-
สาระน่ารู้
หน้าแรก
สาระน่ารู้
พบข้อมูลจำนวน 121 รายการ แสดงผลอยู่ที่ 5/11 หน้า
จัดซื้อจัดจ้าง
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2568 งวดที่ 1 เดือนตุลาคม - ธันวาคม 2567
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2567 งวดที่ 2 เดือนเมษายน - มิถุนายน 2567
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2567 งวดที่ 3 เดือนกรกฏาคม - กันยายน 2567
-
ประกาศเผยแพร่แผนการจัดซื้อจัดจ้าง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 โครงการก่อสร้างอาคารเรียนระดับประถมศึกษาพร้อมปรับภูมิทัศน์ ภายใน
-
รายงานผลการดำเนินงานตามแผนจัดหาพัสดุ (ผ.ด.3) ประจำปีงบประมาณ 2566 งวดที่ 1 เดือนตุลาคม 2565 - มีนาคม 2566
ค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์
ปฎิทินกิจกรรม
ท่านคิดว่า อบจ.ระยอง ควรเน้นหนักแก้ไขปัญหาในเรื่องใดเป็นอันดับแรก
- ปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค โหวต
- แก้ไขปัญหายาเสพติด โหวต
- แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โหวต
- แก้ไขปัญหาน้ำท่วม โหวต
- ราคาผลผลิตภาคการเกษตร โหวต
สถิติผู้เข้าชมเว็บไซต์
- กำลังใช้งาน 104 คน
- ผู้เข้าชมวันนี้ 2,333 คน
- ผู้เข้าชมทั้งหมด 20,402,908 คน
แปลภาษา

สัญญาณของภาวะน้ำตาลต่ำ
สัญญาณของภาวะน้ำตาลต่ำ ผู้ป่วยเบาหวานเสี่ยงที่จะเกิดอาการน้ำตาลในเลือดต่ำผิดปกติ หากควบคุมน้ำตาลได้ไม่ดี ถ้ามีอาการรุนแรงจะถึงขั้นหมดสติ ไม่รู้สึกตัว ห้ามให้ลูกอมหรือดื่มน้ำหวานเพราะอาจทำให้สำลัก ควรนำส่งโรงพยาบาลหรือคลินิกที่ใกล้ที่สุด โดยแจ้งแพทย์ที่ดูแลด้วยว่าเป็นโรคเบาหวาน สัญญาณของภาวะน้ำตาลต่ำ 1.เหงื่อออกมาก ตัวเย็น ใจสั่น หัวใจเต้นแรงและเร็ว 2.หิวมาก มือสั่น อารมณ์หงุดหงิดง่าย 3.ปวดศีรษะ มึนงง หน้ามืด ตาลาย ถ้าอาการรุนแรงอาจชักหรือหมดสติ หากมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงจะทำให้โอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนมากขึ้น นอกจากนี้ หากป่วยเบาหวานร่วมกับความดันโลหิตสูง และภาวะไขมันในเลือดสูง จำเป็นต้องระมัดระวังภาวะหัวใจวายเฉียบพลันร่วมด้วย ขอบคุณข้อมูลจาก:https://www.thaihealth.or.th/Content/42111-สัญญาณของภาวะน้ำตาลต่ำ.html
วิธีการป้องกัน รับมือ "ไวรัส COVID-19"
หากท่านมีอาการมีไข้สูงมากกว่า 37.5 องศา, ไอ, เจ็บคอ, ครั่นเนื้อครั่นตัว, อ่อนเพลีย, หายใจเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก ควรรีบมาพบแพทย์ด่วน!!!! ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า COVID-19 | โควิด19 ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ มีความรุนแรงเทียบเท่ากับโรคซาร์สมากที่สุด ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปอดอักเสบรุนแรงจนถึงแก่ชีวิตได้ องค์การอนามัยโลก ยังไม่สามารถหาที่มาของเชื้ออย่างชัดเจนได้ แต่สันนิษฐานว่าอาจจะมาจากเนื้อสัตว์ป่าที่ซื้อขายอยู่ และปัจจุบันเชื้อไวรัสนี้สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้แล้ว จากการถูกไอ จาม หรือสัมผัสกับสารคัดหลั่งของคนที่ป่วย ดังนั้น เราควรดูแลตนเองเพื่อให้ร่างกายห่างไกลจากเชื้อไวรัสโคโรน่า โดยมีวิธีการรับมือ ดังนี้ เชื้อไวรัสนี้ติดต่อผ่านทางลมหายใจ สารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย ควรใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกัน เชื้อไวรัสโคโรน่าติดต่อในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว ควรทานแบบสุกเท่านั้น ควรทานอาหารที่สุกแล้ว งดอาหารดิบ และเนื้อสัตว์ป่า หมั่นล้างมือหรือเช็ดด้วยแอลกอฮอล์ ไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยที่ไอ จาม หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด และมีมลภาวะเป็นพิษ งดเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงโรคระบาด ไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก ถ้าไม่จำเป็น ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ฯลฯ ถ้ามีอาการไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ ปวดหัว อ่อนเพลีย หายใจเหนื่อยหอบ ให้สวมหน้ากากอนามัย และรีบไปพบแพทย์ทันที!!! ปรึกษาแพทย์ คลิก อาการเบื้องต้นที่สังเกตได้จากการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า หรือ "COVID-19" มีดังนี้ มีไข้สูง > 37.5 องศา ไอแห้งๆ ไอแบบมีเสมหะ เจ็บคอ ครั่นเนื้อครั่นตัว หายใจเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก หากมีอาการดังกล่าว รีบไปพบแพทย์ทันที!!! หลายท่านต่างสงสัยว่า อาการแบบใดบ้างที่เป็นสัญญาณเตือนว่าตนเองเสี่ยงติดเชื้อ COVID-19 โดยทางผู้เชี่ยวชาญ WHO ได้สรุปอาการที่พบบ่อยที่สุดในผู้ป่วยจากโรคติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 หรือ COVID-19 ไว้ดังนี้ ผู้ป่วย COVID-19 จะมีอาการอย่างไร? 88% มีไข้68% ไอแห้งๆ38% ไม่มีเรี่ยวแรง33% ไอแบบมีเสมหะ18% หายใจลำบาก14% เจ็บคอ14% ปวดหัว14% ปวดกล้ามเนื้อ11% หนาวสั่น อาการที่พบน้อย ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน คัดจมูก ท้องเสีย ขอขอบคุณข้อมูลจาก สวทช. https://www.nstda.or.th/th/nstda-knowledge/13061-who-china-joint-mission คุณกำลังมีอาการเหล่านี้อยู่หรือไม่ หากพบว่ามีอาการไข้สูงร่วมกับอาการระบบทางเดินหายใจ ควรพบแพทย์ทันที ด้วยความห่วงใย จากโรงพยาบาลศิครินทร์ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.sikarin.com/content/detail/408/วิธีการป้องกัน-รับมือ-ไวรัส-covid-19
เทคนิคการส่ง Email ที่มั่นใจได้เลยว่า ปลายทางต้องเปิดอ่านแน่นอน
เทคนิคการส่ง Email ที่มั่นใจได้เลยว่า ปลายทางต้องเปิดอ่านแน่นอน หลายครั้งที่คุณได้รับอีเมลโฆษณา ขายตรง หรืออีเมลเชิญชวนเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ หลายฉบับต่อวัน นานวันเข้าอีเมลเหล่านี้ก็มักถูกปล่อยทิ้ง ไม่ได้รับการเปิดอ่านจนกระทบกับอีเมลข่าวสารดี ๆ ที่บางครั้งคุณอาจกำลังมองหาอยู่ก็ได้ ซึ่งถือปัญหาใหญ่สำหรับคนที่มีความจำเป็นต้องประสานงานหรือแจ้งข้อมูลต่าง ๆ ครั้งแรกผ่านทางอีเมล หากใช้วิธีสนทนาทางโทรศัพท์ก็ไม่สามารถให้ข้อมูลได้ครบถ้วน ยิ่งถ้าคุณไม่เคยมีคอนแทคของบุคคลนั้น ๆ มาก่อนพอโทรไปสายก็มักจะถูกส่งเข้าไปส่วนกลาง ด้วยปัญหาเหล่านี้ทำให้ iPrice แหล่งช้อปปิ้ง เปรียบเทียบราคาออนไลน์ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำการรวบรวมเทคนิคการส่งอีเมลยังไงให้มั่นใจได้ว่าปลายทางจะเปิดอ่านชัวร์ ๆ มาให้คุณลองทำตามกันดังนี้ เทคนิคการส่ง Email ที่ปลายทางต้องเปิดอ่านแน่นอน ใช้อีเมลองค์กร หรืออีเมลที่เป็นชื่อจริง ๆ เพื่อให้ปลายทางมั่นใจว่าอีเมลของคุณปลอดภัย ไม่ใช่ไวรัสหรือสแปม การใช้อีเมลที่มีชื่อและนามสกุลที่น่าเชื่อถือดูจะช่วยเพิ่มเปอร์เซ็นการเปิดอ่านจากปลายทางได้ ยิ่งเป็นการติดต่อครั้งแรกที่ทั้งผู้ส่ง-รับ ไม่เคยพบเจอกันมาก่อนยิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นอีเมลประสานงาน เสนองาน หรือเรซูเม่สมัครงานก็ตาม อย่าใช้ตัวกำหนดความสำคัญพร่ำเพรื่อ เพราะส่วนใหญ่หากคุณใช้ครั้งแรกปลายทางก็มักจะเปิดอ่าน แต่เมื่อพบว่าเนื้อหาภายในไม่ได้น่าสนใจจริง ๆ บอกได้เลยว่าคุณได้ฆ่าตัวตายไปและ 50% เพราะนั่นเป็นอาจโอกาสสุดท้ายที่เขาจะเปิดอ่านอีเมลของคุณ ครั้งต่อไปเมื่อคุณส่งมาพร้อมตัวกำหนดความสำคัญอีก นอกจากเขาจะไม่เปิดอ่านแล้ว อาจตั้งค่าส่งอีเมลของคุณเข้า Junk Mail โดยปริยายอีกด้วย ฉะนั้นใช้ตอนมีเรื่องสำคัญ ๆ จริง ๆ ดีกว่า มีลายเซ็นต่อท้ายเพื่อความเป็นทางการ แถมยังช่วยเสริมความน่าเชื่อถือ พร้อมภาพลักษณ์ให้ผู้ส่งได้อีกด้วย โดยลายเซ็นกำกับนี้ควรประกอบด้วยโลโก้บริษัท/องค์กร พร้อมมีชื่อผู้ส่งพ่วงท้ายด้วยข้อมูลติดต่ออย่างชัดเจน ถือเป็นการเพิ่มช่องทางการติดต่อให้กับตนเองอีกด้วย เพราะมีหลายคนที่ไม่ชื่นชอบการส่งอีเมลโต้ตอบกัน เพราะมันต้องเขียนตั้งแต่ เรียน คุณ XXX, ประโยคเปิดเรื่อง, เนื้อความ และการกล่าวสรุป ซึ่งดูจะยุ่งยากสำหรับคนยุคใหม่ที่ชื่นชอบการแชท หรือส่งข้อความสอบถามกับโดยตรงมากกว่า กำหนดชื่อองค์กรไว้อย่างชัดเจน ที่ขาดไม่ได้เลยคือ การวงเล็บเชื่อองค์กร หรือใส่ Square Brackets [..] หน้าหัวเรื่องเพื่อให้ผู้รับทราบว่าเป็นอีเมลจากองค์กรใดทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน แถมยังช่วงคัดกรองอีเมลได้ดีอีกด้วย ง่าย ๆ ลองคิดภาพว่าวัน ๆ หนึ่งคุณมีอีเมลเข้า 100 อีเมล แต่ถ้ามีเพียงไม่กี่อีเมลที่ระบุชื่อองค์กรไว้ชัดเจน ยังไงก็จัดแยก และเลือกอ่านได้ง่ายกว่าอีเมลทั่วไปอยู่แล้ว คิดหัวเรื่องดี กระชับ ได้ใจความ มีชัยไปกว่าครึ่ง ข้อนี้บอกเลยว่าสำคัญจริง ๆ เพราะ iPrice ได้ลองขอความคำแนะนำจากสื่อมีเดียชั้นแนวหน้าบางท่าน ได้แก่ คุณจุลดิศ รัตนคำแปง (สำนักข่าวไทยรัฐออนไลน์) กล่าวว่า ‘ต้องสั้น กระชับ ชัดเจน ถ้าใช้คำฟุ้มเฟือยตรงหัวเรื่อง แว็บแรกจะไม่สนใจอ่าน’ สอดคล้องกับคำแนะนำของคุณภูวเดช จีระพันธ์ (Sanook.com) ที่ว่า ‘ชื่อเรื่องต้องน่าดึงดูด น่าสนใจ’ และเป็นในทำนองเดียวกันกับเว็บมาสเตอร์เว็บไซต์ Campus-Star ซึ่งกล่าวเสริมว่า ‘หัวข้อต้องสั้น พร้อมแจ้งว่ามีภาพประกอบ’ จึงจะช่วยเพิ่มความสนใจให้อีเมลได้มากขึ้นนั่นเอง มีไฮไลท์ที่น่าสนใจในอีเมล แน่นอนถ้าแค่หัวข้อเรื่องน่าอ่าน แต่เนื้อหาอีเมลไม่น่าสนใจ ยิ่งถ้ามีการแนบไฟล์แต่ไม่อธิบายข้อมูลอะไรเพิ่มเติมยิ่งถูกมองในแง่ลบ ซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำของคุณสุจิตร ลีสงวนสุข (สำนักข่าว Bangkok Post) ที่ว่า ‘เนื้อหาในอีเมลน่าสนใจ เน้นเกี่ยวกับประเทศไทย’ (เพราะ BangkokPost เป็นสำนักข่าวภาษาอังกฤษที่เผยแพร่เนื้อหาเกี่ยวกับประเทศไทย) สรุปแล้ว หากกล่าวว่าหัวข้อเรื่องเป็นด่านแรกที่ช่วยให้ผู้รับสนใจเปิดอ่านอีเมลของคุณ เนื้อหา และไฮไลท์ในอีเมลก็เป็นด่านสองที่จะทำให้เขาตอบหรือติดต่อกลับคุณหรือเปล่านั่นเอง ดังนั้นเนื้อหาในอีเมล ควรมีการกล่าวแนะนำตัวเองและองค์กรสั้น ๆ ในย่อหน้าแรก ต่อมาย่อหน้าสองก็บอกถึงใจความสำคัญของอีเมลหรือไฮไลท์ในไฟล์แนบ สุดท้ายกล่าวสรุปให้ได้ใจความก็พอ การสะกดคำต้องถูก โดยเฉพาะชื่อผู้รับ ที่พบได้บ่อยครั้งคือผู้ส่งสะกดชื่อผู้รับผิด ซึ่งเป็นเรื่องรับไม่ได้ของใครหลาย ๆ คน ประมาณว่าคุณไม่ได้สนใจที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับพวกเขามากพอ ทำให้เกิดข้อผิดพลาดอันไม่น่าให้อภัยนี้ ซึ่งวิธีป้องกันง่าย ๆ คือ ตรวจสอบความถูกต้องตั้งแต่ชื่อผู้รับ และการสะกดคำในเนื้อหาอีเมลอีกครั้งก่อนส่ง ถ้าไม่แน่ใจให้หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต หรือถ้าชื่อดังกล่าวยากเกินไปให้โทรไปสอบถามการสะกดจากฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กรนั้น ๆ เลย รับรองถูกต้องแน่นอน ตรวจสอบรูปแบบการแสดงผล มากไปกว่านั้น หากคุณต้องการให้อีเมลดังกล่าวดูน่าเชื่อถือ น่าอ่าน และดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น แนะนำให้ส่งเข้าอีเมลตนเองก่อน แล้วลองดูการจัดรูปแบบทั้งจากสมาร์ทโฟน และจากคอมพิวเตอร์ เพราะบางครั้งการแสดงรูปแบบจะไม่เหมือนกัน แม้คุณจะมั่นใจว่าจัดรูปแบบให้ดูน่าอ่านแล้วในคอมพิวเตอร์ แต่อย่าลืมว่าปัจจุบันผู้คนก็นิยมเปิดอ่านอีเมลผ่านทางสมาร์ทด้วย ดังนั้นตรวจสอบให้มั่นใจทั้งสองทาง ย่อมช่วยให้ผู้รับอยากเปิดอ่านอีเมลของคุณได้ไม่ยาก ผู้เขียน ขนิษฐา สาสะกุล iPrice ขอบคุณข้อมูลจาก : https://lifestyle.campus-star.com/knowledge/132549.html
5 วิธีลดขยะอาหารแบบง่าย ๆ เริ่มต้นได้ที่บ้าน
5 วิธีลดขยะอาหารแบบง่าย ๆ เริ่มต้นได้ที่บ้าน หลายคนคงเคยกินอาหารในจานไม่หมดแล้วกวาดลงถังขยะ ทิ้งเศษผักผลไม้ในขั้นตอนเตรียมอาหาร ตุนอาหารทิ้งไว้จนเสียในตู้เย็น จนเกิดเป็นขยะอาหาร สถิติที่น่าตกใจคือมีปริมาณอาหาร 1 ใน 3 ของโลก ถูกทิ้งเป็นขยะ อาจลองสังเกตง่าย ๆ ว่าในแต่ละวันเราทิ้งอาหารเหลือจากแต่ละมื้อกันไม่น้อยเลย แต่เราทุกคนมีส่วนช่วยแก้ปัญหานี้ได้ไม่ยาก เพียงหันมาใส่ใจตั้งแต่ขั้นตอนการซื้อ การรักษาจัดเก็บ การเตรียมและทำอาหาร ก็สามารถช่วยลดปริมาณขยะอาหารในครัวเรือน ลดการใช้พลาสติก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ เพียงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตาม 5 วิธีลดขยะอาหารแบบง่าย ๆ ดังนี้ 5 วิธีลดขยะอาหารแบบง่าย ๆ 1. วางแผนจ่ายตลาดให้พอดี การจัดสรรด้วยปริมาณอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการ ของจำนวนสมาชิกในบ้าน แนะนำให้วางแผนเมนูอาหารที่จะทำในแต่ละสัปดาห์ เช็ควัตถุดิบและผลิตภัณฑ์อาหารที่มีอยู่แล้ว แล้วจึงลิสต์รายการและปริมาณที่ต้องซื้อเพิ่มประจำวัน หรือสัปดาห์เอาไว้ พยายามซื้อของเฉพาะแค่ในรายการที่ต้องการ การวางแผนเช่นนี้ สามารถช่วยป้องกันการซื้อของเกินความจำเป็น และลดปริมาณอาหารที่เหลือจากการบริโภค หรืออาหารที่หมดอายุให้กับครอบครัวได้ นอกจากนี้ การออกไปตลาดหรือชอปปิ้งในซุปเปอร์มาร์เกต ควรนำถุงผ้า หรือภาชนะใส่อาหารที่ใช้ซ้ำได้ ติดตัวออกไปด้วยทุกครั้งให้เป็นนิสัย เพื่อลดการใช้พลาสติก เช่น ถุง, ขวดน้ำ, กล่องโฟม ฯลฯ แต่หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แนะนำให้เลือกบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้หรือนำกลับมาใช้ซ้ำได้ก่อนจะทิ้งไปอย่างเสียเปล่า การวางแผนจัดการวัตถุดิบอย่างคุ้มค่า เหลือทิ้งน้อยที่สุด นอกจากจะช่วยลดปริมาณขยะ และประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว ก็เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ให้มื้ออาหารสร้างสรรค์ขึ้น เช่น ปลา 1 ตัว ส่วนเนื้อนำมาทำเป็นสเต๊ก ส่วนหัวสามารถนำไปต้มเป็นซุป และส่วนท้องก็สามารถเก็บไว้ทอดกรอบในมื้อถัดไป, เศษ/ก้านผักที่เหลือจากการตัดแต่ง สามารถเก็บรวมกันไว้ทำเป็นน้ำสต๊อกหอมหวาน หรือขอบขนมปังสามารถนำมาหั่นเป็นชิ้นลูกเต๋า นำไปอบกรอบสำหรับโรยบนสลัดได้ เป็นต้น 2. อ่านฉลากวันหมดอายุ ให้เข้าใจ เพิ่มความใส่ใจข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่จะซื้อเข้าบ้านด้วยการอ่านฉลากเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้จัดการกับวัตถุดิบได้ดีขึ้น เข้าใจวิธีการเก็บรักษาที่เหมาะสมจากคำแนะนำที่เขียนไว้ จึงช่วยยืดอายุอาหารออกไปได้ รวมไปถึงรู้กำหนดวันที่ระบุไว้ โดยตัวย่อบนฉลากอาหารที่ควรรู้ คือ MFG / MFD (Manufactured ate) คือ วันที่ผลิตอาหาร MFD (Expiration date), EXP (Expiry date) คือ วันหมดอายุ ไม่สามารถกินได้หลังจากวันที่ระบุไว้ อาหารอาจเน่าเสีย หรือบูด BB / BBE (Best before / Best before end) คือ ควรบริโภคก่อนวันที่ระบุ แต่แม้จะเลยวันที่กำหนดแล้ว ก็ยังสามารถบริโภคได้ต่อ โดยไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพียงแต่คุณค่าทางโภชนาการ หรือคุณภาพอาหารอาจลดลง เช่น เนื้อสัมผัส สี ความหนืด เป็นต้น ทุกครั้งก่อนจะนำผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาประกอบอาหาร ควรสังเกตบรรจุภัณฑ์ให้ดีว่าไม่มีรอบบุบ ไม่บวม รูปทรงไม่ผิดรูปไปจากเดิม หรือมีสนิมเกาะ ถ้ามีลักษณะเหล่านี้ควรตัดใจทิ้งโดยไม่ต้องเสียดาย เพราะอาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ตัวย่อบนฉลาก เครื่องสำอาง MFG – MFD – EXP – EXD หมายความว่าอย่างไร 3. จัดเก็บให้ถูกที่ ช่วยยืดอายุอาหาร เพียงรู้จักและเลือกวิธีเก็บรักษาอาหารแต่ละประเภทให้ถูกต้อง ก็ช่วยยืดอายุอาหารออกไปได้นานขึ้น ทุกครั้งหลังจากจัดการทำความสะอาดหรือตัดแต่งวัตถุดิบต่าง ๆ แล้ว แนะนำให้เขียนวันที่ซื้อมาแปะไว้ ช่วยให้ใช้ของได้ทันเวลา ป้องกันของเสียเพราะอาจจะหลงลืมไป โดยเฉพาะของสดที่ควรแช่ในตู้เย็นในช่องแช่ที่เหมาะสม เช่น เนื้อสัตว์ อาหารทะเล ตัดแต่งหรือแบ่ง แยกเก็บในภาชนะที่สะอาด เช่น กล่องหรือใส่ถุงซิปล็อก แช่ในช่องฟรีซ นม โยเกิร์ต กะทิ เก็บไว้ชั้นบนสุดใต้ช่องฟรีซ อุณหภูมิเย็นจัดคงที่เหมาะกับอาหารที่เสียง่าย ไข่ เนย ซอส ไม่ต้องการความเย็นมาก ใส่ตะกร้าหรือกล่องให้เป็นสัดส่วน สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นฝั่งบานประตู ผัก ผลไม้ ใส่ถุงใสเจาะรูให้อากาศถ่ายเท เก็บในช่องแช่ผักช่วยรักษาความสด ถั่ว ธัญพืชต่างๆ ควรตากให้แห้งสนิท แล้วเก็บในภาชนะที่สะอาด ไม่อับชื้น กระเทียม หอมแดง ผึ่งหรือแขวนไว้ในพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเท อาหารแห้ง เก็บในภาชนะที่สะอาด มีฝาปิดมิดชิดเป็นสัดส่วน ไม่วางทับปนเปกัน เพื่อป้องกันแมลงมารบกวน 4. จัดระเบียบในตู้เย็น การจัดระเบียบตู้เย็น ควรวางของที่ใหม่กว่าใส่ไว้ด้านในสุด จะได้ไม่ลืมอาหารที่ถูกเก็บไว้นานจนเสีย ช่วยลดการทิ้งขยะอาหารลงได้ และยังทำให้หยิบอาหารสะดวกขึ้น มองเห็นของเป็นสัดเป็นส่วน ซึ่งตู้เย็นสามารถกระจายความเย็นทั่วถึงกันช่วยยืดอายุอาหาร ให้เน่าเสียช้าลงได้ รวมไปถึงการทำความสะอาดตู้เย็นเป็นประจำโดยน้ำเปล่าผสมใช้เบกกิงโซดาหรือน้ำยาล้างจานอ่อน ๆ เช็ดแต่ละชั้น และเช็ดซ้ำด้วยน้ำเปล่าอีกครั้ง วิธีนี้จะช่วยลดการสะสมของคราบสกปรก ลดกลิ่นอาหารและกลิ่นอับได้ 5. ทำอาหารให้พอทาน ตักใส่จานแต่น้อย ทำอาหารกินเอง คะเนปริมาณอาหารให้พอดีกับจำนวนคนในบ้าน ไม่เหลือทิ้ง ที่จะทำให้ลดการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น ถุงพลาสติก, จาน ช้อน ภาชนะพลาสติก, กระป๋องหรือกล่องโฟม ที่เป็นภาชนะอาหารแปรรูปต่าง ๆ เช่น อาหารแช่แข็ง, อาหารสำเร็จรูป, อาหารพร้อมทาน รวมไปถึงการสั่งแบบเดลิเวอรี ควบคุมปริมาณอาหารในจานตัวเอง ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมง่าย ๆ โดยตักข้าวหรืออาหารให้พอทาน หากไม่อิ่มค่อยตัดเพิ่ม ซึ่งช่วยลดจำนวนแคลอรีต่อมื้อให้เหมาะสม หากมีอาหารเหลือควรเก็บในตู้เย็น แล้วนำกลับมาทานให้หมดหรือนำไปดัดแปลงเป็นเมนูอื่น ๆ ในมื้อถัดไป มีทริกง่าย ๆ ในการรีไซเคิลขยะอาหารไม่ให้สูญเปล่า คือการนำเศษอาหารไปใช้ประโยชน์ต่อ เช่น การนำเปลือกถั่วหรือเปลือกไข่มาบดโรยไว้ในกระถางต้นไม้ หรือผักสวนครัว ช่วยเพิ่มสารอาหารในดิน หรือนำเศษผักผลไม้เก็บรวมกันไว้ทำปุ๋ยหมักต่อได้ เป็นต้น ทั้ง 5 วิธีลดขยะในครัวเรือนเป็นอีกแนวทางที่เอื้อต่อการรักษาสิ่งแวดล้อม ลดปริมาณขยะอาหารซึ่งเป็นการลดปัญหาภาวะเรือนกระจกได้อย่างตรงจุดและยั่งยืน นำไปสู่อนาคตที่สมดุลและน่าอยู่มากยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือส่งผลให้เกิดพฤติกรรมใหม่ที่ส่งเสริมสุขอนามัยที่ดีและความสะอาดในบ้าน เมื่อได้เสริมสร้างร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรงจากการกิน อ.อาหาร คุณภาพ มีประโยชน์ตามหลักโภชนาการ ควรดูแลร่างกายให้ครบทุกด้านด้วยการ อ.ออกกำลังกาย ให้สม่ำเสมอ การพักผ่อนให้เพียงพอและการปรับ อ.อารมณ์ ให้ร่าเริงพร้อมดำเนินชีวิตประจำวันอย่างแจ่มใส ที่มา เนสท์เล่คนไทยแข็งแรง ขอบคุณข้อมูลจาก:https://lifestyle.campus-star.com/knowledge/193406.html
10 สมุนไพรพื้นบ้านลดไขมันในเลือด อาหารเป็นยาคู่ครัวไทย
10 สมุนไพรพื้นบ้านลดไขมันในเลือด อาหารเป็นยาคู่ครัวไทย อย่าเพิ่งเหมารวมว่า คอเลสเตอรอล (Cholesterol) เป็นผู้ร้ายทำอันตรายต่อสุขภาพเรา เพราะความจริงแล้วร่างกายของเราสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ขึ้นเอง เพื่อนำไปใช้ในกระบวนการต่าง ๆ แต่ตัวการสำคัญที่ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) เพิ่มสูงขึ้นเกินความจำเป็นนั้น ดูเหมือนจะเป็นตัวเราเองมากกว่า ที่ชอบกินอาหารประเภทของทอด ของมันเป็นประจำ จนทำให้ร่างกายมีระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลวมากกว่าคอเลสเตอรอลชนิดดี ดังนั้น หากไม่อยากให้สุขภาพแย่ลงเรื่อย ๆ เพราะคอเลสเตอรอลชนิดเลว ก็รีบหันมาผูกมิตรกับสมุนไพรไทยทั้ง 10 ชนิดนี้ไว้ก่อนดีกว่า กระเจี๊ยบแดง สรรพคุณของกระเจี๊ยบแดงนั้นน่าทึ่งทีเดียว เพราะนอกจากจะช่วยลดระดับไขมันเลว เพิ่มระดับไขมันดีในร่างกายแล้ว ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณมากใกล้เคียงกับผลบลูเบอร์รี เชอร์รี และแครนเบอร์รี เพราะอย่างนี้กระเจี๊ยบแดงจึงมีสรรพคุณช่วยต้านอนุมูลอิสระ และชะลอวัยได้อีกด้วย ส่วนของกระเจี๊ยบที่นิยมนำมาบริโภคก็คือ ผล และกลีบเลี้ยง นำมาคั้นเป็นน้ำกระเจี๊ยบแดง หรือนำมาทำเป็นสารสกัดกระเจี๊ยบแดง กระเทียม เครื่องเทศที่ใกล้ชิดครัวเรือนมากที่สุดอย่างกระเทียม มักจะเป็นสมุนไพรที่หลายคนไม่ชอบเอาซะเลย เพราะมีกลิ่นฉุน กินแล้วเกิดกลิ่นปาก แต่รู้ไหมว่า กระเทียมเป็นสมุนไพรที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกเชียวนะคะ ขึ้นชื่อว่า มีสรรพคุณเจ๋ง ๆ ต่อร่างกายทั้งนั้น ได้แก่ ช่วยลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง ควบคุมระดับไขมันในเส้นเลือด ช่วยรักษาแผลทั้งแผลสดและแผลเรื้อรังลดการเกิดลิ่มเลือด ช่วยป้องกันโรคหัวใจ และช่วยยับยั้งการเกิดเซลล์เนื้อร้ายได้อีกด้วย ดอกคำฝอย ดอกคำฝอย เป็นสมุนไพรที่เรามักเห็นอยู่ในรูปแบบของชา และอาหารเสริมลดน้ำหนักชนิดต่าง ๆ ก็เพราะว่าสรรพคุณของดอกคำฝอยนั้น ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือดนั่นเอง ในดอกคำฝอยมีกรดไลโนเลอิค (Linoleic Acid) อยู่มาก ซึ่งกรดชนิดนี้จะเข้าไปทำปฏิกิริยากับไขมันในเลือด และจะถูกขับออกทางปัสสาวะและทางอุจจาระ จึงทำให้ไขมันในร่างกายเราลดน้อยลง ถั่วลันเตา ถั่วลันเตา ก็ถือเป็นสมุนไพรไทยด้วยเหมือนกัน และเพราะเป็นพืชที่จัดอยู่ในตระกูลถั่วด้วย จึงทำให้ถั่วลันเตามีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายไม่น้อยเลยทีเดียว นั่นคือ อุดมด้วยวิตามีนบี 2 โปรตีนสูง และไขมันต่ำ ลดคอเลสเตอรอล ควบคุมความดันโลหิต ลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ ช่วยลดความเสี่ยงของระดับน้ำตาลในเส้นเลือดที่สูงเกินไป ป้องกันอาการตะคริว ช่วยบำรุงสายตา กระดูกและฟันให้แข็งแรง ไมยราบ ต้นไมยราบที่ใครหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแค่วัชพืชนั้น ความจริงแล้วเป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติทางยาอยู่มากทีเดียว ได้แก่ แก้ไอ ขับเสมหะ รักษาอาการหลอดลมและกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยลดคอเลสเตอรอล และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เราสามารถนำต้นไมยราบมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งต้นเลยค่ะ โดยนำมาต้มกับน้ำ ใช้จิบบำรุงร่างกายได้เหมือนเครื่องดื่มประเภทชา มะเขือยาว ผักสวนครัวที่เรามักนำไปเป็นผักเครื่องเคียงไว้จิ้มน้ำพริกอย่าง มะเขือยาวนั้น ก็มีสรรพคุณช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เช่นกัน จากผลการทดลองในห้องแล็บ โดยการเลี้ยงกระต่ายด้วยอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง และมีมะเขือยาวเป็นอาหารเพิ่ม พบว่า ไม่มีคอเลสเตอรอลเกาะในหลอดเลือด จึงคาดว่ามะเขือยาวยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลผ่านผนังลำไส้ แต่หากจะบริโภคโดยใช้วิธีการทอดคงจะไม่เหมาะนัก เพราะมะเขือยาวจะดูดซับน้ำมันไว้ด้วย ทางที่ดี ให้ใช้วิธีการอบ หรือเผาแทนดีกว่า เสาวรส เสาวรส เป็นผลไม้ที่นิยมบริโภคแพร่หลายในต่างประเทศ แต่ในบ้านเรากลับไม่ค่อยนิยมนำมากินสด ๆ เหมือนกับผลไม้ชนิดอื่นเท่าไรนัก ส่วนใหญ่เราจะเห็นว่านำผลเสาวรสมาคั้นเป็นน้ำ หรือไม่ก็นำไปเป็นส่วนประกอบในอาหารชนิดอื่น ๆ เช่น ไอศกรีมเสาวรส ขนมเค้ก คุ้กกี้ เป็นต้น จากการศึกษาพบว่าวิตามินซีในผลเสาวรส มีมากกว่าในผลมะนาวเสียอีก และยังพบอีกด้วยว่า สาร Albumin homologous protein ในเมล็ด สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ มีสรรพคุณ ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ลดไขมันในเลือด และโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ผลสดของเสาวรสนั้น ยังมีข้อควรระวังอยู่ด้วย นั่นคือ ไม่ควรเคี้ยวให้เมล็ดสดแตก เพราะร่างกายจะได้รับผลข้างเคียงจากสารไซยาไนต์ในเมล็ด และอีกกรณีก็คือ ผู้ที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงควรดื่มพอประมาณ เห็ดฟาง อาหารสีขาวอย่างเช่น เห็ดฟางนั้น ดีต่อร่างกายมากทีเดียวนะคะ เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยลดไขมันในเส้นเลือด แล้ว ยังช่วยบำรุงหัวใจ กระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น ป้องกันโรคหวัด ต้านอนุมูลอิสระ ลดการติดเชื้อและช่วยสมานแผล ที่สำคัญคือ ใครที่ธาตุหนัก ท้องผูกบ่อย ขับถ่ายยาก ควรกินค่ะ เพราะเห็ดฟางมีเส้นใยสูงช่วยกระตุ้นการขับถ่ายได้ด้วย หอม หอมก็เป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่คนส่วนมากมักเขี่ยทิ้งประจำ เพราะกินแล้วทำให้เกิดกลิ่นปาก ทั้ง ๆ ที่หอมมีสรรพคุณเพียบเลย ดังนี้ -หอมแดง อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดคลอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตและโรคหัวใจ บำรุงสมอง และมีสรรพคุณช่วยรักษาสิวฝ้า -หอมหัวใหญ่ มีสรรพคุณช่วยป้องกันเซลล์เนื้อร้ายที่บริเวณลำไส้ ช่วยสลายลิ่มเลือด ลดไขมันในเลือด รักษาอาการหวัด แก้อาการจุกเสียดแน่ท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีส่วนในการช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้และหอบหืด ประโยชน์ของหอมมีมากมายแบบนี้ คงต้องแข็งใจทานกันสักหน่อยเนอะ เพื่อสุขภาพที่ดี ขิง ขิง สมุนไพรรสชาติเผ็ดร้อนก็มีสรรพคุณช่วยลดคอเลสเตอรอลด้วยเช่นกัน จากรายงานการศึกษา เผยว่า ขิงมีประโยชน์ต่อผู้ที่มีคอเลสเตอรอลสูง โดยพบว่า การผสมขิงสดลงลงในอาหารทีมี่คอเลสเตอรอลผสมอยู่ จะช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดและตับ สำหรับวิธีกินขิงนั้น แนะนำให้กินแบบสดพร้อมกับอาหาร หรือ ฝานเหง้าขิงสด ต้มกับน้ำ หรือ น้ำชา ใช้จิบดื่มเป็นน้ำขิง ชาขิง ขอบคุณข้อมูลจาก:http://linhzhimin-info.com/contnent-8/
8 วิธีปรับอาหารเพื่อบำรุง “หัวใจและหลอดเลือด”
หัวใจและหลอดเลือด ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เซอร์จิโอ ฟาซิโอ ผู้อำนวยการศูนย์หัวใจและหลอดเลือด OHSU ร่วมด้วยนายแพทย์นพรัตน์ พานทองวิริยะกุล แพทย์อายุรศาสตร์โรคหัวใจ คลินิกป้องกันและดูแลสุขภาพหัวใจ บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ในสัมมนาหัวข้อ “การป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด” เอาไว้ว่า หัวใจ อวัยวะที่ทำงานหนักที่สุดในร่างกาย โดยเฉลี่ยอัตราการเต้นของหัวใจของคนทั่วไปในสภาวะปกติอยู่ที่ 60-80 ครั้งต่อนาที เท่ากับ 86,400-115,200 ครั้งต่อวัน หรือคิดเป็น 30-60 ล้านครั้งต่อปี สุขภาพหัวใจและหลอดเลือดจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน และทุกวัย วิธีปรับอาหารเพื่อบำรุง “หัวใจและหลอดเลือด” แพทย์แนะนำว่า การปรับอาหารจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ดังนี้ ในหนึ่งมื้ออาหารของคนไทยควรเพิ่มปริมาณของผักนึ่ง ลดปริมาณแป้งลง เน้นจำพวกไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ปรุงรสด้วยสมุนไพรแทนเครื่องปรุงอย่างน้ำปลาหรือซอสพริกที่มีปริมาณโซเดียมสูง เลือกรับประทานโปรตีนประเภทเต้าหู้ อกไก่ หรือ ปลา หลีกเลี่ยงอาหารทอด อาหารมัน รับประทานเนื้อแดงในปริมาณที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงและผลิตภัณฑ์จากนมต่างๆ นอกจากการปรับอาหารแล้ว ยังควรปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ควบคู่กันไปด้วย เช่น ออกกำลังกาย และการคุมน้ำหนัก เพื่อการชะลอปัจจัยการเกิดโรคได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ขอบคุณข้อมูลจาก:https://www.sanook.com/health/20903/
ขิง กินดี มีประโยชน์
กระแสการดื่มน้ำขิง หรืออาหารที่มีขิงเป็นส่วนประกอบจะขายดี เพราะมีหลายคนกล่าวอ้างว่า ขิงสามารถป้องกันโควิด 19 ได้ แต่จริงๆ แล้วเป็นอย่างไร วันนี้เราจะบอกให้รู้กันไปเลย ขิงไม่ได้ช่วยป้องกัน COVID 19 ด้วยความที่ COVID 19 เป็นโรคอุบัติใหม่ และยังไม่มีรายงานว่าอาหารชนิดใดที่จะช่วยป้องกัน COVID 19 ดังนั้นการกินเพื่อป้องกัน COVID 19 จะถือว่าผิดวัตถุประสงค์ไปหน่อย หากเราอยากป้องกันโรคนี้ สิ่งที่ควรทำคือกินอาหารที่ร้อน สุกสะอาด และมีผักทุกมื้อ แยกช้อน แยกชาม แยกของใช้ของกันละกัน เว้นระยะห่างจากคนอื่นๆ ตามหลักการ Social Distancing หรือ Physical Distancing ยึดหลักว่า โรคติดต่อจะไม่ติดต่อถ้าเราไม่ติดต่อกันนั่นเอง แต่ขิงช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้ แม้ว่าขิงจะไม่ได้ช่วยป้องกันโรค แต่มีงานวิจัยหลายๆ ชิ้นที่บอกว่า ขิงนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระ (anti – oxidant) และสารต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) อยู่มากมาย เช่น Gingerol , Shogoal และ Paradoal โดยพบว่า ขิงสามารถช่วยลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหลังจากการออกกำลังกายได้ นอกจากนี้ สารในขิงบางตัว ยังทำหน้าที่ป้องกันการเจริญเติบโตและการกลายพันธุ์ของเซลล์มะเร็งได้หลากหลายชนิด แต่ก็ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยในระดับหลอดทดลองและสัตว์ทดลองเท่านั้น ยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอีก สรุปแล้ว ควรกินขิง ดีหรือไม่ คำตอบคือ กินได้และดี ควรกินจากอาหารธรรมชาติเป็นหลัก เช่น ต้มน้ำขิงดื่ม แทนน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือชาหวานต่างๆ โดยที่เราต้องไม่ใส่น้ำตาลหรือน้ำผึ้งมากเกิน 1 ช้อนชาต่อแก้ว ต่อวัน หรือ อาจจะนำขิงไปผัดคู่กับเนื้อสัตว์ประเภทต่างๆ เช่น ปลาผัดขิง ก็จะได้คุณค่าทางโภชนาการที่ดีขึ้น ขอบคุณข้อมูล:https://www.thaihealth.or.th/Content/52812-ขิง%20กินดี%20มีประโยชน์.html
เคล็ดลับการดูแลสุขภาพในหน้าฝน ปฎิบัติตนอย่างไรให้ไร้โรคภัย
เคล็ดลับการดูแลสุขภาพในหน้าฝน ปฎิบัติตนอย่างไรให้ไร้โรคภัย ฤดูฝนเป็นอีกช่วงหนึ่งที่มีอัตราผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะอากาศที่มีความเย็นชื้นและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บางครั้งก็ร้อนอบอ้าว บางวันก็พายุเข้าจนตั้งตัวไม่ทัน จนส่งผลใครหลาย ๆ คนเกิดอาการปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้หวัด เจ็บคอ และโรคต่าง ๆ อีกมากมาย วันนี้เราเลยมี เคล็ดลับดูแลสุขภาพในฤดูฝน ปฎิบัติตนอย่างไรให้ไม่เกิด โรคในฤดูฝน มาฝากผู้อ่าน เพื่อเป็นแนวทางการเสริมสุขภาพที่แข็งแรงในช่วงหน้าฝนนี้กัน ไปดูกันเลยว่ามีวิธีอะไรบ้าง 1. เตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกจากบ้านอันดับแรกเลยสิ่งที่เราจะต้องเตรียมตัวรับมือกับฤดูฝนก็คือการเตรียมอุปกรณ์ป้องกันฝนต่าง ๆ ให้เรียบร้อย เพราะเราไม่รู้ว่า ฝนจะตกลงมาเมื่อไหร่ การเตรียมพร้อมจึงดีมากที่สุด อย่างลืมพกร่ม เสื้อคลุม เสื้อกันฝน รองเท้าสำรอง และผ้าขนหนูติดตัวไปด้วย เพื่อที่จะได้ช่วยป้องกันร่างกายไม่ให้โดนน้ำฝน จนไม่สบาย หากเกิดโดนละอองฝนหรือฝนตกใส่ระหว่างออกไปข้างนอก ก็อย่าลืมเอาผ้าขนหนูเช็ดหัวและตัวให้แห้ง เพื่อป้องกันโรคไข้หวัดและปอดบวม และกลับมารีบอาบน้ำทำความสะอาดสระผมทันที เพราะสายฝนมักจะนำเชื้อโรคต่าง ๆ ติดมาด้วยเสมอ อีกทั้งอาจจะทำให้เราเกิดอาการไม่สบายและโรคต่าง ๆ ได้ รวมไปถึงอย่าอยู่ในที่อาการเย็นมากจนเกินไป หากต้องเปิดแอร์ภายในห้อง ก็ควรปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม หากวันใดที่สภาพอากาศมีความเย็นสูง ก็ควรที่จะใส่เสื้อกันหนาวเพิ่มเติมด้วย เพื่อป้องกันอาการไข้หวัดต่าง ๆ 2. ออกกำลังเป็นประจำถึงแม้ฤดูฝน เราจะต้องเผชิญกับฝนข้างนอกแต่ก็สามารถออกกำลังกายได้ที่บ้านหรือในช่วงที่ไม่มีฝน รวมไปถึงตามฟิตเนสและสถานที่ออกกำลังกายในร่มต่าง ๆ การออกกำลังกายจะช่วยทำให้คุณมีภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ ที่ดีมากยิ่งขึ้น ห่างไกลจากไข้หวัด อาการเจ็บป่วย ๆ ต่างที่มาพร้อมกับสภาพอากาศเย็นชื้น ทั้งยังช่วยเสริมสร้างและฟื้นฟูระบบต่าง ๆ ให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้นอีกด้วย 3. ดื่มน้ำสะอาดเยอะ ๆการดื่มน้ำบ่อย ๆ จะช่วยทำให้ร่างกายเราสามารถสร้างภูมิคุ้มกันและกระตุ้นระบบการไหลเวียนโลหิตให้ส่งออกซิเจนและสารอาหารไปยังอวัยวะการทำงานต่าง ๆ ได้มากยิ่งขึ้น ลดภาวะขาดน้ำ โดยเฉพาะการดื่มน้ำอุ่น จะเป็นการช่วยปรับอุณหภูมิภายในร่างกาย ให้ความอบอุ่น และกระตุ้นระบบขับถ่าย แก้ท้องผูก ให้ลำไส้ทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้นอีกด้วย 4. รับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์เคร่งครัดเลือกการทานอาหารเป็นพิเศษ เนื่องจากฝนฟ้าอากาศอาจจะนำมาซึ่งสารตกค้างต่าง ๆ ภายในอาหารที่เราทำการรับประทาน ควรล้างทำความสะอาดเนื้อสัตว์ ผักผลไม้ให้สะอาดก่อนนำมาทำอาหาร รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ไม่ควรทานของที่ไม่สุก เสริมสร้างภูมิคุ้มกันด้วยสมุนไพรต่าง อย่างเช่น ตะไคร้ ขิง ข่า กระเทียม เป็นต้น ที่จะช่วยปรับอุณหภูมิภายในร่างกายเราเป็นอย่างดี พร้อมทั้งเพิ่มวิตามินซีจากผลไม้เข้าไปเสริมสร้างระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายให้มีประสิทธิภาพในการต่อต้านโรคต่าง ๆ อย่างเช่น ส้ม องุ่น ฝรั่ง มะขาม แอปเปิ้ล มะนาว เป็นต้น 5. ระมัดระวังน้ำท่วมบ่อเกิดแห่งเชื้อโรคในช่วงที่มีฝนตกหนัก หรือในฤดูฝนนั้นมักจะเกิดน้ำท่วมขังภายในซอกซอยและพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งเราควรที่จะหลีกเลี่ยงการเดินผ่านพื้นที่เหล่านี้ เนื่องจากเต็มไปด้วยเชื้อโรคมากมายที่ขังอยู่ภายใน นำมาซึ่งโรคอันตรายต่าง ๆ ทั้งโรคมือเท้าเปื่อย โรคไทรอยด์ ไขหวัด เชื้อราที่ผิวหนัง แผลอักเสบ อหิวาตกโรค ท้องร่วง เป็นต้น เมื่อต้องสัมผัสกับน้ำท่วมขังเหล่านี้ ให้เราล้างมือล้างเท้าให้สะอาดทุกครั้งที่กลับเข้าบ้าน อาจจะอาบน้ำเลยก็ได้เพื่อฆ่าเชื้อโรคให้หมดสิ้น รวมไปถึงก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง ควรล้างมือหากมีการสัมผัสกับน้ำท่วมขังเหล่านี้ด้วย เพราะโรคที่เกิดจากน้ำท่วมขังเหล่านี้ถือว่าเป็นอันตรายอย่างมากต่อร่างกายและใช้ระยะเวลาในการรักษาค่อนข้างนานด้วย เป็นข้อควรระวังที่ต้องดูแลทั้งในเด็กไปจนถึงผู้สูงอายุเลยทีเดียว 6. ระมัดระวังยุงตัวร้ายที่มาพร้อมกับฝนเมื่อมีน้ำท่วมขัง มีฝน ก็ต้องมียุง ซึ่งเราจะพบว่ามียุงชุกชุมเป็นพิเศษในช่วงฤดูฝน เพราะว่าสภาพอากาศต่าง ๆ ความชื้นที่เหมาะสมต่อการแพร่พันธุ์ของยุงอย่างมาก และยุงก็เป็นตัวการของโรคร้ายหลายอย่าง โดยเฉพาะโรคไข้เลือดออก และอื่น ๆ อีกมากมาย เพราะฉะนั้นเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงไร้โรคภัย เราจะต้องทำการป้องกันการแพร่พันธุ์ต่าง ๆ สังเกตจุดเพาะพันธุ์ยุง ตามแอ่งน้ำภายในบ้าน ถม ใส่ทรายอะเบท (ซื้อได้ตามร้านขายยา) ฉีดยากันยุง และถางหญ้าแต่งสวนในบริเวณที่มีความเสี่ยงในการเพาะพันธุ์ ส่วนภายในตัวบ้านก็ควรที่จะติดมุ้งลวด สเปรย์กันยุง หรือเทียนหอมไล่ยุงต่าง ๆ ทายากันยุง รวมไปถึงอย่าลืมทาโลชั่นกันยุง เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองโดยตรงด้วย เป็นอย่างไรกันบางครับกับ เคล็ดลับดูแลสุขภาพ ในฤดูฝนวิธีปฎิบัติตนให้อยู่อย่างไร้โรคภัยหมดความกังวล แข็งแรงทั้งสุขภาพร่างกายและจิตใจ หมั่นออกกำลังกาย ดื่มน้ำสะอาดและน้ำอุ่นเป็นประจำ อย่าลืมระวังด้านอาหารการกิน และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ถูกสุขลักษณะอนามัย ก่อนออกจากบ้านอย่าลืมเตรียมอุปกรณ์สำคัญให้พร้อม พกร่ม เสื้อกันหนาว เสื้อกันฝน ทำตัวให้แห้งอยู่เสมอ เพื่อลดความเสี่ยงของโรค เมื่อมีอาการผิดปกติ หากป่วยไม่สบายให้รีบพบแพทย์ อย่าปล่อยทิ้งไว้นานและที่สำคัญอย่าลืมระมัดระวังยุงตัวร้ายพร้อมกับน้ำท่วมขังด้วยนะคะ ขอบคุณข้อมูลจาก:http://www.ops.moe.go.th/สาระน่ารู้/2283-เคล็ดลับการดูแลสุขภาพในหน้าฝน-ปฎิบัติตนอย่างไรให้ไร้โรคภัย-18-ก-ค-2561
บทบาทพ่อแม่เมื่อลูกต้องเรียนที่บ้าน
เดือนพฤษภาคม เป็นที่รู้กันว่าเป็นช่วงเวลาเปิดเทอมที่เด็กๆ ต้องไปโรงเรียน แต่ด้วยการแพร่ระบาดของโควิด – 19 จึงจำเป็นต้องเลื่อนการเปิดเทอมไปก่อนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด การเรียนที่บ้าน จึงเป็นหน้าที่ที่ผู้ปกครองต้องช่วยกันดูแล จะว่าไปแล้วการดูแลเด็กในครอบครัวก็เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครองอยู่แล้ว เพียงแต่ครั้งนี้ดูพิเศษกว่าครั้งไหนๆ ทำให้พ่อแม่หลายท่านเริ่มกังวลว่าจะทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดีหรือไม่ รูปแบบการจัดการเรียนการสอนในช่วงการแพร่ ระบาดของโควิด – 19 สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1.การเรียนแบบออฟไลน์ เป็นการเรียนรู้ทางไกลอยู่บ้าน แต่มีแบบฝึกทักษะการเรียนส่งให้ถึงบ้านพร้อมกับคู่มือ อุปกรณ์ต่างๆ มาให้ผู้ปกครองศึกษา การเรียนแบบนี้ จะไม่มีจอใดๆ ถ้ามีจอก็ผู้ปกครองดูจอแทนว่าคุณครูให้ทำอะไรบ้าง เป็นการแนะนำพ่อแม่ให้ทำกิจกรรมกับเด็ก ส่วนเด็กก็ลงมือทำกิจกรรมร่วมกับผู้ปกครอง เป็นการกระตุ้นให้เกิดการใช้เวลาร่วมกันในครอบครัวมากขึ้น 2.การเรียนแบบออนแอร์ มีกิจกรรมการเรียนการสอนผ่านจอทีวี เป็นโครงการของมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ร่วมกับ สพฐ. เพื่อให้เป็นไปตามรูปแบบของการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะมีรายการที่ทางกระทรวงแจ้งไว้ว่ามีกำหนดออกอากาศวันไหน แต่การเรียนในลักษณะนี้จะเป็นการเรียนรู้ทางเดียว เด็กก็จะหลับบ้าง หมดแรงดูบ้าง โดยที่ผู้สอนในจอก็ยังสอนต่อไป เพราะไม่สามารถเห็นปฏิกิริยาของเด็กๆทุกคนได้ 3.การสอนแบบออนไลน์ โดยมีครูเตรียมการสอนอยู่ที่โรงเรียน แล้วไลฟ์สดถึงบ้านหรือทำเป็นคลิป การสอนแบบนี้ผู้เรียนจะให้ความสนใจมากขึ้น เพราะครูชวนพูด ชวนทำกิจกรรม เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ โดยยึดบ้านเป็นฐานการเรียนรู้ หากพ่อแม่ไม่รู้เรื่องวิชาการ วิชาเรียนของลูก จะทำอย่างไร? ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สามารถสอนลูกได้ อย่าตั้งความคาดหวังไว้สูง เพียงทุกๆ วัน ได้สร้างทักษะชีวิตให้ลูกเริ่มต้นจากที่บ้าน เริ่มจากเรื่องง่ายๆ ด้วยการช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรประจำวันในบ้าน เช่น อาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัว พับ แขวนเสื้อผ้า จัดสรรเวลาให้ผสมผสานกับชีวิตประจำวันและทำน้อยๆ แต่เน้นคุณภาพ ดีกว่าทำมากๆ แต่ไม่มีความสุข โดยบทบาทของพ่อแม่ มีดังนี้ 1.เข้าใจ ขอให้ผู้ปกครองทำความเข้าใจว่าสื่อแต่ละอย่างที่นำมาให้เด็กได้เรียนรู้มีวัตถุประสงค์แตกต่างกันไป ให้เข้าใจบทบาทหน้าที่ของตนเอง เข้าใจพัฒนาการและธรรมชาติของเด็ก 2.มั่นใจ ให้มั่นใจว่ารูปแบบที่เราเรียนรู้สมัยเด็กๆ ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ ให้มั่นใจว่าตัวเองสอนได้ อาจจะไม่ได้สอนแบบคุณครู แต่ก็สอนให้เด็กสนุกกับกิจกรรม ทำให้เกิดการเรียนรู้ตามมา 3.ทำใจกับสถานการณ์ นับว่านี่เป็นโอกาสที่ผู้ปกครองได้มีความสุขร่วมกับลูก เปิดโอกาสให้ได้ใช้เวลากับลูก หัวใจสำคัญคือสุขภาพจิตของพ่อแม่ ผู้ปกครอง ต้องปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ให้เป็นเชิงบวก อย่าตั้งเป้าหมายให้เยอะเกินไป พยายามให้ลูกใช้ชีวิตประจำวันเองให้ได้เพื่อปลูกฝังทักษะชีวิตให้กับเขา เพื่อที่จะเติบโตเป็นอนาคตของชาติในภายภาคหน้าอย่างมีคุณภาพ ที่มา: www. thaihealth.or.th ขอบคุณข้อมูล:http://www.student.co.th/index.php/knowledge/15538
'สงกรานต์' กับ 3 วันสำคัญของปีใหม่ไทย ตรงกับวันไหนกันแน่?
ต้อนรับสู่วัน "สงกรานต์" หรือวันปีใหม่ไทยที่ปีนี้ไม่สนุกเหมือนทุกปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุโรคระบาด "โควิด-19" ที่แพร่กระจายไปทั่วโลก มนุษย์ต้องหยุดทุกกิจกรรม ประเพณี หรือเทศกาลที่มีลักษณะการรวมกลุ่มฝูงชนจำนวนมากเพื่อควบคุมการระบาดนี้ให้ได้ แต่ไหนๆ ก็มาถึงวัน "สงกรานต์ 2563" ทั้งที (แม้จะไม่ได้สาดน้ำหรือฉลองปีใหม่ก็ตาม) วันนี้จะชวนคนไทยมารู้จัก 3 วันสำคัญในช่วงเทศกาลสงกรานต์กันหน่อยดีกว่า "สงกรานต์" เริ่มมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่? วันสงกรานต์ ถือเป็นประเพณีวันขึ้นปีใหม่ของไทยมาแต่โบราณ คำว่า “สงกรานต์” มาจากภาษาสันสกฤตว่า “สํ-กรานต” ซึ่งแปลว่า ก้าวขึ้น ย่างขึ้น หรือย้ายขึ้น มีนัยยะหมายถึงการเข้าสู่ศักราชราศีใหม่หรือวันขึ้นปีใหม่นั้นเอง โดยเทศกาล “สงกรานต์” นั้นเป็นประเพณีที่มีความเก่าแก่และถูกสืบทอดกันมานานตั้งแต่โบราณ ในยุคแรกๆ คนไทยโบราณจะถือเอาวันขึ้น 1 ค่ำ เดือนอ้าย ซึ่งจะตรงในช่วงเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคม ให้เป็นวันขึ้นปีใหม่ แต่ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการเปลี่ยนมากำหนดใหม่ โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ผ่านมาจนถึงยุคสมัยของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม (พ.ศ. 2483) ได้เปลี่ยนวันปีใหม่ให้เป็นวันสากล คือ วันที่ 1 มกราคม แต่ถึงอย่างไร คนโบราณก็ยังคงคุ้นเคยกับวันปีใหม่ไทยในเดือนเมษายน จึงได้กำหนดให้วันที่ 13 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ไทยหรือวัน “สงกรานต์” ร่วมด้วย โดยมีวันสำคัญต่างๆ ที่พ่วงมาด้วยในช่วงวันที่ 13-14-15 เมษายน คือ วันมหาสงกรานต์ วันผู้สูงอายุ วันครอบครัว และวันเถลิงศก เทศกาล “สงกรานต์” เป็นประเภณีที่งดงาม อ่อนโยน เอื้ออาทร และเต็มไปด้วยบรรยากาศของความกตัญญู ความสนุกสนาน ความอบอุ่น และการแสดงความเคารพซึ่งกันและกัน โดยใช้ "น้ำ" เป็นสื่อในการแสดงความรักความกตัญญูของลูกหลานไปยังญาติผู้ใหญ่ โดยมีกิจกรรมฉลองปีใหม่แบบไทยๆ มากมายหลายกิจกรรม บางอย่างก็แตกต่างกันไปตามท้องถิ่นแต่ละภูมิภาค แต่กิจกรรมหลักๆ ที่คล้ายกันทุกภูมิภาค ได้แก่ 1. ทำบุญตักบาตร ในวันมหาสงกรานต์ ประชาชนจะลุกขึ้นมาแต่เช้ามืดมาปรุงและจัดเตรียมสำรับอาหาร เพื่อนำไปตักบาตรถวายพระ พอจัดเตรียมอาหารเสร็จก็จะบรรจงลงภาชนะอย่างพิถีพิถัน เรียงลงในถาด เพื่อนำไปทำบุญตักบาตรและเลี้ยงพระประจำหมู่บ้านของตน แต่ละคนจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่สวยงาม สะอาด เรียบร้อยมิดชิดเหมาะแก่การไปทำบุญที่วัด 2. สรงน้ำ รดน้ำดำหัว และเล่นน้ำ "สงกรานต์" อีกหนึ่งกิจกรรมที่คนไทยปฏิบัติสืบตือกันมาก็คือ การสรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ เล่นสาดน้ำ เตือนอีกครั้งว่า ปีนี้ 2563 ทางการมีคำสั่งงดการจัดกิจกรรมสงกรานต์ทุกระดับ งดการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ (แต่ไหว้ขอพรได้โดยเว้นระยะห่างกัน 2 เมตร) และงดเล่นสาดน้ำสงกรานต์ทั่วประเทศ!! แต่ยังสามารถสรงน้ำพระที่บ้านได้ โดยตามความเชื่อของคนไทยเกี่ยวกับการ "สรงน้ำพระพุทธรูป" นั้น จะต้องเตรียมดอกไม้ ธูปเทียน ไปบูชาพระที่หิ้งพระที่บ้าน แล้วเอาน้ำอบไปประพรมที่องค์พระ ซึ่งพิธีนี้สะท้อนนัยยะว่าเป็นการแสดงความเคารพบูชาต่อพระพุทธศาสนาในวันขึ้นปีใหม่ไทย ส่วนการ "รดน้ำญาติผู้ใหญ่" หรือผู้ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ มีความหมายว่าเป็นการไหว้แสดงความกตัญญู ขอขมา และเป็นการขอพรตามประเพณี 3. ก่อพระเจดีย์ทราย ขนทรายเข้าวัด ในสมัยก่อนมีความเชื่อกันว่าหลังจากที่เรามาทำบุญที่วัดแล้วแล้วเวลาเดินออกจากวัดจะมีเม็ดทรายติดเท้าออกไปด้วย ถือเป็นการเอาของๆ วัดออกไป ต้องเอามาคืน ดังนั้นเพื่อเป็นการนำทรายหรือดินที่ติดเท้าออกไปมาคืนวัดจึงเกิดประเพณี "การขนทรายเข้าวัด" และ "การก่อพระเจดีย์ทราย" นั้นเอง และกิจกรรมนี้ยังถือเป็นกุศโลบายเพื่อสร้างความสามัคคีกลมเกลียวกันของคนในชุมชน อ่านเพิ่มเติม : ฉลอง ‘สงกรานต์’ ยังไงในช่วง ‘โควิด-19’ รวมไอเดียมาให้แล้วที่นี่! 13 เมษายน เป็นวันผู้สูงอายุและวันมหาสงกรานต์ อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่าเทศกาล "สงกรานต์" มาพร้อมกับวันสำคัญต่างๆ มากมาย เริ่มจาก วันที่ 13 เมษายน ถือเป็นวันมหาสงกรานต์และเป็นวันผู้สูงอายุ รวมอยู่ในวันเดียวกัน โดยรัฐบาลกำหนดให้วันที่ 13 เมษายนเป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติ เพื่อให้ลูกหลานได้เล็งเห็นความสำคัญของผู้สูงอายุ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นบุพการี ผู้อาวุโสหรือผู้ใหญ่ในชุมชนที่เคยทำคุณประโยชน์แก่สังคมมาแล้ว สำหรับที่มาของ "วันผู้สูงอายุ" นั้นเริ่มต้นขึ้นในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ในสมัยนั้นได้มีการกำหนดนโยบายที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี มีคุณภาพ และดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข โดยได้มอบให้กรมประชาสงเคราะห์จัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชราขึ้นในปี 2496 เพื่อให้การสงเคราะห์ผู้สูงอายุที่เดือดร้อน ประสบปัญหาในการทำมาหากินและไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ต่อมาในสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็มีการสานต่อความสำคัญของ "วันผู้สูงอายุ" โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2525 อนุมัติให้วันที่ 13 เมษายนของทุกปีเป็นวันผู้สูงอายุ และได้เลือก "ดอกลำดวน" เป็นสัญลักษณ์ของผู้สูงอายุ เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่ให้ความร่มเย็น ลำต้นมีอายุยืน มีใบเขียวตลอดปี ให้ร่มเงาดีและดอกมีสีนวล กลิ่นหอม กลีบแข็งไม่ร่วงง่าย เปรียบเหมือนผู้สูงอายุซึ่งเป็นผู้ทรงวัยวุฒิที่คงคุณธรรมความดีงามไว้เป็นแบบอย่างแก่ลูกหลานตลอดไป วันที่ 14 เมษายน เป็นวันครอบครัว ถัดมาอีกหนึ่งวันก็คือ วันที่ 14 เมษายน รัฐบาลกำหนดให้เป็น “วันครอบครัว” ของทุกปี เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงคุณค่าของสถาบันครอบครัว และใช้เวลาว่างในวันหยุดยาวช่วงเทศกาล "สงกรานต์" ให้สมาชิกในครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้าและทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน เป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว และสร้างความรักความอบอุ่นในครอบครัว อีกทั้งช่วงเทศกาลสงกรานต์ถือเป็นโอกาสที่ประชาชนจะได้เดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อรวมญาติ พบปะครอบครัว ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับบุพการีที่ล่วงลับไปแล้ว รดน้ำดำหัวขอพรผู้เฒ่าผู้แก่ เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคล ความอบอุ่น และความสุขของครอบครัวตามประเพณีไทยที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา สำหรับที่มาของ “วันครอบครัว” นั้น เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2532 คณะรัฐมนตรีซึ่งมีพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เสนอมติโดยคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นผู้เสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยและอนุมัติให้ วันที่ 14 เมษายน ของทุกปี เป็นวันแห่งครอบครัว ซึ่งตรงกับวันสงกรานต์ของไทย เพราะโดยส่วนใหญ่ในวันนี้เป็นวันที่สมาชิกในครอบครัวมีโอกาสพบปะกันได้โดยสะดวก 15 เมษายน วันขึ้นปีใหม่ไทย ส่วนวันที่ 15 เมษายน จะเรียกว่าเป็น “วันเถลิงศก” ถือว่าเป็นวันเริ่มจุลศักราชใหม่ หรือวันปีใหม่ไทยที่นับตามแบบสมัยโบราณนั่นเอง ส่วนใหญ่คนไทยจะนิยมไปเที่ยวกับครอยบครัวหรือฉลองปีใหม่กันที่บ้านด้วยการทำกับข้าว กินข้าวมื้อใหญ่ร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตา และมีเคล็ดว่าทุกคนต้องสวมใส่เสื้อผ้าใหม่หรือมีของใช้ส่วนตัวชิ้นใหม่ๆ อย่างน้อย 1 ชิ้นเพื่อเป็นการเสริมสิริมงคลต้อนรับปีใหม่นั่นเอง ขอบคุณข้อมูลจาก:https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/875735
ไวรัสโคโรนา: “หน้ากากอนามัย” แบบไหน ควรใส่ป้องกัน “โควิด-19”
เราจำเป็นต้องใส่หน้ากากอนามัยหรือไม่? อันดับแรกก่อนเข้าสู่ช่วงคำถามเกี่ยวกับการใช้หน้ากากอนามัย ต้องเข้าใจก่อนว่า จริงๆ แล้วหน้ากากอนามัยที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน (surgical mask) ทั้งสีขาว ฟ้า เขียว ฯลฯ ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้ละอองน้ำลายจากการไอ จาม แพร่กระจายสู่อากาศภายนอก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ที่สูดอากาศเอาละอองน้ำลายของผู้ป่วยเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจติดเชื้อไวรัสได้ (เหมือนกับการติดต่อของโรคหวัดธรรมดาเช่นกัน) ดังนั้นในหลายประเทศ ที่เห็นชัดๆ อย่างประเทศญี่ปุ่น หากใครป่วยเป็นไข้หวัด จึงมักใส่หน้ากากอนามัยเพราะมีวินัยในตัวเอง ป้องกันไม่ให้คนอื่นติดหวัดจากเรานั่นเอง แต่ในบ้านเราส่วนใหญ่ยังพบว่า แม้ว่าเราจะป่วยเป็นไข้หวัด มีอาการไอ จาม หลายคนยังไม่สวมหน้ากากอนามัย ดังนั้นการสวมหน้ากากอนามัยในช่วงเวลาที่มีการระบาดของเชื้อไวรัส ก็ถือว่าช่วยป้องกันให้ตัวเองได้ในระดับหนึ่ง แต่พึงระวังไว้เสมอว่า ที่สำคัญยิ่งกว่าการสวมหน้ากากอนามัย คือการล้างมือให้สะอาดอยู่บ่อยๆ ลดการสัมผัสกับสิ่งของสาธารณะ ลดการสัมผัสหน้าตาจมูกปากของตัวเองระหว่างวัน ไม่จับหน้ากากอนามัยที่ตัวเองสวมอยู่ระหว่างวัน และล้างมือก่อนหยิบจับอาหารเข้าปาก จะช่วยลดการติดเชื้อไวรัสได้มากกว่า ใครต้องใส่ “หน้ากากอนามัย” ช่วง “โควิด-19” ระบาดบ้าง? หน้ากากแบบไหน ป้องกันโควิด-19 ได้? เรียงลำดับหน้ากากจากความสามารถในการป้องกันเชื้อไวรัส หน้ากากผ้า ความสามารถในการป้องกันเชื้อไวรัส - ต่ำ เพราะวัสดุที่เป็นผ้าไม่สามารถป้องกันความชื้นได้ และยังเสี่ยงต่อการที่เชื้อโรคติดค้างอยู่ในหน้ากากนานกว่าหน้ากากชนิดอื่น แนะนำให้ใส่ - ผู้มีสุขภาพดีปกติ ไม่เป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ป้องกันฝุ่นละอองขนาดใหญ่กว่า PM 2.5 เช่น สวมใส่ขณะทำความสะอาดบ้าน เป็นต้น ไม่แนะนำให้ใส่ - ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส ผู้ป่วยไข้หวัด (ป้องกันละอองน้ำลายออกจากปากและจมูก กระจายสู่อากาศภายนอกไม่ได้มากนัก) ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ บุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาล เป็นต้น ข้อควรระวัง - ควรซักก่อนใช้ทุกวัน หน้ากากอนามัย ความสามารถในการป้องกันเชื้อไวรัส - ปานกลาง เพราะจริงๆ แล้วหน้ากากอนามัยออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้ละอองน้ำลาย “ออก” จากหน้ากากมากกว่าไม่ให้ละอองน้ำลายเข้าผ่านหน้ากาก “เข้า” สู่ปากและจมูกของเรา แต่ด้วยวัสดุกันความชื้น และชั้นกรองต่างๆ ในหน้ากากอนามัย (ที่ได้มาตรฐาน) ก็ช่วยป้องกันละอองต่างๆ ได้บ้าง แต่ด้วยความที่มันบางและหลวมจึงมีโอกาสที่เชื้อโรคต่างๆ จะเล็ดลอดเข้าไปได้เช่นกัน แนะนำให้ใส่ - ผู้ป่วยโรคไข้หวัดที่มีอาการไอ จาม ผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจ บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ที่ต้องดูแลผู้ป่วย ไม่แนะนำให้ใส่ - สามารถใส่ได้ทุกคน ข้อควรระวัง - ต้องพึงนึกเสมอว่า แค่สวมหน้ากากอนามัย ไม่ได้ป้องกันไวรัสได้ 100% อย่าสัมผัสหน้ากากตัวเองระหว่างวัน และควรเปลี่ยนทุกวันอย่าใช้ซ้ำ และอย่าซักมาใช้ซ้ำเช่นเดียวกัน สวม "หน้ากากอนามัย" ช่วยป้องกันไม่ให้ป่วยจริงหรือไม่ ? หน้ากาก N95 ความสามารถในการป้องกันเชื้อไวรัส - สูง สามารถป้องกันละอองน้ำลายจากผู้ป่วยได้ รวมถึงเชื้อโรคบางชนิด ละอองฝุ่นที่อนุภาคเล็กถึง PM 2.5 ได้มากถึง 95% (ถ้าสวมถูกวิธี) แต่ไม่สามารถป้องกันจากแก๊ส หรือไอน้ำได้ แนะนำให้ใส่ - คนที่ต้องทำงานอยู่ไซต์ก่อสร้าง หรือสถานที่ที่เต็มไปด้วยฝุ่นตลอดเวลา เช่น โรงงานบางแห่ง ไม่แนะนำให้ใส่ - ผู้ป่วยไข้หวัดธรรมดา และคนทั่วไปที่ไม่ได้ทำงานกับฝุ่น หรือไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่นอนุภาคขนาดเล็ก PM 2.5 ข้อควรระวัง - หน้ากาก N95 อาจทำให้หายใจได้ไม่สะดวกมากนัก ไม่ควรใส่ขณะออกกำลังกาย หากไม่ใช่แบบที่ซักได้ก็ไม่ควรนำมาซัก เพราะจะลดประสิทธิภาพในการกรองได้ “หน้ากาก N95” ใช้ซ้ำได้หรือไม่? เมื่อไรควรเปลี่ยน? นอกเหนือจากนี้จะเป็นหน้ากากที่ใช้เฉพาะกับเจ้าหน้าที่ หรือผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสารเคมีต่างๆ เช่น หน้ากาก P100 ที่ป้องกันแก๊สได้ หรือหน้ากากสำหรับนักดับเพลิง เป็นต้น หากอยากเลือกสวมหน้ากากอนามัยเพื่อช่วยป้องกันโควิด-19 ควรเลือกหน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้งวันต่อวัน หรือถ้าไม่มีหรือกลัวสิ้นเปลือง อาจเลือกเป็นหน้ากาก N95 ชนิดเปลี่ยนเฉพาะไส้กรอง หรือชนิดซักใช้ซ้ำได้ (ถ้ามีอยู่แล้วที่บ้าน) แต่จริงๆ แล้วไม่มีความจำเป็นต้องใช้ถึงหน้ากาก N95 คนที่จำเป็นมากกว่าคือคนที่ต้องสัมผัส หรืออยู่ใกล้ผู้ป่วยติดเชื้อมากๆ เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ถ้าไม่มีหน้ากากอนามัยเลยจริงๆ หากเป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ดี เน้นล้างมือบ่อยๆ กินร้อน ช้อนตัวเอง และงดพบปะสังสรรค์ หรือร่วมกิจกรรม ไปในสถานที่ที่มีคนรวมอยู่เป็นจำนวนมาก ช่วยลดความเสี่ยงในการติดไวรัสได้มากกว่าการใส่หน้ากากเยอะ **ถ้าป่วยเป็นไข้หวัดมีอาการไอ จาม ควรสวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกบ้าน ขอขอบคุณ ข้อมูล :businessinsider.com,กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ,https://www.sanook.com/health/21151/ ภาพ :iStock
วิธีป้องกันไวรัสโควิด (Covid-19) ที่คนไทยต้องรู้
ไวรัสโควิด 19 (Covid-19) คือเชื้อไวรัสที่มีรูปร่างคล้ายมงกุฎ พบครั้งแรกกลางทศวรรษที่ 1960 โดยมีเชื้อไวรัสโคโรน่าอยู่ 4 สายพันธุ์ใหญ่ ๆ ด้วยกัน แต่ตัวที่ระบาดมากที่สุดคือ SARS-CoV พบครั้งแรกที่ประเทศจีน ปี ค.ศ. 2002-2003 ซึ่งได้ระบาดไปทั่วโลกและมีอัตราการเสียชีวิตสูง ต่อมาพบเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ MERS-CoV เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศซาอุดีอาระเบีย ในแถบตะวันออกกลาง จนกระทั่งล่าสุดพบ “เชื้อไวรัสโควิด 19 หรือ ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019” ที่เมืองอู่ฮั่น เมืองหลวงของมณฑลหูเป่ย์ ตอนกลางของประเทศจีน โดยบริเวณที่พบผู้ป่วยมากที่สุดและคาดว่าน่าจะเป็นรังของโรค คือ ตลาดอาหารทะเลและสัตว์หายากในเมือง ซึ่งได้แพร่กระจายไปในหลายเมืองในประเทศจีนและหลายประเทศ เช่น ไทย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เป็นต้น โดยเฉพาะในประเทศไทยเอง ผู้ป่วยรายแรกที่พบนั้นเป็นนักท่องเที่ยวหญิงชาวจีนอายุ 61 ปี จากเมืองอู่ฮั่น ซึ่งมีอาการไข้หนาวสั่น ปวดศีรษะและเจ็บคอ สามวันก่อนเดินทางมาที่ประเทศไทย ต่อมาได้เดินทางมาพร้อมครอบครัวเพื่อท่องเที่ยว เมื่อเดินผ่านเครื่องตรวจจับความร้อนที่สนามบิน (thermo scan) จึงพบว่ามีไข้ และถูกส่งตัวไปนอนรักษาที่โรงพยาบาลทันที อีกสองวันต่อมา ทางโรงพยาบาลสามารถแยกเชื้อโดยวิธีการทางโมเลกุลได้ว่าเป็นเชื้อ “ไวรัสโควิด 19” จึงรายงานไปที่องค์การอนามัยโลก และประเทศไทยได้ประกาศว่าเป็นประเทศแรกนอกเหนือจากประเทศจีน ที่มีผู้ป่วย ไวรัสโควิด 19 ในเวลานี้ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ทำการยกระดับการเตือนภัยความเสี่ยงการระบาดไปทั่วโลกของเชื้อไวรัสโควิด 19 อยู่ที่ระดับ “สูงมาก” หลังมียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นและมีการลุกลามไปยังประเทศต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง วิธีสังเกตอาการ (Covid-19) หากได้รับเชื้อไวรัสโควิด 19 ผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการออกมาภายใน 1 วัน ถึง 2 สัปดาห์ หลังจากได้รับเชื้อ โดยอาการเริ่มแรกของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด 19 นั้น ส่วนใหญ่จะเริ่มจากการมีไข้สูง > 37.5 องศา ไอ เจ็บคอ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หายใจหอบเหนื่อย ถ่ายเหลวท้องเสีย หากผู้ป่วยมีร่างกายไม่แข็งแรงหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ จะทำให้มีความรุนแรงถึงขั้นวิกฤตและเสียชีวิตได้ ล่าสุดทาง…ดร. อเดล แมคคอร์มิค นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเวสต์มินสเตอร์ ในอังกฤษ ระบุว่า การป้องกันการได้รับเชื้อทำได้โดย “หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า, ปาก, จมูก และดวงตา” เนื่องจากมันอาจเป็นช่องทางที่ไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายและทำให้เกิดการติดเชื้อได้ พร้อมแสดงวิธีการดีที่สุดที่จะช่วยป้องกันคุณจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 วิธีป้องกัน (Covid-19) เบื้องต้นทุกคนสามารถป้องกันตัวเองและคนรอบข้างให้ห่างไกลจากเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้ดังนี้ เลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไอ จาม น้ำมูกไหล เหนื่อยหอบ เจ็บคอ เลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะเมืองอู่ฮั่นที่เป็นรังโรค และเมืองอื่น ๆ ในประเทศจีนที่มีการระบาด ระวังการสัมผัสพื้นผิวที่ไม่สะอาด และอาจมีเชื้อโรคเกาะอยู่ ควรล้างมือให้สม่ำเสมอด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลอย่างน้อย 20 วินาที งดจับตา จมูก ปากขณะที่ไม่ได้ล้างมือ เลี่ยงการใกล้ชิด สัมผัสสัตว์ต่าง ๆ โดยที่ไม่มีการป้องกัน ทานอาหารสุก สะอาด ใช้ช้อนกลาง ไม่ทานอาหารที่ทำจากสัตว์หายาก ควรดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ หลังจากกลับจากต่างประเทศภายใน 14 วัน หากมีอาการป่วยควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว และแจ้งรายละเอียดว่าเราเคยไปต่างประเทศมาแม้ว่าประเทศนั้นจะไม่มีการติดเชื้อก็ตาม สำหรับบุคลากรทางการแพทย์หรือผู้ที่ต้องดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด 19 โดยตรง ควรใส่หน้ากากอนามัย หรือใส่แว่นตานิรภัย เพื่อป้องกันเชื้อในละอองฝอยจากเสมหะหรือสารคัดหลั่งเข้าตา อัพเดท…ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกเกี่ยวกับวิธีการล้างมือ เพื่อปกป้องตัวเองจากการติดเชื้อโรค มีรายละเอียดดังนี้ : เปิดน้ำใส่มือให้เปียกโดยควรใช้สบู่ที่มากพอต่อการล้างหนึ่งครั้ง ใช้ฝ่ามือถูกันและใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งถูหลังมืออีกข้างโดยให้นิ้วมือสอดประสานกัน สอดประสานนิ้วมือทั้ง 2 ข้างแล้วถูไปมาและกำมือทั้ง 2 ข้างแล้วใช้บริเวณหลังนิ้วมือถูกันไปมา ใช้มือกำรอบนิ้วหัวแม่มืออีกข้างแล้วหมุนไปมาสลับข้างกัน ถูปลายนิ้วลงบนฝ่ามืออีกข้าง จากนั้นล้างมือด้วยน้ำและใช้กระดาษซับให้แห้งเพียงเท่านี้ มือของคุณก็จะปลอดจากเชื้อโรค วิธีป้องกัน ‘ไวรัสโควิด-19’ หากต้องเดินทางด้วยไปต่างประเทศด้วยเครื่องบิน อัพเดท…ทางสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท. หรือ CAAT) ได้คำแนะนำประชาชนที่หากมรเหตุจำเป็นต้องไปต่างประเทศด้วยเครื่องบินในช่วงนี้ โดยทาง กพท. ได้อธิบายและแนะนำวิธีป้องกันตัวเองจากการแพร่ระบาดของเชื้อ ไวรัสโควิด-19 โดยผู้โดยสารควรจำเป็นต้องป้องกันตัวเองในลักษณะเดียวกับการอยู่ในพื้นที่แออัด ดังนี้ หากถ้าโดนท่านโดนไอจามใส่บริเวณหน้า มือแขน ต้องรีบล้างทันทีเพื่อลดความเสี่ยง ระมัดระวังการสัมผัสโดนสารคัดหลั่งจากระบบทางเดินหายใจ เช่น น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ โดยเฉพาะห้องน้ำบนเครื่องบน จุดที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือ บริเวณช่องทางเสี่ยงติดเชื้อ คือ อวัยวะบนใบหน้า เช่น ตา จมูก ปาก หากท่านพบคนไอจาม ควรแบ่งปันหน้ากากอนามัยให้ (ถ้ามี) เพื่อลดโอกาสในการแพร่เชื้อ นอกจากนี้ ทาง กพท. ได้แนะนำวิธีการสวมหน้ากากอนามัยถูกต้อง ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย โดยหันด้านที่มีสีออกข้างนอก(บ้างแบบสีเขียว บางแบบสีน้ำเงิน) โดยสวมให้กระชับครอบคลุมทั้งจมูกและปาก ในเวลาใส่หรือถอดให้จับบริเวณสายคล้องเพื่อป้องกันโรคติดที่มือและไม่ควรไปจับหน้ากากบ่อยๆเพราะมือท่านอาจจะติดเชื้อและเชื้ออาจจะไปติดที่หน้ากากได้เพราะมือเป็นอวัยวะที่มีความเสี่ยงในการนำพาเชื้อเพราะสัมผัสกับสิ่งต่างๆ ควรล้างมือบ่อยๆ โดยใช้สบู่ หรือแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ โดยดูได้จากวิธีล้างมือ คําแนะนําเพิ่มเติม ในช่วงเวลานี้ควรงดเข้าร่วมกิจกรรมทุกชนิด หรือลางานและไปพบแพทย์หากตนเองมีอาการป่วนของโรคระบบทางเดินหายใจทันที ก่อนไปทำงานหรือร่วมกิจกรรมนอกบ้านทุกชนิด ควรจัดเตรียมหน้ากากอนามัยพร้อมกับแอลกอฮอล์แบบเจลให้ เพียงพอสำหรับตัวเองนอกจากนี้ควรล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล ควรการสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ออกจากบ้าน หากพบว่าตนเองมีอาการป่วยตามเกณฑ์ ควรรีบติดต่อขอเข้ารับการตรวจรักษาตามขั้นตอน โรงพยาบาลที่รับตรวจCovid-19 และหากอาการป่วยเกี่ยวกับโรคในระบบทางเดินหายใจควรงดเข้าร่วมกิจกรรมและลางานทันที หากสังเกตเห็นเพื่อนร่วมงานและคนรอบข้างมีอาการไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก ผิดปกติ ควรแนะนำให้ผู้มีอาการรับการตรวจตามขั้นตอน หรือไป โรงพยาบาลที่รับตรวจCovid-19 ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้มีอาการป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีอาการโรคในระบบทางเดิน หายใจที่ไม่ป้องกันตนเอง หรือกลุ่มที่พึงกลับมาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หากท่านไหนที่เพิ่งกลับจากกลุ่มประเทศเสี่ยงติดเชื้อสามารถปฏิบัติตามแนวทางนี้ได้ : วิธีปฏิบัติหากเพิ่งกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ไวรัสโควิด-19 ระบาด ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.moneyguru.co.th/travel-insurance/articles/โควิด-19/