ารา แม่จันทร์นารี แม่ศรีสุชาดา มาเถิดแม่มา มาเถิดนะแม่มา ขวัญเอย ขวัญเอย”
– ประเพณีการทำขวัญข้าว
การทำขวัญข้าวในจังหวัดระยองนั้น จัดทำกันในหมู่ของชาวนาทั่วไป เพื่อขออภัยและเรียกขวัญแม่โพสพ เป็นสิริมงคลดลบันดาลให้มั่งมียิ่งขึ้น ปกติจะทำกันในวันศุกร์เพราะถือว่าเป็นวันขวัญข้าวการ ทำพิธี ต้องทำบายศรี ส่วนมากใช้บายศรีปากชาม มีไข่ต้มปักยอดบายศรีพร้อมเครื่องบูชา คือ ดอกไม้ธูปเทียนเหมือนกับการทำขวัญอื่นๆ ทำขนมต้มขาว ต้มแดงหรือขนมอื่น ๆ ส่วนมากชาวบ้านมักทำกันเอง เช่น แกงบวดมันเผือก แกงบวดฝักทอง มีขันน้ำพระพุทธมนต์ จัดปูเสื่อบนข้าวในยุ้งฉาง วางสิ่งของที่เตรียมไว้เหล่านี้ ธงข้าวตักที่เก็บมาปักไว้ข้างหน้าใกล้ๆ สำรับขนมนั้น ส่วนกระทงเล็กปักธูปนำไปวางไว้ ทั้ง ๔ ทิศ ของยุ้งข้าว หมอขวัญกล่าวชุมนุมเทวดา ทำน้ำมนต์โดยกล่าวทำขวัญเป็นทำนองแหล่ใจความขั้นตอนในการทำนา ตั้งแต่ต้นจนเสร็จเข้ายุ้งฉาง และระลึกถึงคุณของข้าว และแม่โพสพ คำกล่าวคำขวัญจะมี ๓ ตอน เมื่อหมอขวัญกล่าวจบแต่ละตอน ลูกหลานซึ่งคอยเฝ้าอยู่หน้ายุ้งฉางก็โห่รับ ๓ ครั้ง เมื่อเสร็จพิธีแล้วนำน้ำพระพุทธมนต์ประพรมข้าวในยุ้ง รอบ ๆยุ้ง และนำประพรม วัว ควาย ตลอดจนเครื่องมือทำนาใน วันเจริญพระพุทธมนต์เย็นนั้น ชาวบ้านจะนิยมทำข้าวหลาม ( เผาข้าวหลาม ) เพราะข้าวหลามนั้นเป็นข้าวใหม่ แต่ละบ้านจะเผากันเป็นหาบ เพราะถือว่าทำแจกจ่ายพี่น้องลูกหลานด้วยและก็นำไปทำบุญลานด้วย ทำบุญแต่ละครั้งจะได้ข้าวหลามไปเลี้ยงพระเณรและศิษย์วัดเป็นหาบ ๆ ในวันสวดมนต์เย็นนี้ บางแห่งก็จะมีการเล่นท้องถิ่น เช่น รำโทน หรือรำวง ลิเก ภาพยนต์บ้างก็มีบางแห่งก็มีจุดพลุตะไล ไฟพะเนียง เป็นการ สนุกสนานหลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการทำนามาแล้ว นอกจากการเผาข้าวหลามแล้ว ยังทำบุญด้วยข้าวเปลือก บางทีก็เรียกว่า รวมกันก่อเจดีย์ข้าวเปลือกนำถวายวัด ทั้งนี้ถือกันว่าเป็นการระลึกถึงและบูชาพระคุณแม่โพสพ พิธีตอนเช้าชาวบ้านก็จะนำสำรับกับข้าว พร้อมข้าวหลาม ข้าวเปลือกถวายพระเมื่อพระฉันเสร็จ เรียบร้อย ก็มีการรับพรกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลถึงผู้มีพระคุณ และญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว ตลอดทั้งพระคุณแม่โพสพ และสรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นอันเสร็จพิธี
การทำบุญกลางทุ่งเพื่อขอฝน
ประเพณีจากบรรพบุรุษสืบทอดมา ถือกันว่าถ้าปี ใดฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล พื้นดินไร่นาแห้งแล้ง ประกอบอาชีพทางเกษตรไม่ได้ เพราะเทวดาฟ้าดินไม่บันดาลให้ฝนตก ชาวบ้านเกิดความเดือดร้อน ก็ตกลงกันจะทำบุญเพื่อฝนจะได้ตกให้ทำนาทำสวนได้พืชผักจะได้ผล เมื่อในหมู่บ้านปรึกษาหารือตกลงกันแล้วก็จะพิจารณาสถานที่ที่เห็นว่าเหมาะสม ชาวบ้านไปมาสะดวก และเป็นศูนย์กลางของชุมชน และนิยมชายทุ่ง ชายคลอง และมีที่อาศัยร่มได้บ้างเมื่อเลือกสถานที่ได้เหมาะสมแล้ว จะทำพิธีเล็กน้อยคือ เอาดินเหนียวมาปั้นเป็นรูปปลาช่อน ๒ ตัว แล้วเอาวางไว้ในบ่อน้ำ หรือแอ่งน้ำตื้นที่ขุดขึ้นใกล้ ๆ ที่นั้น ปลูกศาลเพียงตาและมีปักฉัตรด้วย แต่บางแห่งก็ตัดพิธีนี้ออกไป จัดเหมือนทำบุญธรรมดา นิมนต์พระสวดมนต์เย็นต้องมีบทขอฝน อย่างที่ชาวบ้านเรียกว่า “ คาถาปลาช่อน ” ขึ้นต้นเป็นภาษาบาลีว่า “ สุภูโต มหาเถโร มหากาโย ทีฆะวณโณ ” ….. ฯลฯ รุ่งเช้าชาวบ้านนำสำรับกับข้าวมาถวายพระ เมื่อพระฉันเสร็จก็จะให้พร ( ยถาสัพพี ) และจะสวดมนต์ถาคาขอฝนอีกประเพณีที่เกี่ยวกับการขอฝนอีกอย่างหนึ่งคือ การแห่นางแมว บางทีชาวบ้านก็จัดแห่นางแมวในโอกาสนี้ และข้าวของเผือกมัน ข้าวสาร มะพร้าว ที่ชาวบ้านให้มาก็ถือโอกาสทำบุญทอดผ้าป่าด้วย
– ประเพณีลอยกระทง
ประเพณีลอยกระทงเป็นประเพณีของไทยที่ปฏิบัติสืบเนื่องกันมาเป็นเวลาช้านาน ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ซึ่งจะได้ยินชื่อนางนพมาศ หรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ผู้จัดกระทงถวาย ณ กาลครั้งนั้น และก็ได้ยึดถือกระทำมาจนถึงปัจจุบัน แต่ก็มีความแตกต่างออกไปบ้างตามความเชื่อถือของแต่ละท้องถิ่นการจัดกิจกรรมหรือประเพณีลอยกระทงนี้ จัดทุกภาคของประเทศไทย แต่มีความแตกต่างกันออกไปบ้าง ตามความเชื่อถือของแต่ละภาคหรือแต่ละท้องถิ่นนั้น ๆ
งานลอยกระทงนิยมจัดทำในเวลากลางคืนเดือนสิบสอง คือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ในกรุงเทพ ฯ ภาคกลาง และทางภาคใต้ จะปฏิบัติเช่นเดียวกัน นอกจากว่าจะจัดงานกันใหญ่โตเพียงใดหรือไม่
งานลอยกระทงภาคเหนือ จะเรียกประเพณีลอยกระทงว่า “ ยี่เป็ง ” แปลเป็นไทยก็คือ วันเพ็ญเดือนยี่ หรือวันเพ็ญเดือนสิบสอง ที่ชาวภาคเหนือเรียกเช่นนี้ เพราะเขานับทางจันทรคติเร็วกว่าทางภาคกลาง ๒ เดือน วันเพ็ญเดือนสิบสองของภาคเหนือ จึงกลายเป็นวัด “ ยี่เป็ง “ ซึ่งก็เป็นงานลอยกระทงเช่นกัน
ภาคอีสาน ก็มีการลอยกระทงเหมือนกัน แต่มักจะลอยในวันเพ็ญเดือน ๑๑ ก่อน งานออกพรรษา๑ วัน ในวันนี้ จะจัดงานใหญ่กว่าวันเพ็ญเดือน ๑๒ ซึ่งเป็นการลอยกระทงกันอีกครั้งหนึ่ง งานก่อนวันออกพรรษาที่ว่านั้น จะจัดแข่งเรือการถวายประสาทผึ้งบูชาพระธาตุ กลางคืนมีงานลอยกระทงหรือที่เรียกว่า “ พิธีปล่อยเรือไฟ “
จุดประสงค์ของการลอยกระทง มีความเชื่อทั้งด้านศาสนาพราหมณ์และความเชื่อทางศาสนาพุทธ
ทางด้านศาสนาพราหมณ์ เชื่อว่าการลอยกระทงเป็นการบูชาพระแม่คงคา ซึ่งเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของอินเดีย ซึ่งชาวอินเดียถือว่าใครได้อาบน้ำชำระร่างกายแล้ว เท่ากับเป็นการชำระบาปหรืออีกนัยหนึ่งก็ว่า ลอยกระทงเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้าของศาสนาพราหมณ์คือ พระนารายณ์ที่บรรทมสินธุ์อยู่ท่ามกลางมหาสมุทร
ด้านศาสนาพุทธ มีความเชื่อกันหลายอย่างเช่น จัดพิธีเพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้า เมื่อวันเสด็จจากเทวโลก ภายหลังทรงเทศนาโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หรือไม่ก็เพื่อบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ ตามตำนานที่กล่าวว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จออกมหาภิเนากรรม ได้ตัดพระเกศาโยนขึ้นลอยสู่บนสวรรค์ และพระอินทร์ได้เสด็จมารับใส่ผอบบรรจุไว้ในจุฬามณีเจดีย์ ซึ่งเทวดาตลอดจนพระศรีอาริยเมตตรัยโพธิสัตย์เคยเสด็จมาไหว้ การลอยกระทงบูชาจึงเป็นการจงใจไหว้พระศรีอาริย์ไปด้วย
บาง แห่งบางท่านก็เชื่อว่า การลอยกระทงเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ทรงประทับไว้ ณ หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำนัมทานที เมื่อครั้งพระพุทธองค์เสด็จไปแสดงธรรมในนาคพิภพ และพญานาคได้ทูลขอให้พระองค์ไว้เพื่อเป็นอนุสาวรีย์ไว้กราบไหว้บูชา
แต่ความคิดทั่วๆ ไปในปัจจุบันนี้ บ้างก็มีความคิดว่า การลอยกระทงเพื่อเป็นการอธิษฐานหรือเสี่ยงโชค หรือไม่ก็เพื่อสารภาพผิดเพื่อเป็นการล้างบาปกรรมที่ได้กระทำมาไม่ดี ไม่งามในรอบปี ให้หายไปหรือล่องลอยไปตามกระแสน้ำ บ้างก็ลอยกระทงเพื่อบูชาหรือขอบคุณพระแม่คงคาหรือแม่น้ำมหาสมุทร ที่ให้คุณประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งรวมทั้งมนุษย์ด้วย
การลอยกระทงมีคำกล่าวบูชา ซึ่งหมายถึงบูชารอยพระพุทธบาทที่หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำว่าดังนี้
“ อหํ อิมานิ ปทิเปน อัสกาย นมมทาย นทิยา ปุลิเน ฐิตํมโนนิ ปาหวลญชํ อภิปูเชมิ อยํ ปทิเปน มุนิโน ปาทวลญชํ ปูชา มยหํ ฑีฆรตตํ หิตาย สุขาย สัวตตตุ “ มีคำแปลว่า “ ข้าพเจ้าขอน้อมบูชารอยพระพุทธบาทของสมเด็จพระมหามนีเจ้า อันประดิษฐานอยู่ ณ หาดทราบแห่งแม่น้ำนัมทาโพ้น ด้วยประทีปนี้ ขอให้การบูชารอยพระบาทสมเด็จพระมหามุนีเจ้า ด้วยประทีปนี้จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ข้าพเจ้าสิ้นกาลนานเทอญ”
สำหรับจังหวัดระยอง ประเพณีลอยกระทงถือเป็นประเพณีที่สำคัญอย่างหนึ่งทุกท้องที่จะระลึกถึงวัน สำคัญนี้ แต่จะจัดเป็นงานใหญ่โตแค่ไหนเพียงใดนั้น แล้วแต่ความพร้อมของท้องถิ่น วันลอยกระทงก็ถือวันเพ็ญเดือนสิบสอง ดังเนื้อเพลงที่ร้องกันอยู่ทั่วไป ประเพณีลอยกระทงซึ่งจัดเป็นงานใหญ่ และมีกิจกรรมอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น แข่งขันกีฬา จัดประกวดเทพี จัดแข่งเรือ ก็มีปฏิบัติกัน เช่น ที่ตำบลพลาปากน้ำระยอง วัดชากลูกหญ้า วัดห้วยยาง ฯลฯ
– ประเพณีแห่เทียนพรรษา เนื่องจากพระพุทธองค์ทรงบัญญัติให้ ภิกษุอยู่จำพรรษาตลอด ๓ เดือน โดยเริ่มตั้งแต่ เดือน ๘ แรม ๑ ค่ำ ถึงเดือน ๑๑ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ดังนั้นเมื่อถึงวันเข้าพรรษาหรือใกล้วันเข้าพรรษาพุทธนิกชนที่เคารพนับถือ ภิกษุ วัดใดก็ไปทำบุญถวายของ ถวายเครื่องสักการะอื่นๆ เช่น น้ำตาล สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน หรือรับเวรถวายอาหารในพรรษา แต่พิธีที่สนุกสนานเอิกเกริกก็คือการถวายเทียนพรรษาก่อน เข้าพรรษาส่วนใหญ่แล้ว จังหวัดจะรวบรวมน้ำใจจากผู้ใจบุญที่มีจุดประสงค์จะสร้างเทียนพรรษาให้แก่วัด ต่างๆ แล้วทำพิธีหล่อเทียนแต่งเทียนประดับประดาตกแต่งให้สวยงามแล้วแต่ใครจะ ประดิษฐ์หรือตกแต่งอย่างใดไปให้แก่วัดไหน ก็แล้วแต่จุดประสงค์และแรงศรัทธาของท่านมีการทำบุญฉลองเทียน เจ้าของเทียนแต่ละเล่มจัดขบวนแห่และทางวัดก็อาจจัดขบวนมารับเป็นรื่นสนุก สนานในงานบุญ เพราะเทียนพรรษานั้นเป็นเทียนเล่มใหญ่ ซึ่งจะนำไปตั้งไว้ในพระอุโบสถ เพื่อจุดบูชาพระรัตนตรัยตลอดพรรษาบางแห่งก็จัดงานกันเอง และจัดขบวนแห่แหนไปถวายวัดตามที่ต้องการ บางแห่งก็รวมจัดที่วัดโดยแรงศรัทธาของประชาชนในหมู่บ้าน มีการเล่นสมโภช มีขบวนกลองยาวนำแห่เป็นที่สนุกสนาน แต่ถ้าทำที่วัดการตกแต่งรถแห่ประกวดสาวงามสดสวยนั้น อาจขาดหายไปเพราะมิได้เคลื่อนขบวนไปไหนเพียงแต่แห่รอบพระอุโบสถเท่านั้น
– ประเพณีวันสารท
คำว่า “ สารท “ เป็นชื่อฤดูใบไม้ผลิ เรานิยมทำบุญวันสารท สืบทอดกันมาแต่โบราณ เป็นการทำบุญกลางปี กำหนดวันสิ้นเดือน ๑๐ เมื่อถึงกำหนดวันนี้ ชาวพุทธตระเตรียมเครื่องกระยาสารทไปทำบุญที่วัดตามที่ตนต้องการจะทำบุญ ตักบาตร เลี้ยงพระ ดังเช่น คำกลอนในนิราศเดือนต่อไปนี้
“ ถึงเดือนสิบเห็นกันเมื่อวันสารท
ใส่อังคาสโภชนากระยาหาร
กระยาหารทกล้วยไข่ใส่โตกพาน
พวกชาวบ้านถ้วนหน้ามาธารณะ
เจ้างามคมห่มสีชุลีนบ
แล้วจับจบทัพพีน้อมศรีษะ
หยิบข้าวของกระยาสารทใส่บาตรพระ
ธารณะเสร็จสรรพกลับมาเรือน “
พิธีสารทนี้เนื่องมาจากคติของพราหมณ์ ได้สอบถามผู้รู้หลายท่านก็ได้รับคำตอบเป็นแนวเดียวกันว่า เดือน ๑๐ เป็นฤดูที่ข้าวสาลีในท้องนากำลังออกรวงอ่อน ชาวบ้านชาวเมืองก็มักจะเด็ดรวงข้าวหรือเก็บเกี่ยวในครั้งแรก เอามาทำมธุปายาสยาคูเลี้ยงพราหมณ์เพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่ข้าวในนา ชาวพุทธจึงนับถือเป็นนักขัตฤกษ์ บางแห่งจัดงานใหญ่เพื่ออุทิศบุญกุศลให้แก่บุพพเปตชน คือผู้ที่ล่วงลับไปก่อนแล้ว
ของไทยเราการทำบุญในพิธีต้องตระเตรียมโภชนากระยาหาร จัดทำข้าวกระยาสารท โดยใช้ข้าวตอก ข้าวเม่า ถั่วงา น้ำตาล บางทีก็มีกล้วย เนื้อในลูกกระบก กวนให้เข้ากัน ซึ่งใคร ๆ ได้ทำกันได้ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นสาวพรหมจารี เหมือนกับพิธีกวนข้าวทิพย์ ซึ่งชาวจังหวัดระยองโดยทั่วไปทุกๆ หมู่บ้านทำกันได้เอง แต่ทว่าจะให้ดีมีชื่อก็เหมือนทำขนม ดึงดูดลูกค้ามากน้อยแตกต่างกัน ผู้กวนกระยาสารทต้องเป็นคนมีฝีมือ จึงจะเหนียวกรอบ น่ารับประทาน ปัจจุบันจะเห็นทำเป็นแผ่นก็มี ครั้นถึงวันแรกเดือน ๑๐ แรม ๑๕ ค่ำ ไปทำบุญตักบาตร ร่วมเลี้ยงพระ บางแห่งก็มีพระธรรมเทศนาด้วยการทำบุญวันสารทนี้ บางแห่งบางท้องที่ก็ดัดแปลงให้เข้ากับคติทางพระพุทธศาสนา ซึ่งถือกันว่าการทำบุญนี้มีเพียงปีละครั้ง ได้ผลานิสงส์มาก และเพื่อเป็นการเตือนใจตนเองว่า เวลาได้ล่วงมาครึ่งปีแล้ว บังเกิดผลเพียงใด ข้างหน้าจะเป็นอย่างชีวิตเราใกล้จะจบสิ้นลงทุกขณะแล้ว ทำให้เกิดความคิด ระลึกถึงความตาย อันเป็นธรรมดาของเราทั้งหลาย เตือนใจไม่ให้ประมาณและรีบบำเพ็ญกุศลไว้เป็นเสบียงแก่ตนในปรภพ และเมื่อทำบุญแล้วแต่ละครั้งก็กรวดน้ำอุทิศแผ่ผลบุญให้แก่ญาติและผู้ที่มี พระคุณที่ล่วงลับไป แล้วด้วย
– ประเพณีเทศมหาชาติ
การเทศน์มหาชาติ ก็คือ การเทศน์เรื่อมหาเวสสันดรชาดก เป็นการที่สิบในเทศชาติ ประเพณีไทยเรานิยมจัดให้พระเทศน์เป็นประจำปี ส่วนมากจัดในเดือนสิบเอ็ด เดือนสิบสอง มีเทศน์ทั้งหมด ๑๓ กัณฑ์ มีคาถาทั้งหมด ๑,๐๐๐ คาถา ซึ่งเรียกกันว่า “ คาถาพัน “ เรื่องราวมีในหนังสือ
การเทศน์มหาชาติ ก็คือ การเทศน์เรื่อมหาเวสสันดรชาดก เป็นการที่สิบในเทศชาติ ประเพณีไทยเรานิยมจัดให้พระเทศน์เป็นประจำปี ส่วนมากจัดในเดือนสิบเอ็ด เดือนสิบสอง มีเทศน์ทั้งหมด ๑๓ กัณฑ์ มีคาถาทั้งหมด ๑,๐๐๐ คาถา ซึ่งเรียกกันว่า “ คาถาพัน “ เรื่องราวมีในหนังสือเรียน ถ้าดูเรื่องทั้งหมดโดยสรุป ศึกษาจากมหาเวสสันดรชาดกคำกลอน ( ฉบับแรกที่พบประพันธ์โดยอำนาจ มณีแสง ) ก็พอจะเข้าใจได้ง่ายเพราะไม่ยากในการอ่าน
งานเทศน์มหาชาติ ส่วนมากจะจัดในศาลาโรงธรรม ศาลาการเปรียญ หอประชุมที่มีสถานที่กว้างขวางพอควร จัดตกแต่งเป็นธรรมชาติป่า มีเชือกแขวน ฉากประจำกัณฑ์ ( ภาพวาดที่สำคัญประจำกัณฑ์แต่ละกัณฑ์ ) ทั้ง ๑๓ กัณฑ์ แขวนกล้วย แขวนผลไม้ป่าไว้ด้วยก็มี ทำซุ้มประตูทางเข้าธรรมมาสน์ ตกแต่งไปด้วยต้นกล้วย ต้นอ้อย หมู่บ้านใดวัดใดมีพระเทศน์เก่งๆ มาก ก็อาจจัด ๒ หรือ ๓ ธรรมาสน์ก็ได้ ก่อนเทศน์ และตอนจบแต่ละกัณฑ์ จะมีพิณพาทย์ทำเพลง เครื่องไทยทานผลไม้ต่าง ๆ กล้วย , มะพร้าว , ส้มโอ , เผือก , มัน , ข้าวสาร ก็ขนหามไปไว้ในโรงครัว ในตอนที่พิณพาทย์ทำเพลงให้ฟังนั่นแหละ
งานเทศน์มหาชาติ ส่วนมากจะจัดในศาลาโรงธรรม ศาลาการเปรียญ หอประชุมที่มีสถานที่กว้างขวางพอควร จัดตกแต่งเป็นธรรมชาติป่า มีเชือกแขวน ฉากประจำกัณฑ์ ( ภาพวาดที่สำคัญประจำกัณฑ์แต่ละกัณฑ์ ) ทั้ง ๑๓ กัณฑ์ แขวนกล้วย แขวนผลไม้ป่าไว้ด้วยก็มี ทำซุ้มประตูทางเข้าธรรมมาสน์ ตกแต่งไปด้วยต้นกล้วย ต้นอ้อย หมู่บ้านใดวัดใดมีพระเทศน์เก่งๆ มาก ก็อาจจัด ๒ หรือ ๓ ธรรมาสน์ก็ได้ ก่อนเทศน์ และตอนจบแต่ละกัณฑ์ จะมีพิณพาทย์ทำเพลง เครื่องไทยทานผลไม้ต่าง ๆ กล้วย , มะพร้าว , ส้มโอ , เผือก , มัน , ข้าวสาร ก็ขนหามไปไว้ในโรงครัว ในตอนที่พิณพาทย์ทำเพลงให้ฟังนั่นแหละ
การจัดเทศน์ จะจัดเรียงไปตามลำดับกัณฑ์ เว้นแต่บางแห่งจะเลือกจัดเฉพาะบางกัณฑ์ ตามเหมาะสม กัณฑ์หนึ่งจบ กัณฑ์ใหม่ก็แห่เข้ามา พุ่มเงินนำหน้าตามด้วยเครื่องไทยทานอื่น ๆ เจ้าหน้าที่หรือเจ้าพิธีก็จะดำเนินการบูชา และนำถวายของประจำกัณฑ์
อีกอย่างหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ “ ขันน้ำพร ” เจ้าของกัณฑ์ จะเตรียมเทียนมาจุดบูชาเท่าจำนวนคาถา พระเทศน์ไป หนุ่ม สาว เฒ่า แก่ เด็ก ก็หยอดเทียนกันไป ก็ดูดี เพลงพิณพาทย์ประจำกันฑ์เทศน์
๑. กัณฑ์ทศพร |
ใช้เพลง |
สาธุการ |
|
๒ . กัณฑ์ทานกัณฑ์ |
ใช้เพลง |
ตวงพระธาตุ |
|
๓. กัณฑ์ทานกัณฑ์ |
ใช้เพลง |
พญาโศก |
|
๔ . กัณฑ์วนปเวสน์ |
ใช้เพลง |
พญาเดิน |
|
๕ . กัณฑ์ชูชก |
ใช้เพลง |
เซ่นเหล้า |
|
๖ . กัณฑ์จุลพล |
ใช้เพลง |
คุกพาทย์ |
|
๗ . กัณฑ์มหาพล |
ใช้เพลง |
เชิดกลอง |
|
๘ . กัณฑ์กุมาร |
ใช้เพลง |
โอดและเชิดฉิ่ง |
|
๙ . กัณฑ์มัทรี |
ใช้เพลง |
ทยอยโอด |
|
๑๐ . กัณฑ์สักบรรพ |
ใช้เพลง |
กลม |
|
๑๑. กัณฑ์มหาราช |
ใช้เพลง |
กราวนอก |
|
๑๒ . กัณฑ์ฉกษรัติย |
ใช้เพลง |
ตระนอน |
|
๑๓ . กัณฑ์นครกัณฑ์ |
ใช้เพลง |
กลองโยน |
|
– ประเพณีวิ่งควายที่ปลวกแดง
ประวัติความเป็นมา ประเพณีการวิ่งควายนี้ ท้องที่อำเภอปลวกแดง บางตำบลในปัจจุบันเดิมที่เดียวอยู่ในเขตชองจังหวัดชลบุรี ฉะนั้นชาวบ้านแถบตำบลปลวกแดง ตำบลตาสิทธิ์ของอำเภอปลวกแดงในปัจจุบัน ยังถือว่าประเพณีการวิ่งควายยังเป็นของเขาเช่นเดียวกั้น เมื่อเขายังอยู่ในเขตชลบุรี จุดมุ่งหมาย เพื่อให้ควายได้พักผ่อนจากงานในไร่หรือนา และเพื่อสนองความเชื่อที่ว่า หากปีใดไม่มีการวิ่งควาย ปีนั้นวัวควายจะเป็นโรคระบาดตายกันมาก เพื่อแสดงความรู้คุณต่อควายซึ่งเป็นสัตว์ที่จำเป็นในการประกอบอาชีพทำไร่ทำ นาและเพื่อให้ชาวบ้านมาพบปะสังสรรค์กัน ส่วนใหญ่จัดกันที่ตลาดปลวกแดง และตลาดโรงงานบริษัทน้ำตาลตะวันออก ซึ่งอยู่ในท้องที่ ตำบลปลวกแดง หมู่ที่ ๑ และตำบลตาสิทธิ์ หมู่ที่ ๒ ประเพณี จัดขึ้นทุกปี เป็นประจำ ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ หลังจากตักบาตรเทโวโรหนะแล้ว ประเพณีการวิ่งควายของอำเภอปลวกแดง เดิมมีแต่คนในท้องถิ่นรู้จักเท่านั้น แต่ในปัจจุบันประเพณีการวิ่งควายเป็นประเพณีของอำเภอปลวกแดง และเป็นประเพณีที่รู้จักของคนทั่วไปแล้ว โดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง (นายฉลอง วงษา) ได้ไปเป็นประธานการวิ่งควายพร้อมด้วยนายอำเภออิสสระ สุดแสวง ตั้งแต่ปี ๒๕๒๙ เป็นต้นมา
ขั้นตอนในการประกอบประเพณี เจ้าของควายจะตกแต่งควายอย่างงดงามด้วยผ้าผ่อนแพรพรรณดอกไม้หลายหลากสี ตัวเจ้าขอควายเองก็แต่งตัวอย่างงดงาม แปลกตา เช่น แต่งเป็นชาวเขา ชาวอินเดียนแดง หรือตกแต่งด้วยเครื่องทองประดับเพชรเหมือนเจ้าชายในลิเกละครที่แปลกตา แล้วนำควายมาวิ่งแข่งขันกัน ประกวดความสมบูรณ์ของควายกัน โดยเจ้าของเป็นผู้ขี่มาบนหลังควาย ความสนุกสนานอยู่ที่ท่าทางวิ่งควายที่แปลก บางคนขี่แล้วลื่นไหลตกจากหลังควย คนดูจะส่งเสียงเชียร์อย่างสนุกสนาน เสียงดัง และในปัจจุบันยังเพิ่มรางวัลการตกแต่งความสวยงามและตลกขบขัน และมีการประกวดธิดาควาย หรือเรียกให้สุภาพหน่อยก็เรียกว่าธิดาบ้านไร่บ้านนา จนทำให้ประเพณีการวิ่งควายมีกิจกรรมเพิ่มมากขึ้น
– ประเพณีทอดกฐิน
นายอำนาจ มณีแสง ( ประเพณีวัฒนธรรมจังหวัดระยอง ) ได้กล่าวว่า กฐิน เป็น ประเพณีเก่าแก่สืบทอดกันมาช้านาน และยังมีอยู่และปฏิบัติกันทั่วไปในจังหวัดระยองโดยกฐิน มีความหมายเกี่ยวข้องกันถึง ๔ ประการ คือ
ตำนาน ครั้งพุทธกาลมีเรื่องเล่าไว้ใน คัมภีร์พระวินัยปิฏกกฐินขันธกะว่า ครั้งหนึ่งภิกษุชาวเมืองปาฐา ประมาณ ๓๐ รูป ถือธุดงวัตรอย่างยิ่ง มีความประสงค์จะเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งขณะนั้นประทับอยู่กรุงสาวัตถี แคว้นโกศล จึงพากันเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองนั้น พอถึงเมืองสาเกตุ อยู่ห่างจากกรุงสาวัตถีประมาณ ๖ โยชน์ ก็เป็นวันเข้าพรรษาพอดีทางต่อไปมิได้ต้องจำพรรษาอยู่ที่เมืองสาเกตตามพระ วินัยบัญญัติ ขณะที่จำพรรษาอยู่ ณ เมืองสาเกต เกิดความร้อนรนอยากเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นกำลัง พอออกพรรษาปวารณาแล้วก็รีบเดินทาง แต่ระยะนั้นยังมีฝนตกมาก หนทางที่เดินชุ่มไปด้วยน้ำเป็นโคลนเป็นตม ต้องเดินบุกต้องลุยมาจนกระทั่งถึงกรุงสาวัตถ์ ได้เข้าเฝ้าสมความประสงค์ พระพุทธเจ้าจึงมีปฏิสันถารกับภิกษุเหล่านั้น จึงกราบทูลถึงความตั้งใจความร้อนรนกระวนกระวาย และการเดินทางที่ลำบากให้ทรงกราบทุกประการ
พระพุทธเจ้าทรงกราบ และเห็นความลำบากของภิกษุ จึงทรงยกเป็นเหตุ และมีพระพุทธานุญาติ ให้พระภิกษุผู้จำพรรษาครบถ้วนแล้วกราบกฐินได้และเมื่อกรานกฐินแล้ว จะได้รับอานิสงส์บางข้อตามพระวินัยดังกล่าวต่อไป
ข้อกำหนดเกี่ยวกับกฐิน
๑ . จำนวนพระสงฆ์ในวัดที่จะทอดกฐินได้ หมายถึงจำนวนพระสงฆ์ในวัดที่จะทอดกฐินได้ต้องมีตั้งแต่ ๔ รูปขึ้น
๒ . คุณสมบัติของพระสงฆ์ ที่มีสิทธิรับกฐิน คือ พระสงฆ์ที่จำพรรษาในวัดนั้นครบ ๓ เดือน
๓ . กำหนดกาลที่จะทอดกฐินได้ การทอดกฐินนั้นทำได้ภายในเวลาจำกัด คือ ตั้งแต่ วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ จนถึง วันขึ้น๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ก่อนหน้านั้น
๔ . ข้อควรทราบเกี่ยวกับกฐินไม่เป็นอันทอดหรือเป็นโมฆะ กราบทั้งผู้ทอดและทั้งฝ่ายพระสงฆ์ผู้รับ
ประเภทของกฐิน
การทอดมีหลักฐานที่ปรากฏนับตั้งแต่กรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ปัจจุบันแยกประเภทใหญ่ ๆ ได้ดังต่อไปนี้
๑ . กฐินหลวง วัดใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นวัดหลวงหรือวัดราษฎร์ หากพระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชทานเพื่อไปถวายผ้ากฐิน ถือเป็นกฐินหลวง
๒. กฐินต้น การบำเพ็ญพระราชกุศลส่วนพระองค์ มิได้เสด็จ
๓. กฐินพระราชทาน คือกฐินที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานผ้าของหลวงแก่ผู้ที่กราบบังคม ทูลขอพระราชเพื่อไปถวายวัดหลวง
๔ . ชื่อเรียกแตกต่างกัน ตามลักษณะของวิธีการทอดคือ
|
- กฐิน หรือมหากฐิน กฐินที่ทอดวัดใดวัดหนึ่งด้วยศรัทธาเฉพาะ |
|
|
- จุลกฐิน กฐินที่ทำด้วยความรับ |
|
|
- กฐินสามัคคี เจ้าภาพหลายคน |
|
|
- กฐินตกค้าง ทอดกฐินวันก่อนแรมค่ำหนึ่งของเดือน ๑๒ |
|
๕ . ข้อปฏิบัติในการทอดกฐิน
|
๕.๑ การจองกฐิน คือ การแจ้งล่วงหน้าให้ทางวัดและประชาชนได้ทราบว่าวัดนั้น ๆ มีผู้ศรัทธาจะทำผ้าป่ามาทอด กฐินพระราชทานและกฐินตกค้าง ไม่ต้องจองล้วงหน้า |
|
๕.๒ การทอดกฐิน จัดสถานที่พระสงฆ์พร้อมแล้วก่อนถวายกฐิน อาราธนาศีล รับศีล เมื่อรับศีลแล้ว หัวหน้ากฐินตั้ง นะโม ๓ จบ แล้วคำถวาย พระสงฆ์รับสาธุ |
๖ . อานิสงส์หรือผลดีของการทอดกฐิน
|
๖.๑ ผลดีฝ่ายผู้ทอดและคณะ |
|
๖.๒ ผลดีฝ่ายพระสงฆ์ผู้รับและกรานกฐิน |
– ประเพณีการสวดหน้าศพ
ในสมัยโบราณ เมื่อมีการตายเกิดขึ้นญาติที่น้องจะใช้ผ้าขาวตราสังศพให้แน่นแล้วใส่โลงหมอ ผีประจำหมู่บ้านจะใช้น้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ แล้วกล่าวให้ผู้ตายไปสู่สุคติ อย่างห่วงกังวลลูกหลานจากนั้นนำศพไปไว้บนเชิงตะกอนที่วัดให้สูงจากพื้นดิน เพื่อใส่ฟืนด้านล่าง แล้วยกโลงวางบนเชิงตะกอนการเผาจะเผาตอนกลางวันประมาณหลังเที่ยง เพื่อให้ศพไหม้ก่อนค่ำจะได้ไม่ถูกสัตว์ร้ายรบกวน ประเพณีงานศพในท้องถิ่น เมื่อมีการตายที่บ้านจะทำพิธีกรรมในบ้าน แต่ถ้าตายนอกบ้านมีความเชื่อว่าห้ามนำศพเข้ามาไว้ในชายคาบ้านโดยเด็ดขาด การกจัดพิธีกรรมในงานศพจะมีการสวดหน้าศพเป็นประเพณี “ การสวด ” หมายถึง การร้อง หรืออ่านเป็นทำนองเนื่องด้วยศาสนากิจ เช่น การสวดพระอภิธรรม สวดพระปาฎิโมกข์ สวดพระปริตร และสวดคฤหัสถ์ เป็นต้น
การสวดหน้าศพ หรือการสวดคฤหัสถ์ ของนักสวดที่เป็นฆราวาส จะเริ่มหลังจากพระสวดอภิธรรมจบแล้ว เจ้าภาพจะจัดนักสวดชายหญิงมาร่วมร้องเพลงสวดพระมาลัยเพราะเป็นเพลงสวดสั่ง สอนให้คลายความโศก ซึ่งการรำและมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้การสวดหน้าศพเป็นการอยู่เป็นเพื่อนบรรดา ญาติและผู้ที่มาเยี่ยมศพ ขจัดความว้าเหว่ของเจ้าภาพด้วย
การสวดหน้าศพ หรือคฤหัสถ์ตามประเพณีท้องถิ่นนั้น มีบทสวดที่เรียกว่า “ พื้น ” อยู่ ๔อย่างนักสวดจะสวดทั้ง ๔ พื้น คือ
๑ . พื้นพระอภิธรรม คือ บทสวดที่มีบทขึ้นต้นว่า กุสลา ธรรมา อกุสลา ธรรมา ตามพระอภิธรรมที่พระพุทธเจ้าเทศนา
๒ . พื้นโพชญงค์มอญหรือหับเผย ขึ้นต้นสวดว่า หับเผย
๓ . พื้นพระมาลัย นำเนื้อความมาจาก “ กาพย์มาลัยสูตร ที่เรียกว่าพระมาลัย ซึ่งเขียนเป็นคัมภีร์ลงในสมุดเล่มโต บรรจุอยู่ในหีบพระธรรม ในพระสูตรนั้น ได้เล่าเรื่อง พระมาลัยเถระชาวลังการับดอกบัว ๘ ดอก จากทุคคตะคนยากแล้วนำไปบูชาพระจุฬามณี พระเมาฬี ของพระพุทธองค์ที่ พระอินทร์รับไปบรรจุพระเจดีย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ “ การสวดพื้นมาลัย นักสวดจะทำเสียงให้น่ากลัวเพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาที่ต้องการให้ผู้ฟัง กลัว เพื่อจะได้ไม่ทำบาป
การสวดหน้าศพ หรือคฤหัสถ์เนื้อร้องจะสวดพระมาลัยในส่วนแรก ส่วนหลังจะเป็นเนื้อเรื่องทั่ว ๆ ไป ตัดตอนมาจากวรรณคดี เช่น อิเหนา ราชาธิราช ไกรทอง เมฆขลา พระภัยมณี เป็นต้น ไม่ซ้ำเรื่องเดิมดังตัวอย่างที่จะกล่าวดังต่อไปนี้
การสวดหน้าศพ เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นจังหวัดระยองอย่างหนึ่งของงานศพ ปัจจุบันผู้สืบทอดการสวดหน้าศพเหลือน้อยหรืออาจไม่พบในบางท้องถิ่น
ประเพณีการสวดหน้าศพในปัจจุบัน มีการแทรกเพลงอันเป็นเอกลักษณ์สำคัญลงในบทสวดทำให้การสวดมีแนวโน้มเป็นเพลง สวดหรือเพลงประกอบที่ว่า
ด้วยการตายมากกว่าที่จะเป็นบทสวด แต่ก็ยังเรียกว่า การสวดหน้าศพ หรือสวดคฤหัสถ์ตามความหมายเดิม
งานเทศกาลผลไม้ และของดีเมืองระยอง
เป็นงานเทศกาลประจำปีจัดในช่วงฤดูผลไม้ ประมาณเดือนพฤษภาคมของทุกปี สถานที่จัดงานจะสลับหมุนเวียนกันระหว่างอำเภอเมืองระยอง กับอำเภอแกลง ในงานจัดให้มีขบวนแห่รถประดับด้วยผลไม้ การประกวดผลไม้ ประกวดธิดาชาวสวนผลไม้ การจำหน่ายผลไม้ และผลิตภัณฑ์จากอาหารทะเล ตลอดจนการแสดงนิทรรศการด้านการเกษตร
งานวันสุนทรภู่
จัดเป็นประจำทุกปี ในวันที่ ๒๖ มิถุนายน ณ บริเวณอนุสาวรีย์สุนทรภู่ ตำบลกร่ำ อำเภอแกลง มีพิธีสักการะอนุสาวรีย์สุนทรภู่ มีการจัดนิทรรศการผลงานของสุนทรภู่ การแสดงละครในวรรณกรรมของสุนทรภู่ การแข่งขันอ่านทำนองเสนาะ เป็นต้น
– งานห่มผ้าพระเจดีย์กลางน้ำ
พระยาศรีสมุทรโภคชัยชิตสงคราม (เกตุ ยมจินดา) เจ้าเมืองระยอง ให้สร้างเจดีย์นี้ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เนื่องจากเห็นว่าข้าราชการหัวเมืองที่เดินทางไปเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่กรุงเทพฯ ได้ใช้พระเจดีย์กลางน้ำที่ จังหวัดสมุทรปราการ เป็นจุดสังเกตว่าใกล้จะถึงเมืองหลวงแล้ว จะได้ตระเตรียมข้าวของและแต่งตัวให้เรียบร้อย จึงนำแบบอย่างมาสร้างเจดีย์กลางน้ำที่เมืองระยองบ้าง เมื่อครั้งที่ชาวเมืองระยองยังใช้ทางน้ำที่เมืองระยองบ้าง เมื่อครั้งที่ชาวเมืองระยองยังใช้ทางน้ำเป็นเส้นทางคมนาคมหลัก พระเจดีย์กลางน้ำเปรียบเสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวเรือทุกลำ เพราะเมื่อเดินเรือมาถึงบริเวณนี้ก็ถือว่าได้เดินทางมาถึงเมืองระยองอย่างปลอดภัยแล้ว ใน ปี พ.ศ. 2517 ได้มีการบูรณะพระเจดีย์ขึ้นใหม่ให้มีความสวยงาม ความเป็นมาของชุมชน ชุมชนนี้มีโบราณสถานที่สำคัญ คือ เจดีย์กลางน้ำ เป็นสัญลักษณ์ของชาวระยอง โดยเฉพาะชาวประมง ยามเมื่อออกหาปลากลางทะเลแล้วกลับเข้าฝั่งเมื่อเห็นยอดเจดีย์ ก็ถือว่าได้กลับถึงบ้านแล้วจึงเป็นสถานที่ที่นับถือของชาวระยองอีกแห่งหนึ่ง ลักษณะของเจดีย์เป็นรูปทรงระฆังคว่ำ สูงประมาณ 10 เมตร ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำระยอง มีน้ำล้อมรอบ ประกอบไปด้วยป่าชายเลน ที่ยาวไกลไปตามชายแม่น้ำ เนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ มีถนนถึงสะพานไม้ลูกระนาด ข้ามไปสู่เจดีย์ สถานที่บริเวณเจดีย์ร่มรื่นมีผู้คนเข้าไป พักผ่อนและเยี่ยมชมอยู่เป็นประจำ เจดีย์องค์นี้สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2416 ในสมัยที่พระยาศรีสมุทรโภคชัยโชคชิตสงคราม (เกตุ ยมจินดา) เป็นเจ้าเมืองระยอง จุดประสงค์ในการสร้างก็เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ของชาวเรือ หรือผู้โดยสารที่เดินทางผ่านเข้าไปถึงบริเวณนั้น จะได้ทราบว่าเข้ามาถึงเมืองระยองแล้ว สมัยโบราณเส้นทางที่จะเข้าสู่เมืองระยองได้สะดวกก็คือการคมนาคมทางน้ำ ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างเจริญรอยตามแบบ “พระสมุทรเจดีย์” หรือ “เจดีย์กลางน้ำ” จังหวัดสมุทรปราการ ที่เป็นสัญลักษณ์ให้บรรดาผู้เดินทางผ่านมาถึงจุดนี้ทราบว่าใกล้จะถึงกรุงเทพมหานครแล้ว อย่างไรก็ดี เจดีย์กลางน้ำนี้ ถือเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดระยอง และเป็นสิ่งที่ ชาวระยองเคารพนับถือมาก เมื่อถึงวันกลางเดือน 12 ของทุกปี ซึ่งเป็นฤดูน้ำหลาก จะมีงานลอยกระทง แข่งเรือ และมหรสพต่าง ๆ ร่วมในงาน “ห่มผ้าพระเจดีย์กลางน้ำ” ซึ่งผ้าที่จะนำมาห่มต้องเป็นผ้าสีแ??