาย (ชิคุนกุนย่า)พาหะ : ยุงลายอาการ : อาการคล้ายไข้เลือดออกมาก แต่ไม่พบการรั่วของพลาสมาออกนอกเส้นเลือด จึงไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการช็อก 5. ไข้สมองอักเสบพาหะ : ยุงรำคาญ พบในนาข้าว เพราะเป็นแหล่งแพร่พันธุ์ และมีหมูเป็นรังของโรค โดยยุงรำคาญไปกัดหมูที่เป็นโรค และแพร่เชื้อต่อสู่คน และสัตว์อื่นๆอาการ : หลังรับเชื้อ 5-15 วัน จะมีไข้สูง อาเจียน ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย หลังจากนั้นจะเริ่มมีอาการผิดปกติทางสมอง เช่น คอแข็ง สติสัมปชัญญะลดลง ซึม หรือ เพ้อ คลั่ง ชัก หมดสติ หรืออาจมือสั่น เป็นอัมพาต ซึ่งหลังจากอาการของโรคหายไป อาจหลงเหลือความผิดปกติของสมองอยู่บ้าง เช่น พูดไม่ชัด เกร็ง ชัก หรือสติไม่ค่อยปกติ ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์ จังหวัดภูเก็ต
เลือกอาหารเจอย่างไรให้สุขภาพดี
ช่วงการมาเยือนของเทศกาลกินเจ เมนูส่วนใหญ่ที่เรามักจะคุ้นเคยกันในทุกๆ วันคงหนีไม่พ้นอาหารจำพวกแป้ง ผัก ผัด-ทอด ซึ่งหากรับประทานมากเกินไปอาจไม่ดีต่อสุขภาพนัก ดังนั้นก่อนถึงเทศกาลกินเจนี้ เรามาดูวิธี "กินเจอย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ" ที่จะช่วยให้อิ่มบุญแถมอิ่มท้องแบบสุขภาพดีกัน เลือกอาหารที่มีกากใยสูง เลือกทานข้าวกล้อง หรือข้าวสี เพราะมีใยอาหารและวิตามินมากกว่าข้าวขัดสี หลีกเลี่ยงเมนูเจประเภททอดหรือผัดที่ใช้น้ำมันเยอะ เน้นรับประทานอาหารเจจำพวก ต้ม นึ่ง ย่าง ยำ โดยลดการทานอาหารผัด-ทอด เพื่อลดปริมาณไขมันลง รับประทานแป้งแต่พอประมาณควรอ่านและศึกษาฉลากให้ดีก่อนทำการซื้อ เลือกที่ผลิตจากถั่ว โปรตีนเกษตร ไม่ควรเลือกประเภทที่ทำจากแป้งล้วนๆ หลีกเลี่ยงอาหารเจที่มีเครื่องปรุงรสเค็ม อาหารเจกึ่งสำเร็จรูปเพราะมีส่วนผสมของโซเดียมสูง เสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง เลือกรับประทานโปรตีนจากถั่วทดแทนโปรตีนจากสัตว์ทดแทนโปรตีนด้วยเห็ด เต้าหู้ และถั่วชนิดต่างๆ ในเห็ด มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ถือเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ส่วนพืชตระกูลถั่วนั้นอุดมไปด้วยแร่ธาตุ และไบโอตินที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพเส้นผมและเล็บ โดยในเต้าหู้และถั่วเหลืองยังมีสารไอโซฟลาโวน ที่เหมาะกับสาวๆ นอกจากช่วยให้ผิวดูเปล่งปลั่งอ่อนเยาว์ ยังมีคุณสมบัติช่วยลดคลอเลสเตอรอลชนิดร้าย ลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งอีกด้วย หลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสหวานจัด เพราะเมื่อน้ำตาลเปลี่ยนเป็นกลูโคสอยู่ในกระแสเลือดจะกระตุ้นให้ร่างกายเร่งการหลั่งสารอินซูลินออกมา มีผลทำให้เรารู้สึกหิวเร็วขึ้นควรอ่านและศึกษาฉลากให้ดีก่อนทำการซื้อ เลือกที่ผลิตจากถั่ว โปรตีนเกษตร ไม่ควรเลือกประเภทที่ทำจากแป้งล้วนๆ การกินเจที่ถูกหลัก นอกจากจะทำให้เราไม่ขาดสารอาหาร จากการงดเว้นเนื้อสัตว์แล้ว เรายังจะได้รับอาหารที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย การกินเจร่วมกับการออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้เบิกบานแจ่มใส ก็จะช่วยช่วยให้สุขภาพดีขึ้น และได้บุญอีกด้วย ขอบคุณสาระดี ๆ จาก https://www.bangpakok3.com/care_blog/view/206
โรคอ้วนกับปัญหาการนอนหลับ
ภาวะโรคอ้วนส่งผลกระทบให้นอนหลับไม่เพียงพอ และการนอนหลับที่ไม่ไเพียงพอ อาจทำให้ความรุนแรงของโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน ภาวะอ้วนในประชากรภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ตามนิยามขององค์การอนามัยโลก คือการที่มีดัชนีมวลกายตั้งแต่ 25 กิโลกรัมต่อตารางเมตรขึ้นไป ภาวะอ้วนนี้สามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น พฤติกรรมการรับประทานอาหาร การใช้ชีวิตประจำวัน การออกกำลังกาย กรรมพันธุ์ โรคประจำตัว รวมถึงยาที่ใช้รักษาโรค ผู้ป่วยโรคอ้วนจะมีการสะสมไขมันมากเกินกว่าปกติตามอวัยวะต่างๆ ส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพและเกิดโรคเรื้อรังหลายประเภท เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคไต โรคเส้นเลือดหัวใจและสมองตีบ รวมถึงโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นและกลุ่มอาการอ้วนหายใจต่ำได้ ผู้ป่วยโรคอ้วนจะมีไขมันสะสมบริเวณช่องคอและทางเดินหายใจส่วนบนมากกว่าปกติ ทำให้ทางเดินหายใจส่วนบนตีบแคบลง แต่ในขณะตื่นกลุ่มกล้ามเนื้อคอหอยซึ่งมีหน้าที่ขยายช่องคอทำงานชดเชยได้จึงไม่เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนนี้ เมื่อนอนหลับกล้ามเนื้อจะเกิดการคลายตัว การทำงานชดเชยของกล้ามเนื้อขยายช่องคอทำได้ไม่เพียงพอทำให้ทางเดินหายใจส่วนบนตีบแคบขณะหลับ เกิดโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (Obstructive sleep apnea, OSA) ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาในระยะยาวก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเส้นเลือดหัวใจและสมองตีบ และโรคอื่นๆ รวมถึงมีโอกาสเสียชีวิตก่อนวัยอันควรอีกด้วย โดยพบว่าความรุนแรงของโรคมักจะเพิ่มขึ้นตามดัชนีมวลกายที่เพิ่มขึ้น และเมื่อผู้ป่วยลดน้ำหนักได้ความรุนแรงของโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นก็มักจะลดลง นอกจากโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นแล้ว ผู้ป่วยที่มีภาวะอ้วนมากขึ้น จะทำให้ร่างกายต้องใช้แรงมากขึ้นเพื่อขยายทรวงอกในการหายใจ ส่งผลให้กลศาสตร์ของระบบการหายใจแย่ลง ประกอบกับภาวะอ้วนทำให้การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของออกซิเจน และคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดลดลง ทำให้แรงขับเคลื่อนการหายใจเพื่อกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นของเสียลดลง รวมทั้งมักมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นที่รุนแรง ทำให้เกิดกลุ่มอาการอ้วนหายใจต่ำ (Obesity hypoventilation syndrome, OHS)เป็นภาวะแทรกซ้อนตามมา ซึ่งความรุนแรงของโรคก็มักจะเพิ่มขึ้นตามดัชนีมวลกายที่เพิ่มขึ้น และลดลงหรืออาจหายไปเมื่อผู้ป่วยลดน้ำหนักได้มากในระดับหนึ่งในผู้ป่วยโรคอ้วนที่สงสัยโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น จะทำการวินิจฉัยได้ด้วยการตรวจการนอนหลับ ซึ่งผู้ป่วยจะมานอนค้างคืนที่ศูนย์ตรวจการนอนหลับเพื่อติดอุปกรณ์ดูระยะการหลับ การทำงานของระบบหายใจและระบบหัวใจ ระดับออกซิเจนและระดับคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อวินิจฉัยโรค ส่วนผู้ป่วยที่สงสัยกลุ่มอาการอ้วนหายใจต่ำ จะวินิจฉัยโดยการตรวจวัดระดับแรงดันก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดจากหลอดเลือดแดง ร่วมกับการตรวจการนอนหลับที่ศูนย์ตรวจการนอนหลับชนิดมีผู้เฝ้า การรักษาโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นและกลุ่มอาการอ้วนหายใจต่ำนั้น นอกจากการใช้เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก หรืออุปกรณ์อื่นเพื่อรักษาความผิดปกติของการหายใจขณะหลับแล้ว การลดน้ำหนักก็เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ความรุนแรงของโรคลดลงหรืออาจหายขาดได้ เมื่อดัชนีมวลกายลดลง ความรุนแรงของโรคจะลดลง แรงดันของเครื่องอัดอากาศแรงดันบวกที่ใช้ก็ลดลง ในผู้ป่วยบางรายอาจจะดีขึ้นจนสามารถหยุดใช้เครื่องอัดอากาศแรงดันบวกได้ โดยมีข้อมูลว่า การลดน้ำหนักตัวได้ร้อยละ 25-30 สามารถทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่หายจากกลุ่มอาการอ้วนหายใจต่ำได้ การลดน้ำหนักนั้นต้องทำให้ได้อย่างยั่งยืน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำให้ผู้ป่วยเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นรวมถึงผลดีของการลดน้ำหนัก ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อันประกอบด้วย1) การรับประทานอาหารพลังงานต่ำและไขมันต่ำ โดยการรับประทานอาหารพลังงาน 1,000-1,500 แคลอรีต่อวัน หรือลดพลังงาน 500-750 แคลอรีจากที่เคยรับประทาน และให้มีสัดส่วนของไขมันน้อยกว่าร้อยละ 15-20 ของพลังงานที่รับประทาน2) การออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ และการมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น3) การใช้ยาลดน้ำหนัก 4) การผ่าตัดเพื่อลดน้ำหนักทั้งนี้ อาจต้องปรึกษาแพทย์และนักโภชนาการ เพื่อวางแผนการลดน้ำหนัก การใช้ยา และการผ่าตัดที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย ที่มา : https://www.springnews.co.th/health/839865
การขาดน้ำ...อันตรายกว่าที่คิด
การขาดน้ำ...อันตรายกว่าที่คิด ชีวิตมนุษย์ออฟฟิศอย่างเราๆ ในแต่ละวัน มักใช้เวลาหมดกับการเอาจริงเอาจังกับการทำงาน จนหลงลืมบางสิ่งที่สำคัญไป เช่น การดื่มน้ำ กิจวัตรง่ายๆ ที่เราลืมกันไปเลย ในภาวะร่างกายที่ปกติแข็งแรง เราก็จะใช้พลังงานจากร่างกายอย่างเต็มที่ จนบางเราก็ความต้องการเล็กๆ น้อยๆ ที่เราไม่ทันสังเกตว่าร่างกายส่งสัญญาณเรียกร้องออกมา ทำให้เราละเลยมันไป นานวันเข้า เมื่อเราหลงลืมไม่ใส่ใจดูแลร่างกายบ่อยๆ ก็อาจเกิดผลเสียอย่างใหญ่หลวงได้ วันนี้เรามาสังเกตสัญญาณบอกเหตุว่าร่างกายของเราขาดน้ำแล้วกันเถอะค่ะ สาเหตุที่ร่างกายขาดน้ำ แต่ก่อนที่จะสังเกตอาการเรามารู้กันก่อนว่า สาเหตุง่ายๆ ที่ร่างกายขาดน้ำก็คือ การดื่มน้ำน้อยเกินไป หรือ ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน ที่เกิดจากการเสียเหงื่อหลังออกกำลังกายอย่างหนัก หรือการสูญเสียน้ำในร่างกาย มากกว่าปกติในหน้าร้อนที่มีอุณหภูมิความร้อนสูงมากจนทำให้เป็นโรคลมแดด หน้ามืด วิงเวียนศรีษะ และเป็นลมได้ อาการที่ควรสังเกต กระหายน้ำ อ่อนเพลีย / เหนื่อยง่าย ปวดศรีษะ / วิงเวียนศรีษะ ปัสสาวะน้อย 4-6 ชั่วโมง / 1 ครั้ง ชีพจรเต้นเร็ว หายใจ หอบถี่ ความดันโลหิตต่ำ บางรายอาการรุนแรง จนเกิดอาการชักได้ ดูแลตัวอย่างไร เมื่อร่างกายขาดน้ำ ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย 4-8 แก้ว ต่อวัน (แก้วน้ำขนาด 200มล.) ในกรณีที่ร่างกายขาดน้ำ เนื่องจากอาการท้องเสีย นอกจากดื่มน้ำแล้ว ควรดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อลดอาการอ่อนเพลีย จากการสูญเสียน้ำในร่างกายไปด้วย หลีกเลี่ยงสถานที่อบอ้าว ควรหาจุดที่อากาศถ่ายเท ร่มรื่น เพื่อระบายความร้อนออกจากร่างกาย ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก https://www.paolohospital.com/th-TH/rangsit/Article/Details/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%9F%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B9%8C/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3----%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94-
ใช้ขวดน้ำซ้ำ อันตรายกว่าที่คิด
ใช้ขวดน้ำซ้ำ อันตรายกว่าที่คิด ขวดบรรจุน้ำดื่มที่เป็นขวด PET นั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้เพียงครั้งเดียว แล้วจึงนำไปรีไซเคิลเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ โดยสามารถนำ ขวดพลาสติก PET กลับมาใช้ซ้ำได้ ไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง แต่ไม่ควรใช้ซ้ำหลาย ๆ ครั้งเนื่องจากอาจก่อให้เกิดการสะสมของเชื้อจุลินทรีย์ ถ้าจำเป็นต้องใช้ซ้ำ ก็ควรทำความสะอาดเพื่อลดการสะสมของเชื้อจุลินทรีย์ ดังนั้นต้องสังเกตคุณภาพของขวดน้ำด้วยว่ายังสามารถใช้งานได้ต่อไปหรือไม่ เช่น หากตรวจพบว่าขวดมีสีเปลี่ยนไปจากเดิม เริ่มมีความขุ่นมากขึ้น หรือรอยขีดข่วน รอยปริหรือรอยแตก นั่นแสดงว่าขวดเริ่มเสียสภาพแล้ว ก็ควรเลิกใช้และทิ้งไป ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก https://www.chiangmainews.co.th/knowledge/2947388/
รู้ทัน รู้ป้องกัน ฮีทสโตรก หรือโรคลมแดด
โดย อ.นพ.สุรัตน์ ตันประเวช หัวหน้าหน่วยประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ ในชีวิตประจำวันเราย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจอแสงแดด โดยเฉพาะอากาศที่ร้อนจัด ย่อมส่งผลต่อการปรับสภาพของร่างกาย ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคฮีทสโตรก หรือโรคลมแดด ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือการดูแลและปกป้องร่างกาย หากอยู่ในสภาวะฮีทสโตรก หรือโรคลมแดด โรคฮีทสโตรก หรือ โรคลมแดดเกิดจากอะไร เกิดจากอุณหภูมิของร่างกายเราสูงมากจนเกินไป ไม่สามารถที่จะขับอุณหภูมิออกได้ แล้วมีลักษณะอาการเหมือนจะเป็นลม คือมีอาการวิงเวียนเป็นหลัก สาเหตุเนื่องจากร่างกายเราถูกแสงแดดมากเกินไป หรืออยู่ในที่อากาศร้อนอบอ้าว ร่างกายไม่สามารถที่จะถ่ายเทอากาศออกได้ และทำให้ความร้อนในร่างกายไม่สามารถที่จะระเหยออกไปได้ เมื่อร่างกายมีอุณหภูมิที่สูงมากจนเกินไป โดยอาจจะเกิดจากสถานที่ร้อน หรือออกกำลังกายมากเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อสร้างความร้อนมาก ก็อาจทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ร่างกายรับไม่ไหว จึงเกิดปฏิกิริยาการตอบสนอง การหายใจล้มเหลวได้ สัญญาณเตือนการเป็นโรคลมแดด ผู้ป่วยมีอาการกระหายน้ำมาก ร่างกายเราจะขาดน้ำเพราะอุณหภูมิสูงเกินไป มีอาการเวียนศีรษะ มองอะไรแล้ว งงๆ มึนๆ สังเกตเหงื่อของคนไข้ จะแห้ง ผิวแห้ง แล้วมีการระเหยของน้ำหมด ทำให้ระบบประสาททำงานไม่ปกติ บุคคลใดบ้างที่มีความเสี่ยงต่อโรคลมแดด กลุ่มอายุ ได้แก่ เด็กและผู้สูงวัย กลุ่มที่มีโรคประจำตัวกลุ่มความดันโลหิตสูงที่รับประทานยาบางชนิด เช่นยาขับน้ำปัสสาวะ บางรายที่มีความดันโลหิตสูงจะต้องกินยาลดความดันหลายตัว บางรายกินยาลดความดันที่เป็นยาขับปัสสาวะร่วมด้วย ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคลมแดดมากขึ้นเพราะว่าน้ำไม่เพียงพอ กลุ่มที่ออกกำลังกาย บางรายที่ออกกำลังกายมากเกินไป และอยู่ในที่โล่งแจ้งถูกแสงแดด กลุ่มที่เป็นนักกีฬา มักจะออกกำลังกาย ในพื้นที่ปลอดอากาศ ไม่มีที่ระบายของอากาศ และอุณหภูมิไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคลมแดดได้มากขึ้น อุณหภูมิในร่างกายที่สูงขึ้น ต้องอยู่ในระยะเวลากี่นาทีในร่างกาย ที่อาจทำให้เกิดโรคลมแดดได้ โดยปกติร่างกายเรา จะมีระบบสมองที่คอยควบคุมให้ร่ายกายของเราไม่ให้มีอุณหภูมิที่สูงมากจนเกินไป ซึ่งร่างกายปกติจุอยู่ในปริมาณ 37.5 องศา ถึงแม้ว่าอุณหภูมิภายนอก จะหนาวมากหรือร้อนมากก็ตาม สมองเราจะสั่งร่างกายทันที ให้มีการปรับอุณหภูมิให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ให้เหมาะกับตัวเรา หากร่างกายปรับได้ไม่ทัน จะมีอาการทางระบบประสาท ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ก็ตามก็สามารถเกิดฮีทสโตรกได้ เกณฑ์การวินิจฉัย อุณหภูมิเป็นหลัก ไม่ขึ้นกับระยะเวลา ระบบประสาทที่ผิดปกติไป เช่นอาการวิงเวียนศีรษะ และบางคนมีอาการรุนแรง เกิดอาการชักกระตุกกล้ามเนื้อเกร็งเนื่องจากกล้ามเนื้อจะเสียสมดุลเกิดขึ้น แล้วถ้าหากยังไม่ได้รับการรักษา อย่างทันท่วงที ไม่เพียงแต่สมองที่ทำให้เกิดลักษณะของอาการชักกระตุกเท่านั้น แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ เซลล์ในร่างกายต่างๆซึ่งปกติใช้อุณหภูมิในการที่จะคงระดับเซลล์ ก็จะสูญเสียไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น ระบบการหายใจล้มเหลว หายใจถี่ขึ้นและล้มเหลวในที่สุด บางรายอาจต้องนอนห้อง ICU ใส่เครื่องช่วยหายใจ หากเป็นผู้ป่วยโรคไตอาจทำให้เกิดไตวายได้ ผู้ป่วยฮีทสโตรกเป็นภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง ต้องระวังเป็นอย่างมาก ทำให้อัตราการเสียชีวิต และหากไม่ได้รับการรักษา เพราะมีผลกระทบต่ออวัยวะทุกส่วน เราป้องกันโรคลมแดดได้อย่างไรบ้าง เมื่อเรารู้ว่าปัจจัยเสี่ยงต่อโรคลมแดด เกิดจากการที่เราไปสัมผัสอากาศร้อนมากและนานเกินไป ต้องหลีกเลี่ยงตรงบริเวณนั้น บุคคลที่มีความเสี่ยงคือเด็กและผู้สูงวัย ที่ได้รับยาบางชนิดต้องระมัดระวังเป็นพิเศษพยายามอยู่ในที่มีการระเหยหรือว่าลดความร้อนได้ เช่น ใส่เสื้อผ้าหลวมๆ ไม่อึกอัดจนเกินไป อยู่ใกล้แหล่งน้ำ คือสามารถที่จะหยิบน้ำขึ้นมาดื่มได้ จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคลมแดดได้ หรือ วันหนึ่งควรดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อย 1 ลิตรต่อวัน คือให้ได้ 8 แก้วต่อวัน หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดโดยตรง ให้สวมหมวก เสื้อ ผ้าระบายความร้อนได้ดี หากเราพบผู้ป่วยโรคลมแดด ควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างไร หลักการโดยง่ายในการรักษาโรคลมแดด คือทำอย่างไรก็ได้ให้อุณหภูมิของร่างกายลดให้ลงเร็วที่สุด ในบางกรณีคนไข้อาจช่วยเหลือตัวเองไม่ดีเท่าที่ควร เพราะอาจมีอาการเวียนศีรษะ หรือบางราย จะมีอาการกล้ามเนื้อเกรง เดินโซเซ เมื่อพบเห็นควรปฐมพยาบาล ดังต่อไปนี้ พาผู้ป่วยเข้าไปอยู่ในที่ร่มก่อนให้ระบายอากาศอย่างรวดเร็ว เช่นปลดกระดุมเสื้อ หากเสื้อผ้าหนาให้ถอดออกเพื่อระบายอุณหภูมิในร่างกายหากผู้ป่วยยังมีสติให้ดื่มน้ำเย็น ในกรณีหมดสติหลีกเลี่ยงการป้อนน้ำเพราะจะทำให้คนไข้เกิดอาการสำลัก นอกจากนี้ให้นำผ้าเย็นประคบตามซอกต่างๆของร่างกายผู้ป่วย เพื่อให้ความร้อนระเหยไปตามผ้า หลังจากนั้นนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ข่าว : งานประชาสัมพันธ์ คณะแพทยศาสตร์ มช. ขอบคุณข้อมูลดีๆ https://www.chiangmainews.co.th/health/2920945/